พบปะสหายเก่า
เช้าวันต่อมาสามแม่ลูกก็เข้าป่าไปหาหน่อไม้อีก ตกเย็นก็ขนหน่อไม้เข้าบ้าน ระหว่างทางเจอเห็ดหูหนูด้วยจำนวนหนึ่ง วันนี้จึงได้สิ่งของมามากมายล้นหลาม ถึงบ้านเจียอีรีบจัดการปอกเปลือกหน่อไม้ล้างน้ำให้สะอาด นำไปต้มให้สุกก่อนค่อยผ่าครึ่งเป็นทางยาวออกเป็นหน่อละสองซีก จากนั้นเรียงใส่ตะแกรงไม้ไผ่สานนำไปตากแดดจัด ๆ จนแห้งใช้เวลาสามถึงสี่วัน สิ่งที่นางกำลังทำคือหน่อไม้ตากแห้ง หรือที่คนยุคปัจจุบันเรียกว่าเหม่งสุ้น อาหารชนิดนี้เก็บไว้กินได้นานเป็นปี เวลาจะนำไปปรุงต้องแช่น้ำก่อนอย่างน้อยหนึ่งคืนหนึ่งวัน หน่อไม้แห้งจะฟูขึ้นและนุ่มขึ้น สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายชนิดทั้งต้มและผัด ส่วนหนึ่งนางตั้งใจจะเก็บไว้กินเองภายในครอบครัว แต่อีกส่วนเจียอีตั้งใจว่าจะเอาไปเสนอขายที่ร้านขายอาหารแห้งของเฟิ้งหรั่น
เมื่อได้เหม่งสุ้นที่แห้งดีแล้วเจียอีก็ขออนุญาตลู่เสียนนำไปขายที่ตลาดเหมือนเช่นเคย พร้อมทั้งมีอันฉีติดตามไปด้วย นางและน้องไปหาเฟิ้นหรั่นที่ร้าน พอเฟิ้งหรั่นเห็นเด็กทั้งสองก็แย้มยิ้มเดินเข้ามาถามไถ่
“ว่าอย่างไรล่ะ วันนี้เอาเห็ดหูหนูมาส่งข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้ามีเห็ดหูหนูพร้อมมีสินค้าอย่างอื่นมาเสนอขาย”
“สินค้าของเจ้าคือสิ่งใด”
“เหม่งสุ้นเจ้าค่ะ”
“เหม่งสุ้น? ...ไหนเอามาให้ข้าดู”
เจียอียกตะกร้าขึ้นมาให้เฟิ้งหรั่นดู ในนั้นคือหน่อไม้ตากจนแห้งสนิท แต่เฟิ้งหรั่นนางมองไม่ออกว่าสิ่งที่อยู่ในตะกร้าคืออะไร นางจึงต้องการให้เจียอีอธิบายเพิ่มเติม
“ข้ามองไม่ออกว่าสิ่งนี้คืออะไร มันช่างดูคล้ายกับหน่อของต้นไผ่ แล้วนำไปใช้อย่างไร เป็นสมุนไพรหรือนำไปปรุงอาหาร”
“นำไปใช้ปรุงอาหารเจ้าค่ะ มันคือหน่อของต้นไผ่ตากจนแห้ง ก่อนปรุงจะต้องเอาไปแช่ในน้ำอย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืน แล้วค่อยนำไปผัดไปตุ๋นรวมกับซี่โครงหรือเนื้อสัตว์”
“อืม ข้าว่าน่าสนใจมากทีเดียว แต่เหม่งสุ้นยังใหม่สำหรับที่นี่ คนแถวนี้ยังไม่มีผู้ใดเคยกิน ข้าคงรับเหม่งสุ้นของเจ้าที่มีจำนวนมากไว้ทั้งหมดไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีไหม ข้าจะลองรับไว้ขายดูสัก 3 ชั่ง หากขายได้ข้าถึงจะสั่งเพิ่ม”
“ขอบคุณพี่เฟิ้งหรั่นเจ้าค่ะ แต่ข้ามีข้อเสนออื่น ข้าว่าเราใช้วิธีฝากขายดีไหมเจ้าคะ พี่เฟิ้งหรั่นให้ข้าใช้พื้นที่ร้านวางขาย เหม่งสุ้นแห้งสามารถเก็บไว้ได้เป็นปี หากขายไม่หมดข้าค่อยมาเก็บกลับไป วิธีนี้จะช่วยให้พี่เฟิ้งหรั่นลดความเสี่ยงในการลงทุนซื้อขาด ส่วนข้าก็ขายได้เรื่อย ๆ ถึงจะยังไม่ได้รับเงินก้อนกลับไปก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ กำไรก็แบ่งกันเจ็ดส่วนต่อสามส่วน พี่เฟิ้งหรั่นรับไปสามส่วนโดยที่ไม่เสียเงินลงทุน เสียแค่พื้นที่วางของซึ่งก็ไม่ถือว่ากินพื้นที่มากมาย”
“เจ้าจะเอาอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ”
เจียอีนางฝากเหม่งสุ้นไว้ให้เฟิ้งหรั่นขายทั้งหมด เริ่มแรกที่ยังไม่มีคนรู้จักก็ต้องทำเช่นนี้เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตนเองสามารถขายสินค้าให้ได้มากที่สุด ดังนั้นวันนี้นางจึงกำเงินค่าเห็ดหูหนูกลับไปเพียง 15 อีแปะ สองพี่น้องเดินผ่านร้านขนมเช่นเคย อาฉีเหลือบไปมองขนมกุ้ยฮวารูปดอกไม้สีสันสวยงามน่ากินแล้วก็รีบเบือนหน้าหนี เจียอีรู้ในทันทีว่าเขาไม่อยากให้นางต้องกังวลใจในการเจียดเงินมาซื้อขนมให้เขา อาฉีจึงได้แต่เก็บความอยากเอาไว้รอให้น้ำลายไหลก่อน หากน้ำลายยังไม่ไหลนั่นก็แสดงว่าเขายังอดทนต่อความอยากนั้นได้อยู่
“อาฉี”
“ขอรับท่านพี่”
“มาขึ้นหลังพี่ดีไหม”
“ไม่ดีกว่าขอรับ ท่านพ่อสอนว่าข้าเป็นผู้ชาย ผู้ชายต้องดูแลผู้หญิง สักวันหนึ่งหากข้าเติบโตขึ้นข้าจะเป็นที่พึ่งพาให้ท่านพี่ให้จงได้”
“เจ้าช่างรู้ความยิ่งนัก เอาล่ะ ฉะนั้นหากเจ้าอยากเป็นที่พึ่งพาของพี่เจ้าต้องได้เรียนหนังสือจะได้มีความรู้ หากเจ้ามีความรู้ก็จะใช้มันหาเลี้ยงตนเองได้ คนมีความรู้และมีความขยันก็เป็นที่พึ่งพาของผู้อื่นได้”
“แต่...”
ด้วยสถานภาพทางครอบครัวที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ อันฉีจึงไม่แน่ใจว่าจะได้เรียนหนังสืออย่างที่พี่สาวหวังไว้หรือไม่ เขารู้มาว่าการที่ครอบครัวใดจะส่งบุตรเข้าเรียนในสถานศึกษาต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการส่งเสีย ตอนนี้ครอบครัวยังไม่พร้อมหลาย ๆ ด้าน และบ้านของนางหวังยังได้ชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านเลยก็ว่าได้
“เจ้าไม่ต้องกลัว พี่จะต้องส่งเจ้าเรียนหนังสือให้ได้ พี่สัญญา”
อาฉียิ้มตอบ แล้วทั้งสองก็เดินต่อจนผ่านลำธารสายหนึ่ง ลำธารสายนี้เป็นแหล่งน้ำที่คนในหมู่บ้านใช้เป็นน้ำใช้ในครัวเรือนและสำหรับทำการเกษตร น้ำในลำธารไหลเย็นชื่นใจ บรรยากาศรอบ ๆ เขียวชอุ่ม แซมไปด้วยไม้เล็กไม้ใหญ่ ต้นไม้บางต้นมีอายุเกือบร้อยปี เจียอีและอันฉีหยุดเดินก้มลงไปวิดน้ำในลำธารขึ้นมาล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น นางถอดรองเท้านั่งเอาเท้าแช่น้ำให้ปลาตัวเล็ก ๆ ตอดอย่างมีความสุข พอเห็นพี่สาวทำแบบนั้นอันฉีก็ทำตาม
“อาฉี โตขึ้นเจ้าอยากเป็นอะไร”
“ข้าอยากเป็นทหาร ข้าอยากเป็นแม่ทัพใหญ่”
“ฝันไปเถอะ!”
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังแย้มยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา เจียอีและอันฉีรีบหันหลังกลับไปมองแล้วลุกขึ้นยืน เจ้าของเสียงนั้นยกยิ้มมุมปาก นางเป็นหญิงแต่งกายด้วยอาภรณ์สีฉูดฉาด ทาปากแดงจัดจ้าน ทาแป้งที่ใบหน้าจนขาววอก เขียนคิ้วตวัดเฉียงปลายคิ้วแหลมเกือบถึงไรผมด้านข้าง อีกคนข้างหลังเป็นชายหน้าตาซื่อ ๆ แต่งกายดีคาดว่าอายุมากกว่า
“อาฉี แม่นางที่มีคิ้วทรงหางแมงดาผู้นี้คือใคร”
เจียอีก้มลงไปกระซิบกระซาบข้างหูน้อง อันฉีทำหน้าตกอกตกใจรีบดึงพี่สาวออกมาห่าง ๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบตอบ
“ท่านพี่จำนางไม่ได้หรือขอรับ นางอาศัยอยู่ในหมู่เดียวกับเรานางชื่อลู่จิว ข้าง ๆ กันคือพี่ชายของนางชื่อจางหย่ง พวกเขาทั้งสองเป็นบุตรชายและบุตรสาวของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน”
“แล้วพี่กับพวกเขาเป็นสหายกันอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ ไม่ขอรับ เมื่อปีที่แล้วท่านแม่พาพวกเรามาเยี่ยมบ้านท่านยาย ท่านพี่ถูกนางกลั่นแกล้ง”
“กลั่นแกล้งอย่างไรเล่า นางจะมากลั่นแกล้งพี่ทำไม”
“ก็...ก็ถูกผลักตกลงไปในน้ำที่นี่แหละขอรับ สาเหตุที่นางกลั่นแกล้ง เอ่อ นั่นก็เพราะ....นั่นก็เพราะว่าท่านพี่งดงามกว่านาง ข้าว่าเรารีบไปกันเถอะขอรับท่านพี่ นางอาจหาเรื่องแกล้งท่านพี่อีกก็ได้”
“...ข้าถูกผลักตกน้ำหรือ...หึ”
แค่งดงามกว่าก็ต้องถูกแกล้งด้วยหรือ เรื่องการบูลลี่คนอื่นมีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จริง ๆ เจ้าของร่างนี้ดูท่าบอบบางไม่สู้คน รูปร่างก็บอบบางแรงน้อย หากโดนลมพัดเพียงเบา ๆ ก็เกรงว่าจะปลิว เจียอียิ้มเจ้าเล่ห์หันกลับไปหาลู่จิว เมื่อปีที่แล้วแม่นางคิ้วทรงหางแมงดาทะเลนี่ทำเจ้าของร่างไว้เจ็บแสบนัก วันนี้มาเจอกับเจียอีในโลกปัจจุบันนับว่าชะตาถึงฆาตแล้ว
“น้องเจ้านะหรือจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ข้าได้ยินแล้วตลกขบขันยิ่งนัก หลานชายของครอบครัวที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ฮ่า ๆ”
“แม่นางลู่จิวก็พูดเกินไป หากคนที่เขียนคิ้วแหลมเหมือนหางแมงดาเป็นลูกสาวคนที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านได้ น้องข้าก็เป็นแม่ทัพใหญ่ได้เช่นกัน”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
“นางบอกว่าเจ้าเขียนคิ้วเหมือนหางแมงดา"
"ข้ารู้แล้ว! ท่านพี่ไม่ต้องย้ำ"
จางหย่งคิดว่าที่ลู่จิวถามอีกรอบเพราะได้ยินไม่ถนัด เขาจึงพูดชัดถ้อยชัดคำให้น้องสาวได้ยินอีกรอบ พอนางได้ยินพี่ชายที่แสนซื่อย้ำอีกก็เลยพาลอารมณ์เสียใส่
"หึ หญิงอัปลักษณ์ ประหลาดใจนักที่เจอเจ้าที่นี่"
"...นางงดงามกว่าเจ้าหลายส่วน"
"ท่านพี่!"
แม้ว่าที่จางหย่งพูดจะเป็นความจริงแต่ลู่จิวก็ยังพาลโมโหไม่เลิก แทนที่เขาจะเข้าข้างน้องสาวตนเอง จางหย่งกลับไปเข้าข้างคนอื่น เมื่อพาลโกรธพี่ชายนางก็คว้าเอารองเท้าของเจียอีโยนลงไปในลำธาร จนรองเท้าลอยออกไปติดซอกหินเห็นแบบนั้นลู่จิวก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ
"ฮ่า ๆ ตายจริงนั่นรองเท้าเจ้านี่ ข้านึกว่าโยนก้อนหินลงไปซะอีก รองเท้าคนจน ๆ ก็แข็งอย่างนี้แหละ ใส่แล้วคงไม่นุ่มเท้า"
"เจ้าทำบ้าอะไร!"
"สมน้ำหน้า"
"ไปเก็บรองเท้าข้าคืนมานะ"
หลินเจียอีขึ้นเสียง นางพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้เดือดดาลถึงขีดสุดแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ระงับไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีแววสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำลงไปแล้วยังทำหน้ากระหยิ่มยิ้มเยาะเย้ย เจียอีจึงเค้นเสียงออกมาอีกรอบ
"ไป...เก็บ...รองเท้าข้าคืนมา"
"ไม่! ท่านพี่เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ"
นอกจากลู่จิ่วจะไม่สนใจที่เจียอีบอก นางยังชวนจางหย่งเดินหนีหน้าตาเฉย ทันใดนั้นในจังหวะที่นางหันหลังจะจากไปเจียอีก็ถกชายผ้ายกเท้าขึ้นถีบลู่จิ่วจนตกลงไปในน้ำ
ตู้มมมมม
กรี๊ดดดด
ลู่จิวที่ยังไม่ทันตั้งตัวเมื่อตกลงไปในน้ำก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้หญิงอ่อนแอที่นางเคยผลักตกน้ำแล้วขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้จับไข้เมื่อปีที่แล้วจะกล้าทำนางตกน้ำเช่นกัน ลู่จิวใช้มือสองข้างตีน้ำไปมาจนรองเท้าของเจียอีลอยกลับมาติดฝั่ง เจียอีจึงเดินไปเก็บขึ้นมาพร้อมกล่าวขอบคุณ
"แม่นางลู่จิว ขอบใจเจ้ามากที่เก็บรองเท้ามาคืนข้า"
"ป่าเถื่อน ป่าเถื่อนที่สุด ข้าจะฟ้องพ่อข้า เย็นนี้เจ้าเจอดีแน่หลินเจียอี"
เจียอีไม่สนใจที่ลู่จิ่วกำลังขู่ นางได้รองเท้าแล้วก็นำมันมาสวมจากนั้นดึงแขนน้องชายออกมาจากบริเวณนั้นทันที ฝ่ายจางหย่งก็พยายามช่วยน้องสาวขึ้นมาจากน้ำ เมื่อลู่จิวขึ้นมาได้นางก็ตะเบ็งเสียงแหลม ๆ ของนางก่นด่าเจียอีตามหลัง นั่นทำให้จางหย่งรีบเอามือมาปิดหูไว้เพราะทนฟังเสียงแหลม ๆ ของนางไม่ไหว กระทั่งเจียอีและอันฉีเดินมาไกลจนไม่ได้ยินเสียงลู่จิวแล้ว นางสังเกตเห็นบางสิ่งผิดปกติ อันฉีนิ่งเงียบตลอดทางเพราะกลัวความผิด นั่นเป็นเพราะเขาได้ยินลู่จิวข่มขู่ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อของนาง
"ท่านพี่ นางบอกว่าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อของนาง"
"เจ้าไม่ต้องกลัว หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง"
"แต่...ท่านพี่ พ่อของนางน่ากลัวมาก เราสองคนต้องถูกท่านแม่ลงโทษแน่ ๆ"
"เช่นนั้น...เอาอย่างนี้ดีไหม"
หนึ่งก้านธูปต่อมาอาฉีและเจียอีก็มาถึงบ้าน นางพาน้องย่องเบาเข้าทางด้านหลัง บริเวณนี้มีบ่อน้ำอยู่ เจียอีไม่รอช้าดึงถังน้ำที่โยงด้วยเชือกขึ้นมาจากนั้นรดตัวเองจนเปียกชุ่ม เมื่อเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วนางก็ค่อย ๆ เดินเข้าบ้านในสภาพแสร้งทำเป็นหมดแรงไอกระเสาะกระแสะ
"แค่ก ๆ"
"เจียอี! นั่นเจ้าไปทำอะไรมาทำไมเปียกโชกไปทั้งตัวแบบนี้ ฉีเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นทำไมพี่เจ้ากลับมาในสภาพนี้บอกแม่มา"