Masukมิ่นหมิ่นที่มักจะไม่สามารถปฏิเสธคำขอของมารดาได้ ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะคว้าผลไม้นั้นขึ้นมาแล้วพูดว่า
"ขอบคุณพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะนำมันไปเก็บไว้ที่ตำหนักหลานฮวาของข้า แล้วค่อยกินมันวันพรุ่งนี้" มิ่นหมิ่นยิ้มออดอ้อนและเดินออกจากตำหนักไปพร้อมกับผลไม้ในมือ
ฮองเฮามองตามร่างเล็กๆ ของมิ่นหมิ่นที่เดินออกไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ทองคำ
มิ่นหมิ่นเดินออกจากห้องของฮองเฮาด้วยรอยยิ้มหวานที่ซ่อนความกังวลไว้ในใจ มือจับผลไม้อมตะในมือด้วยความระมัดระวังสุดชีวิต สายตามองไปที่เสี่ยวเอินที่ยังคงยืนอยู่ข้างหลังราวกับจะไม่ให้มิ่นหมิ่นคาดสายตา
“เสี่ยวเอินมานี่”
"เจ้าคะองค์หญิงมิ่นหมิ่น ท่าน...มีอะไรให้เสี่ยวเอินรับใช้"
เสี่ยวเอินตามมาหยุดข้างๆ มิ่นหมิ่นหันไปยิ้มให้สาวใช้ก่อนจะพูดเสียงเบา
"ขอบใจเจ้ามากที่มาตามข้าไปพบท่านแม่ แต่วันนี้ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ คือเจ้ากลับไปแปรงขนของเจ้าตามเดิมเถอะ แค่ข้าต้องการเดินไปที่ตำหนักดอกไม้ของข้าด้วยตัวข้าเอง"
"เจ้าค่ะ..." เสี่ยวเอินพูดเสียงอ่อนๆ ไม่พยายามจะขัดใจมิ่นหมิ่นก่อนจะยิ้มและเดินออกไปจากตำหนัก
มิ่นหมิ่นเดินไปตามทางที่คุ้นเคย ผ่านลานกว้างที่มีต้นไม้สูงใหญ่และทางเดินหินที่เงียบสงบ ความคิดในใจกำลังหมุนวนไปกับแผนที่ต้องการให้หยงเจี้ยนฟื้นฟูร่างกาย โดยการนำผลไม้มาช่วยให้เขาได้รับพลัง
ในขณะที่มิ่นหมิ่นเดินไปในเส้นทางที่เงียบสงบ ความรู้สึกผิดและความกลัวเริ่มค่อยๆ เข้ามาในใจ รู้ดีว่าผลไม้นี้เป็นของล้ำค่าที่ท่านแม่เองก็รักและหวงแหน แต่มิ่นหมิ่นไม่สามารถปล่อยให้บุรุษผู้นั้นที่น่าสงสารอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างนี้ได้
เดินไปจนถึงม่านอาคมที่มีพลังแรงกล้า แต่มิ่นหมิ่นก็ไม่ยอมให้มันหยุดยั้งมิ่นหมิ่นได้ ยืนอยู่หน้าม่านอาคมนานเพียงครู่เดียว ก่อนจะใช้พลังของตัวเองที่ยังเหลืออยู่เพื่อส่งคลื่นพลังเข้าไปในม่านอาคมนั้น ม่านอาคมสะท้อนแสงเป็นวงกว้าง ก่อนที่ช่องเล็กๆ จะปรากฏขึ้นให้มิ่นหมิ่นสามารถเดินผ่านไปได้ แม้จะรู้สึกถึงพลังที่คอยดึงกลับมา แต่มิ่นหมิ่นก็รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไปสู่โลกภายนอก
เดินผ่านช่องเล็กๆ นั้นไปจนออกไปด้านนอก ม่านอาคมบางเบา หายไปข้างหลังราวกับไม่เคยอยู่ตรงนั้น
"อืมม ตัดสินใจแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จสิ..." มิ่นหมิ่นพึมพำในใจ
ก่อนจะพยายามทำใจให้ฮึกเฮิม ขณะเดินผ่านสวนดอกไม้ที่ร่มรื่นและสวยงาม จนมาถึงสุสานบรรพชนที่หยงเจี้ยนถูกทิ้งไว้
มิ่นหมิ่นเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบและมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะยกผลไม้อมตะในมือขึ้น ยิ้มให้กับมันราวกับเป็นเพื่อนที่รู้ใจ
หยงเจี้ยนยังคงนอนอยู่บนแท่นนอนในสภาพอ่อนแอ ใบหน้าซีดเซียวของเขาทำให้มิ่นหมิ่นรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเห็นเขาต้องทนทุกข์เช่นนี้ ช่างน่าสงสารจริงๆ
"ท่าน…ท่านตื่นสิ…ท่าน…" มิ่นหมิ่นเรียกเขาด้วยเสียงเบาๆ ขณะยืนอยู่ข้างแท่นนอน ร่างของหยงเจี้ยนขยับน้อยๆ และลืมตาขึ้นมามองเห็นไม่ชัดเจน ไม่สิไม่เห็นเลยต่างหาก ใครกัน
"เจ้าเป็นใคร...นี่...นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม" หยงเจี้ยนถามด้วยเสียงที่ยังอ่อนแรง
มิ่นหมิ่นยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
"ไม่ใช่ฝันหรอก ข้าเอาผลไม้นี้มาให้ท่าน ท่านรีบกินมันเสียนี่คือผลไม้อมตะของข้าเชียวนะ" วางผลไม้มอมตะลงข้างๆ หยงเจี้ยน พูดต่ออย่างภูมิใจ
"นี่คือผลไม้อมตะในตำนานที่จะช่วยฟื้นฟูพลังและทำให้ท่านกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง รสชาติใช้ได้ ลูกใหญ่อิ่มท้อง แต่พลังมันมากไม่รู้ท่านกินไปจะตัวระเบิดตายไหม เอาเป็นว่าโอกาสระเบิดน้อยมากๆ" ยังไม่วายหลอกเขาเล่น
หยงเจี้ยนมองผลไม้นั้นด้วยสายตาที่ยังคงลังเลแต่แล้วเขาก็พยักหน้า
มือซีดเอื้อมไปรับเอาผลไม้อมตะมาถือไว้ มิ่นหมิ่นถอนหายใจยาว
"เช่นนั้นก็รีบกินเสียเถอะ" มิ่นหมิ่นพูดเบาๆ ขณะที่ยื่นผลไม้เข้าใกล้
หยงเจี้ยนกัดผลไม้อมตะนั้นเข้าไปในปาก รสชาติหวานสดชื่นทำให้เขารู้สึกเหมือนมีพลังลื่นไหลเข้าไปในร่างกาย มิ่นหมิ่นนั่งข้างแท่นนอนมองเขาด้วยความสนใจขณะที่เขากำลังเริ่มรู้สึกถึงพลังที่กลับมาหลังจากกินผลไม้นั้นไป
"ข้าหวังว่ามันจะช่วยท่านได้มากกว่านี้ซะอีก"
หยงเจี้ยนยิ้มอ่อนแรงแล้วหลับตาลงช้าๆ มิ่นหมิ่นยิ้มตอบอย่างหวานละมุนเมื่อเห็นว่ามันคงช่วยได้บ้าง อย่างน้อยก็คงช่วยให้อิ่มท้องอะแหละฮ่ะฮ่ะฮ่าาาาา
"แค่ท่านแข็งแรงขึ้นข้าก็พอใจแล้ว อะแต่ท่านมีไข้นี่”
พูดอยู่คนเดียวแล้วหย่อนยาเม็ดในมือลงปากของหยงเจี้ยน ยกจอกน้ำตามไป พร้อมกับถอนหายใจ ดีนะที่เตรียมเอายามาจากท่านพี่มาแล้ว
“อย่าเพิ่งตายนะ แล้วช่วยข้าหน่อย นั่งนิ่งๆ ข้าจะเดินลมปราณให้ดีไหม”
หยงเจี้ยนที่ได้แต่ปรือตามองร่างเล็กที่เขากอดไว้ที่ผ่านมา จิ้งจอกทำไมพูดได้ จิ้งจอกไม่ดื่มเลือดควักหัวใจแต่ช่วยคนหรือ
“เดินลมปราณอย่างนั้นหรือ ข้ายังไม่ตายใช่ไหม” เสียงแหบแห้งของหยงเจี้ยนดังขึ้นทั้งที่ไม่ลืมตา ยังมึนงงเพราะพิษไข้
“ไม่ได้ ไม่ได้ ถึงมือมิ่นหมิ่นแล้วห้ามตาย ท่านตายญาติๆ ท่านจะต้องเสียใจ ท่านมีพี่น้องไหม ข้ามีพี่ชายตั้งสามคนแนะฮ่าาาา พวกเขาไม่มีทางให้ข้าตายหรอกเพราะอย่างนี้ท่านต้องมีคนที่รักท่านบ้างล่ะอย่าเพิ่งตาย ให้คนอื่นโศกเศร้าเสียใจ”
ในความมืดของสุสานบรรพชนที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ เสียงหอบหายใจดังแผ่วเบาผสมกับลมหายใจของเจ้าจิ้งจอกน้อยที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆร่างขององค์ชายหยงเจี้ยน ดวงตาของมิ่นหมิ่นปิดสนิท ขณะจิตใจของนางจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของลมปราณภายในร่างกายของหยงเจี้ยนผู้ผ่านทุกข์เข็ญมา
“เจ้าช่วยข้าทำไม…”
ผิวของมิ่นหมิ่นนุ่มนวลและดูเหมือนจะส่องแสงราวกับมีพลังลึกลับที่แฝงตัวอยู่ ภายใน มิ่นหมิ่นสามารถรู้สึกถึงลมปราณที่ค่อยๆ ไหลเวียนผ่านอากาศรอบตัว กลายเป็นเส้นสายอ่อนๆ ที่หยุดนิ่งอยู่ภายในร่างกายซูบซีดของหยงเจี้ยน
มือของมิ่นหมิ่นค่อยๆ ขยับไปข้างหน้า ใช้พลังที่มีในตัวนำลมปราณจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายขององค์ชายหยงเจี้ยนด้วยความระมัดระวัง หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ
หมิ่มหมิ่นพูดเบาๆ
"ท่านต้องการพลังจากข้าเพื่อฟื้นฟูตัวเอง...มิ่นหม่นรับรองน่าท่านจะต้องหายดี"
ภายในห้องเงียบสนิทมีเพียงเสียงหายใจของทั้งสองคนที่ประสานกันอย่างลึกซึ้ง หลี่เจี้ยนรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังในร่างกาย ร่างกายที่ซูบซีดและเย็นเฉียบของเขาค่อยๆ เริ่มอุ่นขึ้น แม้จะยังไม่แข็งแกร่งพอแต่ความอบอุ่นก็เริ่มกลับคืนสู่ร่างกายที่อ่อนแอ
"เจ้าช่วยข้าทำไม…" เขาเอ่ยซ้ำๆ เสียงเบาพลางหันมองไปยังมิ่นหมิ่นที่นั่งขัดสมาธิมิ่นหมิ่นไม่ได้ตอบคำถามนั้นด้วยเสียง แต่การเคลื่อนไหวของมือนั้นกลับตอบแทนคำพูดมิ่นหมิ่นกระแทกฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของหยงเจี้ยน หายใจลึกเข้าอีกครั้ง ค่อยๆ รวบรวมพลังใหม่ๆ ให้ลมปราณในตัวเขาไหลเวียนไปในเส้นทางที่ขัดเกลาอย่างช้าๆ จนมันเริ่มรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งส่งต่อยังหยงเจี้ยน
หยงเจี้ยนหลับตาลง ร่างกายของเขาค่อยๆ ได้รับพลังจากจิ้งจอกน้อยที่ทำงานหนักเพื่อเขา ความรู้สึกที่เคยเหนื่อยล้าและอ่อนแอหายไปทีละน้อย ดวงตาที่เคยหมองคล้ำเริ่มมีประกายขึ้นมา
หยงเจี้ยนยิ้มขึ้นมุมปากอย่างยียวน ก่อนจะพูดด้วยเสียงยั่วยุ "แต่แม่นางน้อยม่านม่านคงไม่ยินดีที่ชาร่วมดื่มชาสินะ" พูดเหมือนจะล้อเลียนขำๆม่านม่านถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินชมตำหนักบูรพาอย่างไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่หยงเจี้ยนและหยงซินยืนอยู่ที่ทางเข้าของตำหนักบูรพา เสียงของหยงซินดังขึ้นอีกครั้ง"พี่สี่ ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้า ทั้งๆ ที่ข้าเองก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับท่าน..."หยงเจี้ยนหันไปมองน้องชายอย่างเย็นชา "นั่นมันเรื่องของเจ้า และนี่ก็เรื่องของข้า ข้าก็ไม่ได้อยากยุ่งกับเจ้าซะหน่อย น่ารำคาญจริงๆ เลย" หยงเจี้ยนแสดงท่าทีรำคาญชัดเจน เดินไปทันทีทิ้งหยงซินมองตามม่านม่านและหยงเจี้ยนที่เดินไปอย่างเงียบๆ …หยงเจี้ยนยืนอยู่ข้างโต๊ะชงชา เขาก้มหน้าลงอย่างตั้งใจในการเตรียมชา มองดูน้ำร้อนที่ไหลลงจากกาน้ำในมืออย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมือของหยงเจี้ยนเคลื่อนไหวอย่างละเมียดละไม พิถีพิถันในการเลือกและชงชา ค่อยๆ เติมน้ำร้อนลงในกาน้ำชา ด้วยท่าทางอ่อนโยนไม่รีบร้อน หลังจากนั้นก็ยกกาน้ำชาและเทชาลงในจอกสองใบตรงหน้าอย่างประณีต โดยไม่ให้มีหยดใดตกหล่นลงบนโต๊
ตำหนักบูรพา"ลมอะไรกันที่สามารถหอบนางสวรรค์ม่านม่านมาถึงนี่ได้"หยงซินพูดทีเล่นทีจริง เสียงเย้ยหยันขบขันทำให้บรรยากาศในห้องดูไม่เป็นทางการเอาเสียเลย หยงซินหัวเราะเบาๆ พร้อมจ้องมองม่านม่านที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆม่านม่านยิ้มหวานหยด ไม่ยี่หระกับการพูดไม่ให้เกียรติของหยงซิน ก่อนจะพูดเสียงเบา“ข้าได้ยินว่า…ไท่จือสองสามวันก่อนนอนไม่ค่อยหลับ ข้าจึงนำชานอนหลับมามอบให้ด้วยตัวเอง”หยงซินมองม่านม่านด้วยสายตาประหลาดใจ"เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ ช่วยเหลือดูแลคนในวังหลวงไม่ว่าจะสูงต่ำเพียงใด" เขาพูดพลางยิ้มอย่างขบขัน อี้จือและซีหยินเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ อี้จือมองแวบหนึ่งไปที่หยงซินแล้วหันไปมองม่านม่าน สายตาดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรนักแต่ก็พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้“มาแล้วหรือข้ากำลังรออยู่พอดีเลย” คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องกลับมาเครียดอีกครั้ง อี้จือที่เคยชินกับคำพูดรุนแรงนี้ไม่ยอมหลบเลี่ยง"หญิงแพศยา เจ้ายังมาทำอะไรแบบนี้ได้อีกหรือ ข้าได้ยินว่าเจ้าตกน้ำแล้วหายเข้าไปในห้องของพี่สี่ตั้งนานสองนาน อย่าคิดว่าข้าจะหูหนวกตาบอดนะ""พี่ห้า ฮะฮ่าาาา ท่านก็อย่าโมโหไปหน่อยเลยน่า ข้าอยู่ที่นั่น
อี้จือที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ซีหยินหันมองตาม เบิกตามองหลินซินไปชั่วครู่ สายตาแวววาวหากแต่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเสียงต่ำ"นั่นคือหลินซิน…เจ้าก็เคยพบเขาแล้วนี่”ซีหยินหันไปมองอี้จือก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าเล็กน้อย เสียงของหลินซินดังขึ้นเบาๆ ในระยะห่างจากพวกเขา"ข้าแค่ผ่านไป…ขออภัยทั้งสองด้วย" หลินซินกล่าวเสียงเรียบก่อนที่จะเดินหายไปทั้งสองมองตามร่างของหลินซินไปเงียบๆ ช่วงเวลานั้นเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ซีหยินมองตามหลินซินด้วยดวงตาเคลิ้มฝัน“คนอะไร ทั้งสุภาพและอ่อนโยน ขี้เกรงใจอีกต่างหาก งู้ยยย…ข้าจะต้องหาทางรู้จักเขาให้มากกว่านี้ให้จงได้”ในตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้แสงคบเพลิงสะท้อนเงาของขุนนางและองครักษ์ที่หมอบเรียงรายอยู่เบื้องหน้า เสียงลมหายใจหอบสั้นตึงเครียดปะปนกับเสียงสั่นเครือของผู้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้หยงฉี"ฝ่าบาทได้โปรด…ฝ่าบาทได้โปรด ข้าน้อยสมควรตาย…" เสียงนั้นแตกพร่าด้วยความสั่นกลัว"ฉับ!"ยังไม่ทันที่เสียงสะอื้นจะจบลง คมกระบี่สับลงดั่งสายฟ้าฟาดด้วยมือของฮ่องเต้หยงฉี ลำคอของขุนนางคนนั้นขาดสะบั้นหลุดล่วงจากบ่ากลิ้งบนพื้นไปไกล เลือดฉีดพุ่งกร
"ว่ามา" หยงเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน"ระหว่างนี้…ท่านห้ามมองหญิงงามล่มสวรรค์คนนั้น ห้ามใส่ใจนาง ห้ามเข้าใกล้นาง ห้ามพูดกับนางและ…ท่านห้ามชอบนาง เพราะข้าริษยานาง ที่ท่านสี่ใส่ใจนางมากกว่าข้า" อี้จือพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แสดงความริษยาออกมาอย่างชัดเจนหยงเจี้ยนยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของอี้จือเป็นอย่างดี"เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ให้ใครมาเข้ามาแย่งความสนใจของข้าไปจากเจ้าได้" พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยกมือขึ้นมาแตะใบหน้าของอี้จือ ลูบเบาๆ ตามแก้มนุ่มอี้จือเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างดีใจ ก่อนหน้านี้หยงเจี้ยนคงสับสนอยู่บ้างเพราะตนเองเป็นไท่จือเฟยจึงผลักไส แต่ในที่สุดไม่ว่าอย่างไรหยงเจี้ยนก็ยังคงรักตนเองที่สุด ยังให้คำมั่นสัญญา จากที่ไม่คิดทำอะไรในตอนนี้ถึงกลับลงมือเคลื่อนไหวแล้วเพื่อข้า…เช่นนั้นข้าจะรอหยงเจี้ยนกับอี้จือก้าวออกมานอกตำหนัก เสี่ยวเอ๋อร์เดินเข้ามาช้าๆ ก้าวเบาๆ ถึงขั้นย่องเข้ามา ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาหยงเจี้ยนแล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา"องค์ชายขอรับ…ข้าน้อยเห็นว่าแม่นางน้อยม่านม่านไม่ได้ไปที่ตำหนักฝ่าบาทนะขอรับ นางเดินไปทางตำหนักบูรพาแล้วขอรับ…"อี้
ในห้องเงียบสงัดอี้จือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในตำหนักของหยงเจี้ยน ขณะที่ซวนซ้วนยืนข้างๆ คอยเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ ของอี้จืออย่างระมัดระวัง มือบางของอี้จือจับที่ขอบโต๊ะแน่น ใบหน้าของนางสะท้อนอยู่ในกระจกเงา รอยน้ำตายังคงพร่ามัวในดวงตาของนาง ดวงตาแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดอย่างมากมายเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาหยงเจี้ยนเดินเข้ามาในห้องและยืนอยู่ที่ประตูสักครู่ก่อนจะเดินตรงไปที่ซวนซ้วน คว้าผ้าเช็ดผมจากมือของซวนซ้วนแล้วเริ่มเช็ดผมให้กับอี้จือด้วยมือของตนเอง อี้จือมองผ่านกระจกเงาไปที่หยงเจี้ยน น้ำตาค่อยๆ หยดลง ขณะที่มือบางของอี้จือกระชับมือของหยงเจี้ยนเอาไว้แน่น"ท่านพี่...ท่านช่วยพาข้าออกจากตรงนี้ที"เสียงของอี้จือแผ่วเบาและเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตายังคงไหลริน ราวกับไม่สามารถทนต่อความอัดอั้นที่อยู่ภายในได้อีกแล้ว เสียงสะอื้นที่มาพร้อมกับคำขอทำดูน่าสงสารจับใจหยงเจี้ยนหรี่ตาลงและตอบกลับเสียงแหบเบา"อดทนรอ..." เพียงคำพูดสั้นๆ แต่มันก็มีน้ำหนักมากมาย หากเขาบอกให้รอ นางก็จะรอ แม้จะยากเพียงใดก็ตามอี้จือก้มหน้า น้ำตาที่พยายามจะซ่อนไว้ก็หยดลงมาอีกครั้ง หลับตาลงและยิ้มให้กับคำพูดนั้น แม
"ท่านสี่ท่านกำลังจะไปไหน?"อี้จือถามด้วยสายตาหวานจนม่านม่านจับสังเกตได้ ท่าทางของอี้จือช่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถปิดบังได้ ม่านม่านได้แต่ยิ้มบางๆ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าอี้จือเป็นคนที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง"ข้ากำลังจะไปถวายพระพรเสด็จพ่อ" หยงเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในดวงตาของเขากลับมีแวววาบบางอย่างที่อี้จือไม่ทันสังเกตอี้จือยิ้มเศร้าๆ แววตาของนางดูแปลกไปเมื่อได้ยินคำตอบจากหยงเจี้ยน"อี้จือก็กำลังจะไปขอประทานอนุญาตจากฝ่าบาทกลับไปที่บ้านเฉินเช่นกัน"คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวท่ามกลางทางเดินดูหม่นหมองเล็กน้อย ความเศร้าที่อยู่ในคำพูดของอี้จือทำให้ม่านม่านรู้สึกถึงเช่นกัน"หลบหน่อยๆๆๆๆๆๆ!" เสียงเอะอะโวยวายของเสี่ยวเอ่อร์ก็ดังขึ้นมาแทรกกลางความเงียบ ตะโกนมาอย่างรีบร้อนทำให้ม่านม่านและอี้จือหันไปมองทันที สุนัขขนปุยตัวใหญ่ขององค์หญิงใหญ่ซีหยินวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มันดูเหมือนจะมีพละกำลังเหลือล้น วิ่งเข้ามาชนกับอี้จือและม่านม่านทั้งสองคนหงายหลังพร้อมกันขาแทบลอยจากพื้นร่างทั้งสองกำลังจะตกลงไปในน้ำข้างทางเดิน หยงเจี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบคว้าแขนอี้จือไว้ทันทีแต่ในระ







