"ไม่ต้องทุ้มเทเพียงนั้น ข้าหมดสิ้นทุกอย่างไร้ซึ่งทุกสิ่งแล้ว" หยงเจี้ยนกล่าวเสียงเบk
แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้เขาจะยังคงไม่มีพลังมากพอ แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อมิ่นหมิ่นจากความสงสัยเป็นความขอบคุณ
ในความเงียบสงบทั้งสองคนยังคงประสานพลังให้แก่กันอย่างเงียบๆในสุสานบรรพชนที่รกร้างนี้
ร่างกายของหยงเจี้ยนค่อยๆฟื้นคืนความแข็งแรงขึ้นทีละน้อย เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและพลังที่ไหลเวียนผ่านเส้นเลือด แค่เขาหายใจลึกๆก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เข้ามาช่วยสนับสนุนให้ร่างกายเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“เจ้าคือใครกัน"
มิ่นหมิ่นไม่ตอบในทันทีเพราะเริ่มอ่อนแรง กำลังนั่งขัดสมาธิและคอยเดินลมปราณให้กับเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มหม่นหมองเล็กน้อย
"ข้าแค่เป็นจิ้งจอกเก้าหางที่หนีออกมา...เพื่อค้นหาความหมายของชีวิตในโลกนี้ ดีใจที่ได้ช่วยท่าน" น้ำเสียงของสดใสน่าเอ็นดูแต่อ่อนแรงไปมากแล้ว
หยงเจี้ยนยังคงมองมิ่นหมิ่นด้วยความสงสัย รู้สึกถึงความอุ่นจากลมปราณที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายใน รู้สึกถึงกำลังวังชาที่กลับมา
มิ่นหมิ่นหยุดการเคลื่อนไหวลมปราณผ่านมือ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะอ่อนล้าเสียเต็มที
"ข้าต้องกลับไปแล้ว... ข้าต้องฟื้นฟูพลังของตัวเองให้แข็งแกร่งอีกครั้ง จึงจะสามารถกลับมาช่วยท่านได้อย่างเต็มที่"
คำตอบนั้นทำให้หยงเจี้ยนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหายไป
"อีกหลายวัน... ข้าคงจะต้องมาพบท่านใหม่...ข้ากลบัมาหวังว่าท่านจะดีขึ้นนะ อย่าเพิ่งยอมแพ้"
มิ่นหมิ่นพูดเบาๆแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ขณะที่เงยหน้าขึ้นไปยังช่องแสงที่ส่องเข้ามาจากด้านบน แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้าไปในสุสานทำให้บรรยากาศยิ่งรู้สึกเงียบสงบ
หลี่เจี้ยนเหลือบตามองยังแยกไม่ออกว่าคือความฝันหรือความจริง ความคิดของเขามืดมน ร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงพอที่จะพูดอะไรเพิ่มเติม
"ขอบคุณ..." เขาพูดเสียงเบา หัวใจของเขามีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
มิ่นหมิ่นไม่พูดอะไรอีกแค่พยักหน้าเบาๆก่อนที่จะหันหลังไปเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆห่างออกไปจนสุดสายตาของหยงเจี้ยน
มิ่นหมิ่นเดินโซซัดโซเซผ่านม่านอาคมกลับเข้ามาในเขตที่ปลอดภัยของวังจิ้งจอก มีเพียงเสียงหายใจของนางที่ติดขัด ขณะที่มือเล็กๆของมิ่นหมิ่นจับต้นไม้เพื่อพยุงตัวเองไว้
พลังทั้งหมดที่ใช้ไปเพื่อฟื้นฟูหยงเจี้ยนจนเกือบหมดสิ้น ลืมว่ายังต้องใช้พลังในการเดินทางกลับ ร่างกายเริ่มไม่มีแรงสะดุดเล้มลงและหงายหลังลงไปกับพื้น
"ข้า...จะไม่...เป็นอะไรหรอกนะ" เสียงดังแผ่วเบา
มิ่นหมิ่นหมดสติบริเวณหน้าม่านอาคม
ร่างองอาจทั้งสามของจิ้งจอกหนุ่มที่ปรากฏตัวออกมา พี่ชายทั้งสามตื่นตระหนกเมื่อออกตามหาน้องสาว ใบหน้าของหลินหยูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นน้องสาวที่หมดสติอยู่ตรงหน้า รีบวิ่งเข้าไปข้างๆมิ่นหมิ่น
"มิ่นหมิ่น…พวกเจ้าน้องเล็กอยู่นี่แล้ว" หลินหยูตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่หลินซินและหลินหานรีบวิ่งตามมาหา
"เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้า แย่แล้วพี่ใหญ่นางตายแล้วมั้ง" หลินหานถามเสียงเครียด เขาก้มลงมองที่มิ่นหมิ่น ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยคราบเหงื่อและอ่อนแรง
“หุบปากน่าเจ้ากำลังแช่งนาง” หลินซินดุเบาๆ
หลินหานยืนนิ่งมองน้องสาว
"ข้าไม่เข้าใจ...น้องสาวเรา...ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ม่านอาคมนี่หากไม่มีป้ายหยกก็ผ่านเข้าออกไม่ได้ไม่ใช่เหรอ"
"อย่าเพิ่งพูดเลย มิ่นหมิ่นเป็นถึงผู้สืบทอดของเผ่าจิ้งจอกของเรา เรื่องนี้ไม่เกินกำลังของนาง" หลินหยูตอบเสียงต่ำ
เขามองเห็นทุกอย่างแต่ไม่อาจห้ามปรามนั่นคือชะตาของมิ่นหมิ่นบาปเคราะห์ที่มิ่นหมิ่นจะต้องเผชิญก่อนจะอายุครบ200ปี นั่นคือ20ปีต่อจากนี้นางจะต้องเผชิญบาปเคราะห์เพียงลำพัง
ขณะที่กำลังพยุงมิ่นหมิ่นให้นั่ง
"ข้ารู้ดีว่ามิ่นหมิ่นใช้พลังทั้งหมดของตัวเองเพื่อช่วยเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง"
"แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่" หลินซินถาม คิ้วขมวดแน่น
“มิ่นหมิ่นนะมิ่นหมิ่น พยายามออกมาจากม่านอาคมด้วยตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าตัวเองยังอ่อนแอเพิ่งจะผ่านขั้นหนึ่ง"
หลินหยูมองน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
"ข้าจะต้องพาน้องสาวกลับวังไปฟื้นฟูพลังในบ่อน้ำร้อนของเราให้เร็วที่สุด"
ขณะที่หลินหยูและหลินซินกำลังพูดคุยกันอย่างเร่งรีบ มิ่นหมิ่นที่ยังคงหลับตาอยู่นั้นก็ได้แต่ปล่อยให้พี่ชายทั้งสามพยายามช่วยเหลือให้พ้นจากความอ่อนแอ แกล้งหลับตาเสีย รู้ดีว่าพี่ชายทั้งสามไม่กล้าขัดใจและไม่กล้าดุแต่ในใจของมิ่นหมิ่นกลับยังคงรู้สึกห่วงหยงเจี้ยนที่ไม่อาจช่วยตัวเองได้มากนัก
มิ่นหมิ่นมาอยู่ในมือทั้งสามจิ้งจอกแล้วก็เบาใจได้ แอบยิ้ม หลินซินที่เห็นรอยยิ้มนั้นก็เผลอยิ้มตาม ร้ายกาจจริงๆเจ้าจิ้งจอกน้อย เขาคิดในใจ
ในม่านอาคมของดินแดนเผ่าจิ้งจอก พื้นที่โดยรอบเป็นแสงสีอ่อนที่ล่องลอยราวกับแสงจันทร์สะท้อนในน้ำ ร่างของมิ่นหมิ่นนั่งอยู่ในที่กลางห้องที่เต็มไปด้วยเส้นสายอาคมและพลังที่คอยปกป้องดินแดนแห่งนี้ ใบหน้าซีดเซียวและท่าทางอ่อนแรง ทว่าทันทีที่พี่ชายทั้งสามก้าวเข้ามา กลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เริ่มซึมซาบเข้ามาในร่างกาย
หลินหยู หลินซินและหลินหาน ก้าวเข้ามาพร้อมกับท่าทางที่เต็มไปด้วยความห่วงใย พวกเขาทุกคนเป็นผู้มีพลังลึกลับและเป็นพี่ชายที่มิ่นหมิ่นรักและเคารพอย่างที่สุด
"มิ่นหมิ่น"
หลินหยูกล่าวเสียงนุ่มนวลขณะที่ก้าวเข้ามานั่งข้างๆมิ่นหมิ่น เขายื่นมือไปสัมผัสที่ข้อมือของมิ่นหมิ่นอย่างเบามือ สัมผัสอ่อนโยนที่สุดที่เขาสามารถทำได้
"เจ้าอาการดีขึ้นแล้วรึ"
มิ่นหมิ่นยิ้มอ่อนๆให้กับพี่ชายใหญ่ ร่างกายที่เคยอ่อนแอเริ่มแข็งแรงขึ้นทันทีเมื่อพี่ชายทั้งสามมาถึง รู้สึกถึงพลังที่พวกเขาส่งมาให้ เสมือนกับอำนาจของพวกเขาที่คอยสนับสนุนและฟื้นฟูร่างกายของมิ่นหมิ่นมาเสมอ
"ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว พี่ใหญ่...ขอบคุณพี่ๆทั้งสามที่มาอยู่ข้างข้า"
มิ่นหมิ่นพูดเสียงเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและยืดตัวออก
"ข้าไม่เคยเห็นเจ้าร่างแข็งแรงขนาดนี้มาก่อน เจ้าเหมือนจิ้งจอกที่ตื่นจากการหลับใหล คงเป็นเพราะกินผลไม้อมตะสินะ" หลินหานหัวเราะเบาๆ
มิ่นหมิ่นยิ้มแห้งๆ หลินซินยิ้มขำ
"เจ้า..." หยงเจี้ยนพยายามพูด แต่เสียงของเขายังคงแหบแห้ง เขาขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกเหมือนร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงเต็มที่ จึงมรุดลงไปกับพื้น"โอ๊ย "มิ่นหมิ่นรีบเข้ามาขวางไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้น ท่าทางเต็มไปด้วยความห่วงใย ท่านยังไม่แข็งแรงเลยนะ อย่าพยายามขยับมากนัก ข้าจะคอยดูแลท่านเองหยงเจี้ยนถอนหายใจ ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของจิ้งจอกน้อยมิ่นหมิ่นที่ใกล้เข้ามา "เจ้าจิ้งจอกตัวนี้นี่ เฝ้าข้าตลอดเวลาเลยหรือ" หยงเจี้ยนถามออกไป รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถจำอะไรได้มาก จากที่ผ่านมาทุกสิ่งดูเหมือนจะพร่าเลือนและเต็มไปด้วยความสับสน คล้ายหลับแต่ก็เหมือนตื่นมิ่นหมิ่นยิ้มอ่อนโยน ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน ข้าคือมิ่นหมิ่น... จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างท่านมาเสมอ ข้าไม่เคยทิ้งท่านไปไหนเลย จริงจริ้งงงงงหยงเจี้ยนมองอย่างเงียบๆ สักครู่ ดวงตาของเขาฉายแววสงสัยและสับสน แต่มุมปากของเขากลับยิ้มออกมาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคยจากใบหน้านั้น ราวกับว่าคุ้นเคยกับเจ้าจิ้งจอกเหลือเกินไร้ผู้คนไร้สหายข้างกายมีเพียงจิ้งจอกป่า หยงเจี้ยนยิ้มหยันให้กับตัวเขาเองจิ้งจอกเช่นไรจึงมาดูแลมนุษย์ได้"ขอบคุณ...เจ้าช่วยข้า ใ
"พี่ใหญ่ต่อไปท่านก็คงไม่ต้องกังวลแล้วนะ ข้ารู้สึกถึงพลังของมิ่นหมิ่นที่กลับคืนมาแล้ว"มิ่นหมิ่นมองพี่ชายทั้งสามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ก่อนที่จะหันไปหาหลินหยู พี่ชายคนโตของนางที่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แตกต่างจากพี่ชายคนอื่น ๆ ในการดูแลเธอ"พี่ใหญ่...ข้าอยากเรียนวิชาหยั่งรู้เจ้าค่ะ" มิ่นหมิ่นพูดอย่างออดอ้อนเสียงแผ่วเบา"ข้าอยากรู้วิธีใช้พลังของข้าอย่างมีประสิทธิภาพ ข้าอยากเข้าใจว่าพลังของข้าคืออะไรและจะใช้มันได้ยังไง"หลินหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับมิ่นหมิ่น เขาเป็นพี่ชายที่รักและห่วงใยมิ่นหมิ่นมากที่สุดจะต้านทานน้องสาวตัวน้อยได้ยังไง"เจ้าคือว่าที่ฮองเฮา ว่าที่ผู้นำเผ่าจิ้งจอกด้วยชาติกำเนิดของเจ้ามีญาณหยั่งรู้ติดตัวอยู่แล้ว" หลินหยูพูดเสียงนุ่ม "แค่ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง เจ้าก็สามารถใช้พลังนี้ได้แล้ว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะต้องฝึกฝนมันมากมาย"มิ่นหมิ่นมองพี่ชายใหญ่ด้วยความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น "จริงเหรอเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องฝึกเลยเหรอ"หลินหยูหัวเราะเบาๆพร้อมกับส่ายหัว "มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบนั้นหรอก เจ้าแค่ต้องฝึกวิธีการควบคุมมัน แต่เจ้ามีพลังในตัวเองแล้ว เจ้าคือผู้ที่เกิดมาพ
"ไม่ต้องทุ้มเทเพียงนั้น ข้าหมดสิ้นทุกอย่างไร้ซึ่งทุกสิ่งแล้ว" หยงเจี้ยนกล่าวเสียงเบkแต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้เขาจะยังคงไม่มีพลังมากพอ แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อมิ่นหมิ่นจากความสงสัยเป็นความขอบคุณในความเงียบสงบทั้งสองคนยังคงประสานพลังให้แก่กันอย่างเงียบๆในสุสานบรรพชนที่รกร้างนี้ร่างกายของหยงเจี้ยนค่อยๆฟื้นคืนความแข็งแรงขึ้นทีละน้อย เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและพลังที่ไหลเวียนผ่านเส้นเลือด แค่เขาหายใจลึกๆก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เข้ามาช่วยสนับสนุนให้ร่างกายเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง“เจ้าคือใครกัน"มิ่นหมิ่นไม่ตอบในทันทีเพราะเริ่มอ่อนแรง กำลังนั่งขัดสมาธิและคอยเดินลมปราณให้กับเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มหม่นหมองเล็กน้อย "ข้าแค่เป็นจิ้งจอกเก้าหางที่หนีออกมา...เพื่อค้นหาความหมายของชีวิตในโลกนี้ ดีใจที่ได้ช่วยท่าน" น้ำเสียงของสดใสน่าเอ็นดูแต่อ่อนแรงไปมากแล้วหยงเจี้ยนยังคงมองมิ่นหมิ่นด้วยความสงสัย รู้สึกถึงความอุ่นจากลมปราณที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายใน รู้สึกถึงกำลังวังชาที่กลับมามิ่นหมิ่นหยุดการเคลื่อนไหวลมปราณผ่านมือ พูดด้วยน้ำเ
มิ่นหมิ่นที่มักจะไม่สามารถปฏิเสธคำขอของมารดาได้ ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะคว้าผลไม้นั้นขึ้นมาแล้วพูดว่า "ขอบคุณพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะนำมันไปเก็บไว้ที่ตำหนักหลานฮวาของข้า แล้วค่อยกินมันวันพรุ่งนี้" มิ่นหมิ่นยิ้มออดอ้อนและเดินออกจากตำหนักไปพร้อมกับผลไม้ในมือฮองเฮามองตามร่างเล็กๆ ของมิ่นหมิ่นที่เดินออกไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ทองคำมิ่นหมิ่นเดินออกจากห้องของฮองเฮาด้วยรอยยิ้มหวานที่ซ่อนความกังวลไว้ในใจ มือจับผลไม้อมตะในมือด้วยความระมัดระวังสุดชีวิต สายตามองไปที่เสี่ยวเอินที่ยังคงยืนอยู่ข้างหลังราวกับจะไม่ให้มิ่นหมิ่นคาดสายตา“เสี่ยวเอินมานี่”"เจ้าคะองค์หญิงมิ่นหมิ่น ท่าน...มีอะไรให้เสี่ยวเอินรับใช้" เสี่ยวเอินตามมาหยุดข้างๆ มิ่นหมิ่นหันไปยิ้มให้สาวใช้ก่อนจะพูดเสียงเบา "ขอบใจเจ้ามากที่มาตามข้าไปพบท่านแม่ แต่วันนี้ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ คือเจ้ากลับไปแปรงขนของเจ้าตามเดิมเถอะ แค่ข้าต้องการเดินไปที่ตำหนักดอกไม้ของข้าด้วยตัวข้าเอง""เจ้าค่ะ..." เสี่ยวเอินพูดเสียงอ่อนๆ ไม่พยายามจะขัดใจมิ่นหมิ่นก่อนจะยิ้มและเดินออกไปจากตำหนักมิ่นหมิ่นเดินไปตามทาง
เสียงเรียกเบาๆ ดังทะลุม่านอาคมมิ่นหมิ่นกางใบหูของจิ้งจอกก่อนจะรีบปล่อยร่างผอมแห้งของหยงเจี้ยนให้นอนลงเหมือนเดิมแล้วพุ่งตัวกลับไปยังม่านอาคมภายในม่านอาคมสาวใช้คนสนิทนามเสี่ยวเอิน รีบวิ่งมาหามิ่นหมิ่น “มาแล้วหรือเพคะ” เดินตามหลังองค์หญิงมิ่นหมิ่นไปอย่างเร็วรี่สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ เสียงของนกขับขาน แต่สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเอินตกใจคือมิ่นหมิ่นกลับหายไปจากห้องนั่งเล่นไป เดินหาจนทั่วและเดินเลยเกือบจะถึงทางออกม่านอาคมจึงเจอมิ่นหมิ่น"องค์หญิงไปเล่นซนตรงไหนมาเพคะ" เสี่ยวเอินถามเสียงตื่นเต้น ขณะที่รีบตามไปอย่างเร่งรีบ "ฮองเฮาให้ข้าตามท่านไปเพื่อเอาผลไม้อมตะเพคะ"มิ่นหมิ่นเดินต่อไปโดยไม่หันไปมองสาวใช้ที่วิ่งตามหลังมา ท่าทางเบื่อหน่ายแล้วเบ้ปากเล็กๆ เมื่อได้ยินคำว่า "ผลไม้อมตะ…เหอะ ผลไม้อมตะนั่น ข้ากินทุกปีจนเบื่อแล้ว ครบปีอีกแล้วหรือเฮ้อ….." มิ่นหมิ่นพึมพำเสียงเบา พลางคิดถึงความจำเจของการกินผลไม้ทุกปีที่เริ่มจะเบื่อเต็มทนเสี่ยวเอินรีบก้าวเข้ามาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หยุดยืนตรงหน้ามิ่นหมิ่นและพูดเหมือนกล่อมเด็ก"แต่ว่าองค์หญิงมิ่นหมิ่นเจ้าค่ะ ผลไม้อมตะนี้มีแต่ท่านกับฮองเฮาที่ได้ก
ขณะที่องครักษ์หลายคนพุ่งเข้าไปใช้ทวนฟาดฟันอย่างไม่มีความปรานี เพื่อไม่ให้มิ่นหมิ่นมีโอกาสหนีรอดกลับถูกม่านอาคมผลักให้กระเด็นออกมาแต่ยิ่งทุ้มเทแรงไปเท่าไหร่ยิ่งสะท้อนกลับมหาศาลมิ่นหมิ่นกระอักเลือดสดๆ ออกมา ร่างของมิ่นหมิ่นเริ่มสั่นไหวเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกจากปากของตัวเอง ความเจ็บปวดทำให้สายตาพร่ามัวหยงเจี้ยนมองมิ่นหมิ่นอย่างเย็นชากระบี่ของเขาถูกดึงออกจากร่างของมิ่นหมิ่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากมิ่นหมิ่นปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลรินออกมา ความรักที่เคยมีให้เขา กำลังจะถูกทำลายลงด้วยมือของเขาเองพี่ชายทั้งสามของมิ่นหมิ่นก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พี่ใหญ่หลินหยูที่ใช้พัดในมือกวาดออกไปด้วยท่าทางที่เยือกเย็น พลังยุทธ์ขั้นสูงที่เขาใช้ทำให้เหล่าองครักษ์ล้มระเนระนาดไม่สามารถต้านทานได้ หลินซินและหลินหานรีบเข้าไปประคองมิ่นหมิ่นที่บาดเจ็บและพามิ่นหมิ่นออกจากที่นั่น“นางจิ้งจอกหนีไปแล้ว!” หยงเจี้ยนที่ล้มลงกับพื้นตะโกนเสียงดังหยงเจี้ยนลุกขึ้นมองไปยังเส้นทางที่มิ่นหมิ่นหนีไป ก่อนจะสะดุดตากับสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น กำไลหยกที่เขามอบให้มิ่นหมิ่นในคืนเหน็บหนาวหยงเจี้ยนยืนนิ่งอยู่ในที่นั้น ดวงตาของเขา