Masuk"พี่ใหญ่ต่อไปท่านก็คงไม่ต้องกังวลแล้วนะ ข้ารู้สึกถึงพลังของมิ่นหมิ่นที่กลับคืนมาแล้ว"
มิ่นหมิ่นมองพี่ชายทั้งสามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ก่อนที่จะหันไปหาหลินหยู พี่ชายคนโตของนางที่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แตกต่างจากพี่ชายคนอื่น ๆ ในการดูแลเธอ
"พี่ใหญ่...ข้าอยากเรียนวิชาหยั่งรู้เจ้าค่ะ" มิ่นหมิ่นพูดอย่างออดอ้อนเสียงแผ่วเบา
"ข้าอยากรู้วิธีใช้พลังของข้าอย่างมีประสิทธิภาพ ข้าอยากเข้าใจว่าพลังของข้าคืออะไรและจะใช้มันได้ยังไง"
หลินหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับมิ่นหมิ่น เขาเป็นพี่ชายที่รักและห่วงใยมิ่นหมิ่นมากที่สุดจะต้านทานน้องสาวตัวน้อยได้ยังไง
"เจ้าคือว่าที่ฮองเฮา ว่าที่ผู้นำเผ่าจิ้งจอกด้วยชาติกำเนิดของเจ้ามีญาณหยั่งรู้ติดตัวอยู่แล้ว" หลินหยูพูดเสียงนุ่ม
"แค่ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง เจ้าก็สามารถใช้พลังนี้ได้แล้ว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะต้องฝึกฝนมันมากมาย"
มิ่นหมิ่นมองพี่ชายใหญ่ด้วยความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น
"จริงเหรอเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องฝึกเลยเหรอ"
หลินหยูหัวเราะเบาๆพร้อมกับส่ายหัว
"มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบนั้นหรอก เจ้าแค่ต้องฝึกวิธีการควบคุมมัน แต่เจ้ามีพลังในตัวเองแล้ว เจ้าคือผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพลังนี้ ข้าจะช่วยแนะนำวิธีใช้มันเอง"
มิ่นหมิ่นกระพริบตาอย่างงงๆก่อนจะพยักหน้าด้วยความเชื่อมั่นในตัวพี่ชาย ยังไงพี่ใหญ่หลินหยูก็คือคนที่เข้าใจพลังของมิ่นหมิ่นมากที่สุด
"ถ้างั้น...ข้าจะเริ่มฝึกเมื่อไรดีล่ะ" มิ่นหมิ่นถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
หลินหยูยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นและส่งพลังบางอย่างไปยังมิ่นหมิ่น เหมือนกับว่าพลังนั้นค่อยๆเข้าไปในร่างกายและลอยวนไปทั่งสรรพร่าง
"เจ้าพร้อมแล้ว เพียงแค่ใช้ใจและใช้ความสนใจเท่านั้น" หลินหยูพูดเสริม
"วันไหนที่เจ้าดำรงค์ตำแหน่งฮองเฮา ข้าจะช่วยแนะนำวิธีควบคุมพลังนั้นให้ดีที่สุด"
มิ่นหมิ่นปิดตาลงช้าๆพยายามสัมผัสพลังที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกาย รู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ราวกับว่าสามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจนขึ้น
พี่ชายทั้งสามก็ยืนอยู่ข้างๆความรู้สึกที่มิ่นหมิ่นได้รับจากพวกเขาที่คอยให้กำลังใจข้างๆทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ
มิ่นหมิ่นนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างกายสงบและจิตใจดิ่งลึกสู่การฝึกฝนวิชาหยั่งรู้ที่หลินหยูได้สอนให้ รู้สึกถึงทุกสิ่งรอบตัว ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีสายน้ำใสไหลผ่านตัว เส้นใยแห่งพลังและญาณยั่งรู้กำลังซึมซาบเข้ามาในร่างกายของอย่างค่อยเป็นค่อยไป
"หยงเจี้ยน…คนผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ข้าฝึกถึงขั้นหนึ่งแล้วนี่ ฮ่าาาาออกไปเที่ยวได้แล้ว หยงเจี้ยนคนนั้นหายหรือยังน้าาา" ชื่อนั้นดังในใจของมิ่นหมิ่น รู้สึกอยากไปพบเขาอีกครั้ง
เมื่อการฝึกฝนถึงขั้นหนึ่ง มิ่นหมิ่นยืนอยู่ท่ามกลางม่านอาคม ก้าวผ่านออกไปอย่างไม่ลังเล ไม่ได้อยู่ในดินแดนของเผ่าจิ้งจอกแล้ว
"ข้ามาโลกแสนสวย โลกมนุษย์ที่กว้างใหญ่...ข้าออกมาแล้วววววว..." มิ่นหมิ่นพูดกับตัวเองอย่างร่าเริง ก่อนจะก้าวเดินอย่างมั่นใจออกไป
มิ่นหมิ่นก็ยืนอยู่ที่สุสานบรรพชนที่หยงเจี้ยนเคยอยู่ สถานที่แห่งนี้ยังคงมืดมิดและเงียบสงัด ค่อยๆก้าวไปข้างหน้า เห็นร่างของหยงเจี้ยนที่นอนอยู่บนแท่นนอน เขานอนหลับสนิท ราวกับไม่รู้ว่าใครมาอยู่ข้างๆเขา
มิ่นหมิ่นยืนอยู่ข้างๆเขาหัวใจของเต้นเร็วขึ้นขณะที่มือเล็กๆยื่นออกไปสัมผัสใบหน้าของหยงเจี้ยน หยงเจี้ยนที่เคยช่วยเหลือทำให้รู้สึกถึงการเชื่อมโยงบางอย่างที่มาจากพลังที่ส่งให้เขาในอดีต
"ข้ากลับมาแล้ว...คิดถึงข้าไหมฮ่าาาา" มิ่นหมิ่นพูดดังๆยิ้มบางๆอ่อนหวาน
“เมื่อไหร่จะตื่นกันน้าาา” มิ่นหมิ่นพึมพำเสียงเบา ขณะที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆหยงเจี้ยน รอเวลาที่เขาจะตื่นขึ้นมา
สามวันผ่านไป
หยงเจี้ยนถูกล้อมรอบด้วยความมืดมิด เขาหายใจลึกแต่รู้สึกเหมือนตัวเองจมอยู่ในความอ่อนแอ ร่างกายยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าและปวดแปลบอยู่ในหลายจุด จิตใจไม่ชัดเจนเหมือนกับว่าเขาเพิ่งฝันไปในโลกของอดีต
เสียงเบาๆของลมหายใจใกล้เคียงทำให้เขาค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
พบแสงสว่างจากแสงแดดอ่อนๆ แทรกเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างไม้บานเล็กและภาพแรกที่หยงเจี้ยนเห็นคือใบหน้าเล็กๆ แต่ใบหน้านั้นคือจิ้งจอกสีขาวขนฟู
"เจ้าหมาน้อย" เสียงของหยงเจี้ยนแหบแห้งจากการที่เขาไม่ได้ใช้เสียงมานาน
หยงเจี้ยนมองไปที่จิ้งจอกตัวเล็กที่นั่งข้างๆเขา ใบหน้าอ่อนหวาน น่ารักน่าเอ็นดู…ตัวเมียอย่างนั้นหรือ ดวงตาของเจ้าจิ้งจอกที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองมายังเขานิ่งๆ
มิ่นหมิ่นนั่งอยู่ข้างๆจ้องเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน หางยาวของจิ้งจอกที่พลิ้วไหวตามลมเล็กน้อยเมื่อเคลื่อนไหว
เมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมามิ่นหมิ่นยิ้มออกมาทันที ดวงตาของส่องประกายอย่างโล่งใจ ยื่นมือนุ่มฟูออกไปค่อยๆวางมันบนมือของเขาอย่างเบามือ
อ่อนหวานและอ่อนโยนเหมือนเสียงสายลมที่พัดผ่าน ในขณะที่มิ่นหมิ่นเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ข้า...ข้ากลัวว่าท่านจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
เพียงคำพูดในหัว ถึงจะพูดได้ แต่ก็ไม่ควรให้เขาได้ยินว่าหมาจิ้งจอกพูดได้สินะเช่นนั้นจึงจะถูกเรียกว่ามารจิ้งจอก มิ่นหมิ่นไม่ได้อยากเป็นมารจิ้งจอก
หยงเจี้ยนมองมือของมิ่นหมิ่นที่วางบนมือของเขา ในตอนนี้เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างในตัวเขากลับคืนมา
หยงเจี้ยนยิ้มขึ้นมุมปากอย่างยียวน ก่อนจะพูดด้วยเสียงยั่วยุ "แต่แม่นางน้อยม่านม่านคงไม่ยินดีที่ชาร่วมดื่มชาสินะ" พูดเหมือนจะล้อเลียนขำๆม่านม่านถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินชมตำหนักบูรพาอย่างไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่หยงเจี้ยนและหยงซินยืนอยู่ที่ทางเข้าของตำหนักบูรพา เสียงของหยงซินดังขึ้นอีกครั้ง"พี่สี่ ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้า ทั้งๆ ที่ข้าเองก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับท่าน..."หยงเจี้ยนหันไปมองน้องชายอย่างเย็นชา "นั่นมันเรื่องของเจ้า และนี่ก็เรื่องของข้า ข้าก็ไม่ได้อยากยุ่งกับเจ้าซะหน่อย น่ารำคาญจริงๆ เลย" หยงเจี้ยนแสดงท่าทีรำคาญชัดเจน เดินไปทันทีทิ้งหยงซินมองตามม่านม่านและหยงเจี้ยนที่เดินไปอย่างเงียบๆ …หยงเจี้ยนยืนอยู่ข้างโต๊ะชงชา เขาก้มหน้าลงอย่างตั้งใจในการเตรียมชา มองดูน้ำร้อนที่ไหลลงจากกาน้ำในมืออย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมือของหยงเจี้ยนเคลื่อนไหวอย่างละเมียดละไม พิถีพิถันในการเลือกและชงชา ค่อยๆ เติมน้ำร้อนลงในกาน้ำชา ด้วยท่าทางอ่อนโยนไม่รีบร้อน หลังจากนั้นก็ยกกาน้ำชาและเทชาลงในจอกสองใบตรงหน้าอย่างประณีต โดยไม่ให้มีหยดใดตกหล่นลงบนโต๊
ตำหนักบูรพา"ลมอะไรกันที่สามารถหอบนางสวรรค์ม่านม่านมาถึงนี่ได้"หยงซินพูดทีเล่นทีจริง เสียงเย้ยหยันขบขันทำให้บรรยากาศในห้องดูไม่เป็นทางการเอาเสียเลย หยงซินหัวเราะเบาๆ พร้อมจ้องมองม่านม่านที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆม่านม่านยิ้มหวานหยด ไม่ยี่หระกับการพูดไม่ให้เกียรติของหยงซิน ก่อนจะพูดเสียงเบา“ข้าได้ยินว่า…ไท่จือสองสามวันก่อนนอนไม่ค่อยหลับ ข้าจึงนำชานอนหลับมามอบให้ด้วยตัวเอง”หยงซินมองม่านม่านด้วยสายตาประหลาดใจ"เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ ช่วยเหลือดูแลคนในวังหลวงไม่ว่าจะสูงต่ำเพียงใด" เขาพูดพลางยิ้มอย่างขบขัน อี้จือและซีหยินเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ อี้จือมองแวบหนึ่งไปที่หยงซินแล้วหันไปมองม่านม่าน สายตาดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรนักแต่ก็พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้“มาแล้วหรือข้ากำลังรออยู่พอดีเลย” คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องกลับมาเครียดอีกครั้ง อี้จือที่เคยชินกับคำพูดรุนแรงนี้ไม่ยอมหลบเลี่ยง"หญิงแพศยา เจ้ายังมาทำอะไรแบบนี้ได้อีกหรือ ข้าได้ยินว่าเจ้าตกน้ำแล้วหายเข้าไปในห้องของพี่สี่ตั้งนานสองนาน อย่าคิดว่าข้าจะหูหนวกตาบอดนะ""พี่ห้า ฮะฮ่าาาา ท่านก็อย่าโมโหไปหน่อยเลยน่า ข้าอยู่ที่นั่น
อี้จือที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ซีหยินหันมองตาม เบิกตามองหลินซินไปชั่วครู่ สายตาแวววาวหากแต่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเสียงต่ำ"นั่นคือหลินซิน…เจ้าก็เคยพบเขาแล้วนี่”ซีหยินหันไปมองอี้จือก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าเล็กน้อย เสียงของหลินซินดังขึ้นเบาๆ ในระยะห่างจากพวกเขา"ข้าแค่ผ่านไป…ขออภัยทั้งสองด้วย" หลินซินกล่าวเสียงเรียบก่อนที่จะเดินหายไปทั้งสองมองตามร่างของหลินซินไปเงียบๆ ช่วงเวลานั้นเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ซีหยินมองตามหลินซินด้วยดวงตาเคลิ้มฝัน“คนอะไร ทั้งสุภาพและอ่อนโยน ขี้เกรงใจอีกต่างหาก งู้ยยย…ข้าจะต้องหาทางรู้จักเขาให้มากกว่านี้ให้จงได้”ในตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้แสงคบเพลิงสะท้อนเงาของขุนนางและองครักษ์ที่หมอบเรียงรายอยู่เบื้องหน้า เสียงลมหายใจหอบสั้นตึงเครียดปะปนกับเสียงสั่นเครือของผู้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้หยงฉี"ฝ่าบาทได้โปรด…ฝ่าบาทได้โปรด ข้าน้อยสมควรตาย…" เสียงนั้นแตกพร่าด้วยความสั่นกลัว"ฉับ!"ยังไม่ทันที่เสียงสะอื้นจะจบลง คมกระบี่สับลงดั่งสายฟ้าฟาดด้วยมือของฮ่องเต้หยงฉี ลำคอของขุนนางคนนั้นขาดสะบั้นหลุดล่วงจากบ่ากลิ้งบนพื้นไปไกล เลือดฉีดพุ่งกร
"ว่ามา" หยงเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน"ระหว่างนี้…ท่านห้ามมองหญิงงามล่มสวรรค์คนนั้น ห้ามใส่ใจนาง ห้ามเข้าใกล้นาง ห้ามพูดกับนางและ…ท่านห้ามชอบนาง เพราะข้าริษยานาง ที่ท่านสี่ใส่ใจนางมากกว่าข้า" อี้จือพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แสดงความริษยาออกมาอย่างชัดเจนหยงเจี้ยนยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของอี้จือเป็นอย่างดี"เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ให้ใครมาเข้ามาแย่งความสนใจของข้าไปจากเจ้าได้" พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยกมือขึ้นมาแตะใบหน้าของอี้จือ ลูบเบาๆ ตามแก้มนุ่มอี้จือเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างดีใจ ก่อนหน้านี้หยงเจี้ยนคงสับสนอยู่บ้างเพราะตนเองเป็นไท่จือเฟยจึงผลักไส แต่ในที่สุดไม่ว่าอย่างไรหยงเจี้ยนก็ยังคงรักตนเองที่สุด ยังให้คำมั่นสัญญา จากที่ไม่คิดทำอะไรในตอนนี้ถึงกลับลงมือเคลื่อนไหวแล้วเพื่อข้า…เช่นนั้นข้าจะรอหยงเจี้ยนกับอี้จือก้าวออกมานอกตำหนัก เสี่ยวเอ๋อร์เดินเข้ามาช้าๆ ก้าวเบาๆ ถึงขั้นย่องเข้ามา ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาหยงเจี้ยนแล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา"องค์ชายขอรับ…ข้าน้อยเห็นว่าแม่นางน้อยม่านม่านไม่ได้ไปที่ตำหนักฝ่าบาทนะขอรับ นางเดินไปทางตำหนักบูรพาแล้วขอรับ…"อี้
ในห้องเงียบสงัดอี้จือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในตำหนักของหยงเจี้ยน ขณะที่ซวนซ้วนยืนข้างๆ คอยเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ ของอี้จืออย่างระมัดระวัง มือบางของอี้จือจับที่ขอบโต๊ะแน่น ใบหน้าของนางสะท้อนอยู่ในกระจกเงา รอยน้ำตายังคงพร่ามัวในดวงตาของนาง ดวงตาแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดอย่างมากมายเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาหยงเจี้ยนเดินเข้ามาในห้องและยืนอยู่ที่ประตูสักครู่ก่อนจะเดินตรงไปที่ซวนซ้วน คว้าผ้าเช็ดผมจากมือของซวนซ้วนแล้วเริ่มเช็ดผมให้กับอี้จือด้วยมือของตนเอง อี้จือมองผ่านกระจกเงาไปที่หยงเจี้ยน น้ำตาค่อยๆ หยดลง ขณะที่มือบางของอี้จือกระชับมือของหยงเจี้ยนเอาไว้แน่น"ท่านพี่...ท่านช่วยพาข้าออกจากตรงนี้ที"เสียงของอี้จือแผ่วเบาและเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตายังคงไหลริน ราวกับไม่สามารถทนต่อความอัดอั้นที่อยู่ภายในได้อีกแล้ว เสียงสะอื้นที่มาพร้อมกับคำขอทำดูน่าสงสารจับใจหยงเจี้ยนหรี่ตาลงและตอบกลับเสียงแหบเบา"อดทนรอ..." เพียงคำพูดสั้นๆ แต่มันก็มีน้ำหนักมากมาย หากเขาบอกให้รอ นางก็จะรอ แม้จะยากเพียงใดก็ตามอี้จือก้มหน้า น้ำตาที่พยายามจะซ่อนไว้ก็หยดลงมาอีกครั้ง หลับตาลงและยิ้มให้กับคำพูดนั้น แม
"ท่านสี่ท่านกำลังจะไปไหน?"อี้จือถามด้วยสายตาหวานจนม่านม่านจับสังเกตได้ ท่าทางของอี้จือช่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถปิดบังได้ ม่านม่านได้แต่ยิ้มบางๆ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าอี้จือเป็นคนที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง"ข้ากำลังจะไปถวายพระพรเสด็จพ่อ" หยงเจี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในดวงตาของเขากลับมีแวววาบบางอย่างที่อี้จือไม่ทันสังเกตอี้จือยิ้มเศร้าๆ แววตาของนางดูแปลกไปเมื่อได้ยินคำตอบจากหยงเจี้ยน"อี้จือก็กำลังจะไปขอประทานอนุญาตจากฝ่าบาทกลับไปที่บ้านเฉินเช่นกัน"คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวท่ามกลางทางเดินดูหม่นหมองเล็กน้อย ความเศร้าที่อยู่ในคำพูดของอี้จือทำให้ม่านม่านรู้สึกถึงเช่นกัน"หลบหน่อยๆๆๆๆๆๆ!" เสียงเอะอะโวยวายของเสี่ยวเอ่อร์ก็ดังขึ้นมาแทรกกลางความเงียบ ตะโกนมาอย่างรีบร้อนทำให้ม่านม่านและอี้จือหันไปมองทันที สุนัขขนปุยตัวใหญ่ขององค์หญิงใหญ่ซีหยินวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มันดูเหมือนจะมีพละกำลังเหลือล้น วิ่งเข้ามาชนกับอี้จือและม่านม่านทั้งสองคนหงายหลังพร้อมกันขาแทบลอยจากพื้นร่างทั้งสองกำลังจะตกลงไปในน้ำข้างทางเดิน หยงเจี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบคว้าแขนอี้จือไว้ทันทีแต่ในระ







