ไป๋เฉินเหลือบมองไป๋ผิงซึ่งหมดสติอยู่บนพื้น แววคิดคำนึงวาบผ่านดวงตาของเขา เขาเพิ่งใช้พลังทั้งหมดช่วยชีวิตนางไว้ แต่ยิ่งคิดถึงสิ่งที่นางทำไว้การหลอกลวง ฆาตกรรม และความโหดเหี้ยมที่ฝังลึกในตัวนางความโกรธของเขาก็ยิ่งปะทุขึ้นอีกครั้ง
"เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?" เขาขบกรามพูดเสียงเย็น พร้อมรอยยิ้มแฝงความโหดร้าย เขาช้อนร่างนางขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยนางออกไปสู่ที่ปลอดภัย เขาพานางตรงไปยังคุกใต้ดินของเขาแทน เมื่อไป๋ผิงลืมตาขึ้น นางกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตา ก่อนจะพบว่าข้อมือและข้อเท้าของตนถูกพันธนาการด้วยโซ่เย็นเฉียบ นางตัวสั่นสะท้าน หัวใจบีบรัดแน่นทันที "ไป๋เฉิน..!" นางกัดฟันแน่น พยายามขัดขืน ทว่าร่างกายที่อ่อนล้าของนางไม่อาจตอบสนอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากความมืด ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวออกมา ดวงตาสีดำสนิทของเขาส่องประกายคมกริบ ไร้ความปรานี "เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป?" เสียงของเขาเย็นเยียบดังน้ำแข็งที่ไหลเวียนในเส้นเลือดของนาง ไป๋ผิงกัดริมฝีปาก ไม่ตอบคำไป๋เฉินกลับไปยังตำหนักของตน คิ้วคมขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อไม่เห็นเงาของไป๋ผิงอยู่ในห้อง นางหายไปไหนกัน? "นางอยู่ที่ไหน?" น้ำเสียงเย็นเยียบดังก้องไปทั่ว บรรดาข้ารับใช้ต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา "..พวกเราไม่ทราบพะยะค่ะ! องค์หญิงไป๋ผิงอยู่ในห้องเมื่อกลางวัน แต่แล้วจู่ ๆ... นางก็หายตัวไป!" ปัง! เพียงสะบัดแขนเบา ๆ โต๊ะไม้แกะสลักงดงามก็ลอยกระแทกผนังแตกกระจายเป็นเสี่ยง พลังสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกจากร่างของเขา จนทุกคนรอบข้างแทบหายใจไม่ออก! "ไปตามหานางมาให้ข้า! หากหานางไม่พบ... ก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก!" ข้ารับใช้หน้าซีดเผือด ต่างรีบกระจัดกระจายกันออกไปราวกับจิ้งจอกล่าตัวเหยื่อ ไป๋เฉินกำมือแน่น นัยน์ตาสีอำพันลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ ใครกัน... ใครบังอาจพานางไปจากข้า?! ค่ำคืนมืดมิด กลิ่นไอของความปั่นป่วนยังคงวนเวียนอยู่ในตำหนักของเขา ข้ารับใช้ที่ออกตามหาไป๋ผิงล้วนกลับมามือเปล่า ทุกคนเริ่มกังวล เพราะนางไม่ใช่คนที่จะหายตัวไปโดยไร้ร่อง
ไป๋เฉินเหลือบมองไป๋ผิงซึ่งหมดสติอยู่บนพื้น แววคิดคำนึงวาบผ่านดวงตาของเขา เขาเพิ่งใช้พลังทั้งหมดช่วยชีวิตนางไว้ แต่ยิ่งคิดถึงสิ่งที่นางทำไว้การหลอกลวง ฆาตกรรม และความโหดเหี้ยมที่ฝังลึกในตัวนางความโกรธของเขาก็ยิ่งปะทุขึ้นอีกครั้ง "เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?" เขาขบกรามพูดเสียงเย็น พร้อมรอยยิ้มแฝงความโหดร้าย เขาช้อนร่างนางขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยนางออกไปสู่ที่ปลอดภัย เขาพานางตรงไปยังคุกใต้ดินของเขาแทน เมื่อไป๋ผิงลืมตาขึ้น นางกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตา ก่อนจะพบว่าข้อมือและข้อเท้าของตนถูกพันธนาการด้วยโซ่เย็นเฉียบ นางตัวสั่นสะท้าน หัวใจบีบรัดแน่นทันที "ไป๋เฉิน..!" นางกัดฟันแน่น พยายามขัดขืน ทว่าร่างกายที่อ่อนล้าของนางไม่อาจตอบสนอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากความมืด ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวออกมา ดวงตาสีดำสนิทของเขาส่องประกายคมกริบ ไร้ความปรานี "เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป?" เสียงของเขาเย็นเยียบดังน้ำแข็งที่ไหลเวียนในเส้นเลือดของนาง ไป๋ผิงกัดริมฝีปาก ไม่ตอบคำ
ไป๋เฉินมองไปยังไป๋ผิงที่อ่อนแอและโซเซไปมา ดวงตาของเขาเย็นชา แต่กลับซ่อนบางสิ่งไว้ในนั้น ตนนั้นแอบตามไป๋ผิง แล้วเห็นว่านางนั่นเริ่มมีอาการ อ่อนแอลง ตนเดินออกมาอย่างเปิดเผยแล้วกล่าวว่า"เจ้าคิดว่าพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายตลอดหลายปีถูกกระตุ้นขึ้นมาเองอย่างมหัศจรรย์งั้นหรือ" เขากล่าวเรียบๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปปลายนิ้วของเขาแตะเบาๆ ที่หน้าผากของไป๋ผิง มันเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบา ทว่าแรงพลังบางอย่างกลับพุ่งพล่านไปทั่วร่างของนางในทันที‘พลังของข้า… ถูกกดข่ม…!’ดวงตาของไป๋ผิงขยายกว้าง นางรู้สึกถึงบางสิ่งที่พันธนาการพลังของนางจากภายใน"ไป๋เฉิน เจ้า… ทำอะไรกับข้า!" นางกัดฟันตะโกนเสียงแหบพร่า เพราะพิษที่ไหลเวียนในร่างชายหนุ่มเพียงยิ้มบาง ก่อนจะดึงมือกลับอย่างไม่ใยดี "ข้าแค่… ทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่อ่อนแอลง"สายตาของเขาสงบนิ่ง เย็นชา และไร้ความปรานี"เจ้ามีพลังมากเกินไป… และอิทธิพลของเจ้าก็โหดเหี้ยมเกินไปเช่นกัน" เขากล่าวอย่างเฉยเมย "ถึงเวลาต้องลดมันลงบ้างแล้ว"ไป๋ผิงพยายามขยับนิ้วมือเพื่อเรียกพลังภายใน แต่กลับเงียบสงัด ไม่มีสิ่งใดตอบสนอง"… ข้าไม่สามารถใช้พลังได้อีกแล้ว"นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองชายที่ยื
นางรับสารจากจิ้งจอกต่ำต้อยอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ใบหน้าของไป๋ผิงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทุกสายตาจับจ้องมาที่นาง รอคอยคำสั่งอย่างกลั้นหายใจ“พาข้าไปดูที่เกิดเหตุ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้จิ้งจอกกระโดดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างรวดเร็วและรีบออกจากห้องประชุมพร้อมกับนาง ขณะที่พวกเขาเดินผ่านทางเดินยาว จิ้งจอกที่อยู่ใกล้ ๆ มองพวกเขาด้วยความระมัดระวัง บางตัวดูเป็นกังวล บางตัวกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบ ๆ“มนุษย์เข้ามาในอาณาเขตของเราได้อย่างไร?”“หรือว่าจะเป็นนักล่าที่มีพลังพิเศษ?”ไป๋ผิงไม่สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น นางติดตามจิ้งจอกออกจากพระราชวังไปยังเขตชายแดน ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าเมืองของจิ้งจอกขาวกลิ่นเลือดยังคงลอยอยู่ในอากาศเมื่อพวกเขามาถึง ซากปรักหักพังของบ้านบ่งบอกถึงความโหดร้ายของการโจมตี ไป๋ผิงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงสัมผัสพื้นดิน นางลูบคราบเลือดสีสนิมบนดินด้วยนิ้วเรียวบาง“ลายพลังงานนี้…” เสียงของนางขาดหายไป ดวงตาแคบลงเล็กน้อยนางรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาด ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่กลับคุ้นเคยอย่างประหลาด…ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อความทรงจำที่
ไป๋ผิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากการนอนหลับที่เต็มอิ่ม นางยังคงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง แต่ก่อนที่นางจะขยับตัว บ่าวสาวคนสนิทของนางก็เดินเข้ามาพร้อมรายงานข่าว"องค์หญิง วันนี้จะมีการประชุมของชนเผ่าทั้งหมด ท่านจะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ "ไป๋ผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และนางก็รู้ดีว่าในสถานการณ์ปกติ นางจะไม่เข้าร่วมประชุมเหล่านั้นอยู่แล้ว นางมักจะไปเที่ยวเล่นไปทั่วและกลั่นแกล้งเราจิ้งจอกบางกลุ่มอยู่เรื่อยไป การบริหารไม่เคยมีความสนใจสำหรับนาง และนางก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวาย"ข้าต้องไปจริงๆ หรือ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆสาวใช้ลังเล และบอกนางด้วยความเคารพ "ตามประเพณีแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องไปเจ้าค่ะ... แต่ในครั้งนี้มีข่าวว่า มีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเผ่าจิ้งจอก"ไป๋ผิงหยุดคิดครู่หนึ่ง นางไม่ได้โง่ และรู้ดีว่าถ้ามีการประชุมใหญ่ขนาดนี้ ก็ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ นางถอนหายใจเล็กน้อย ลุกจากเตียง และดูเหมือนจะใช้สายตาคมๆ พิจารณาความคิดของตัวเอง"ข้าจะไปดูว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร"สาวใช้อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในหลายปีที่องค์หญิงของพวกเขายอมเข้าร่วมประชุม...เมื่อไป๋ผิงเ
ไป๋ผิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะกัดริมฝีปากอย่างแน่นหนา เมื่อสายตาเย็นชาของไป๋เฉินจ้องมองมาที่นาง ดวงตาของนางสั่นไหว นางข่มความรังเกียจที่เริ่มขึ้นในตัวเอง ไป๋เฉินรู้สึกถึงความลังเลของนาง ดวงตาสีอำพันของเขาหดตัวลงเล็กน้อย ความสงสัยในใจของเขากลายเป็นเรื่องที่จริงจังขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไร แค่คว้าเนื้อชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปากของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้ากลัวอะไร?” เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจ ก่อนที่นางจะได้ตอบ เขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ รูปร่างสูงใหญ่ของเขากำมือแน่นที่คางของนาง แล้วบังคับให้นางเปิดปากและใส่เนื้อเข้าไปโดยไม่ให้นางมีเวลาเกร็งไป๋ผิงใจติดขัดด้วยความไม่เชื่อ ขณะที่พยายามต่อต้าน แต่มันก็ไร้ผล จิตใจของนางลอยไปยังรสชาติขมๆ ของเนื้อที่ติดอยู่ในปาก ราวกับกลิ่นที่แรงมากจนทำให้เธออยากอาเจียน น้ำตาคลอเบ้า แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้“กินมันซะ” ใบหน้าของไป๋เฉินเผยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยม "ฮ่า!" “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเลือดเดียวกับพวกเราไม่ใช่รึ ”หัวใจของไป๋ผิงเต้นรัว นางพยายามหายใจให้สงบ และรู้ว่า หากเขาสงสัยมากขึ้น นางอาจตกอยู่ในอันตรายนางกลืนเนื้อเน่าที่อยู่ในปากลงไป แม้ว่ามันจะทำให้นางอยากจะพ่นอ
แรงจับแขนของไป๋เฉิน ดึงกระชับขึ้น นิ้วมือของเขากดลงไปที่แขนของนางอย่างเจ็บปวด จนทำให้นางต้องสะดุ้งจนพูดไม่ออก ก่อนที่เขาจะดึงนางเข้ามาใกล้จนจมูกทั้งสองแทบจะชนกัน "เจ้ามันไม่เคยเปลี่ยน " เขาพูดด้วยเสียงที่ดูโกรธ แต่ดวงตาของเขากลับแฝงไปด้วยบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ บางทีอาจจะเป็นความสับสน หรือความเจ็บปวด? เขากระซิบ ไป๋ผิงก็พยายามจะขัดขืน แต่แขนที่แข็งแรงของเขากลับรัดนางไว้แน่น ความร้อนจากใบหน้าของเขาทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเพราะความใกล้ชิดของริมฝีปากไป๋เฉิน "เจ้าชังข้าใช่ไหม?" นางถามอย่างอ่อนโยน ขณะที่เขาจ้องมองนางด้วยความตั้งใจไม่กระพริบตา ไป๋เฉินไม่ตอบทันที เขามองตานางเหมือนกับกำลังมองหาความจริงที่ซ่อนอยู่ "ข้าไม่ชัง..." เขากระซิบที่ข้างหูเธอ เสียงของเขาใกล้จนนางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่กระทบกับผิวของนาง เขาขยับเข้าใกล้จนร่างกายของเขาเกือบจะสัมผัสกับนาง"...ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงทำให้ข้าหงุดหงิดอยู่เสมอ" เสียงของเขาหยาบกระด้าง ขณะที่ยังจับแขนเธอแน่น มือของเขาเริ่มคลายออก แต่แทนที่จะปล่อยนาง เขากลับยกมือขึ้นไปที่แขนบนของนางและดึงนางเข้ามาใกล้ " เมื่อก่อนเจ้าก็ตามข้าแล้
ด้วยดวงตาที่เย็นชา ไบ๋ผิงมองไปที่ไบ๋เหวินเทียน แต่แล้วภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นในความคิดของนางความทรงจำที่ไม่ใช่ของนางจริงๆ เสียงเด็กชายคนหนึ่งร้องไห้ดังอยู่ในหู เงาร่างเล็กๆ ในเสื้อผ้าขาดถูกโยนลงไปในโคลน เด็กๆ กลุ่มหนึ่งล้อมรอบและหัวเราะเยาะเย้ย “แม่ของเจ้าคือหญิงชั่วไร้ยางอาย เจ้าคิดว่าเจ้าคือเผ่าจิ้งจอกขาวหรือ?” “คนอย่างเจ้าไม่น่าจะเป็นคนในตระกูลข้า” ไบ๋เหวินเทียนในวัยเด็กกำมือแน่น ดวงตาของเขาฉายแววโกรธแค้นและเจ็บปวด แต่แทนที่จะขอความช่วยเหลือ เขาลุกขึ้นยืนขบกรามแน่นและยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ฉากเปลี่ยนไปที่ห้องรับรองของตระกูล ผู้นำของหัวหน้าเผ่า ในชีวิตจริง ไป๋ผิงก็เป็นเช่นนี้ ไป๋ผิงยังคงยืนนิ่ง สายตาของเธอจดจ้องไปที่ร่างของไป๋เหวินเทียนที่ค่อยๆ หายลับไปในความมืด ความทรงจำไหลเข้ามาในจิตใจของเธอและดวงตาของเธอแวบวับ มันไม่ใช่แค่ความทรงจำ แต่เป็นบาดแผลที่เธอหรืออาจจะเป็นอีกคนหนึ่งในร่างนี้ได้ทำให้เกิดขึ้น! ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เหวินเทียนถึงเกลียดเธอมากขนาดนั้น “ถ้าข้าเป็นพี่ชาย ฉันก็คงเกลียดตัวเองเหมือนกัน…” ไป๋ผิงบีบมือแน่น เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำอีก นางจ
เมื่อไป๋เจวี๋ยออกจากห้องไป ความเงียบก็เข้าปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงเคร่งเครียดจากการเผชิญหน้ากับไป๋เสวี่ย แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ท่าทีเย็นชาของเขาก็ทำให้ชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเธอ เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกออกจากเตียง ความคิดที่วุ่นวายในหัวค่อย ๆ สงบลง แต่เพราะยังปรับตัวกับร่างของไป๋เสวี่ยได้ยาก เธอจึงคิดว่าอย่างน้อยที่สุด เธอควรเริ่มทำความคุ้นเคยกับบ้านที่เธอต้องอยู่ต่อจากนี้ เมื่อออกจากห้องนอน เธอได้พบกับอาณาเขตอันเงียบสงบของเผ่าจิ้งจอกขาว ลมค่ำคืนพัดเย็นเฉียบ แต่หลังจากเผชิญความร้อนอบอ้าวมาหลายสัปดาห์ ความหนาวเย็นนี้กลับให้ความรู้สึกสดชื่น ต้นไม้สีเงินในสวนเปล่งประกายราวกับต้องแสงจันทร์ สายลมซีดจางจากขุนเขาไกลโพ้นพัดผ่านเป็นระยะ ๆ เธอเดินทอดน่องไปตามทางเดินหินที่เรียงรายไปด้วยพืชพรรณแปลกตา ดอกไม้เขตร้อนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปนความลุ่มลึก "ที่นี่... คือที่ไหนกันแน่?" เมื่อเดินลึกเข้าไปในสวน เสียงกระซิบแผ่วเบาก้องขึ้นในหัวของเธอ ความรู้สึกประหลาดแล่นวาบขึ้นมา ทุกสิ่งที่เธอเคยรู้ในชาติก่อนดูราวกับเป็นเพียงเงาจาง ๆ ที่เลือนหายไปนานแล้ว แต่ละก้าวที่เธอเดินไปในสถานที่อ