หลังจากขนมของปลากริมผ่านการคิวซีจากแม่นางกวักเรียบร้อย เมื่อพ่อกับลูกสาวกลับถึงบ้านปลากริมก็ออกมาขายขนมกับแม่ โดยที่พ่อกับปั้นขลิบรับหน้าที่ทำความสะอาดบ้าน
สิงห์มองตามหลังภรรยาและลูกสาวคนโตที่หาบขนมเดินออกจากบ้านไปด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป...ไม่มีอีกแล้วความท้อแท้สิ้นหวัง มีแต่กำลังใจที่อยากจะทำบ้านให้น่าอยู่เพื่อรอรับการกลับมาของ "ทัพหน้า" ของครอบครัว
"เอาละปั้นขลิบ! มาช่วยพ่อขัดพื้นกัน!" เสียงทุ้มตะโกนบอกลูกชายตัวน้อยอย่างกระตือรือร้น เด็กชายพยักหน้าก่อนจะนำผ้ามาทำตามพ่ออย่างเก้ ๆ กัง ๆ ซึ่งสิงห์มองว่ามันช่างน่ารัก น่าเอ็นดู ทางด้านสองแม่ลูกคนเป็นแม่ได้เดินตรงไปยังตลาดใหญ่ใจกลางชุมชน ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ปลากริมกับพ่อเพิ่งมาสักครู่นี่เอง
"เราจะขายกันตรงนี้แหละจ้ะแม่" ปลากริมบอกพลางชี้ไปยังลานว่างเล็ก ๆ ใกล้กับศาลแม่นางกวักพอดี
บัววางหาบลงปูเสื่อผืนเล็กแล้วเริ่มจัดเรียงขนม ในใจก็ยังนึกหวั่นว่าจะขายได้หรือไม่ แต่ปลากริมกลับยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ เธอรู้ดีว่าเธอมี "ฝ่ายการตลาด" ที่ดีที่สุดในพระนครคอยช่วยอยู่
และก็เป็นจริงดังคาด...เมื่อแม่จัดวางหาบลงบนเสื่อเรียบร้อย ก็มีป้าคนหนึ่งที่เดินผ่านไปแล้ว แต่ทว่าหล่อนก็เหลียวหลังกลับมา
"เอ๊ะ...หนู ขายขนมกันรึ มีขนมอะไรบ้างล่ะ กลิ่นหอมเสียจริง" หล่อนถามในขณะที่กำลังเดินเข้ามาหาสองแม่ลูก
"ขนมกล้วยจ้ะป้า! มีกล้วยบวชชีรูปดอกไม้ด้วยนะจ๊ะ หวานมัน อร่อยมากเลยจ้ะ!" ปลากริมรีบเสนอขายด้วยเสียงใสแจ๋ว ความน่ารักน่าเอ็นดูของแม่ค้าตัวน้อยทำให้หญิงวัยกลางคนใจอ่อนยอมซื้อขนมกล้วยไปชิ้นหนึ่งเพื่อจะลองชิม...และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความอร่อยราวกับมีมนต์สะกด
"โอ้! อร่อยมากเลยแม่หนู" คำพูดของหญิงวัยกลางคนได้ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาเกิดความสนใจ เมื่อมีลูกค้าคนหนึ่งก็ตามมาด้วยคนที่สองและสาม จนกระทั่งผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย
ซึ่งก็มีบางคนที่ได้รู้จักกับครอบครัวของสิงห์และได้ซื้อห่อหมกกินไปเมื่อวานเกิดความอร่อยก็เลยแวะเข้าไปอุดหนุนขนมบ้าง ส่วนบางคนก็สะดุดตากับหน้าตาขนมที่ไม่เคยเห็นแม้ว่ามันจะคือกล้วยบวชชีก็ตาม ส่วนเด็ก ๆ ต่างก็รบเร้าพ่อแม่ให้ซื้อกล้วยฉาบให้เพราะกินง่าย
บัวทำหน้าที่ตักขนมและรับเงินมือเป็นระวิง ส่วนปลากริมก็ทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ตัวน้อยคอยเรียกลูกค้าและแนะนำขนมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง...ขนมทุกอย่างในหาบก็หมดเกลี้ยง! บัวมองกระจาดที่ว่างเปล่าสลับกับมองหน้าลูกสาวด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ หล่อนค่อย ๆ เทเงินเหรียญทั้งหมดออกมานับ...สิบยี่สิบสามสิบ...เกือบสามสิบบาท!
น้ำตาแห่งความตื้นตันใจไหลอาบแก้มของบัว นี่เป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดที่นางหาได้ในวันเดียวในรอบหลายปี หล่อนดึงร่างเล็กของลูกสาวเข้ามากอดเอาไว้แน่น
"ขอบใจนะลูก...ขอบใจจริง ๆ"
ปลากริมกอดตอบแม่พลางยิ้มกว้าง ในใจก็ไม่ลืมที่จะส่งคำขอบคุณไปยังพี่สาวนางตานีและพี่สาวนางกวักที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น...ดูเหมือนว่าการทำธุรกิจกับสหายต่างภพครั้งนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุดในชีวิตใหม่ของเธอก็ว่าได้
สองแม่ลูกกลับถึงบ้านในตอนสายของวันด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มและหัวใจพองโต พวกเธอพบว่าพ่อกับปั้นขลิบได้ช่วยกันทำความสะอาดบ้านจนดูสว่างและน่าอยู่ขึ้นเป็นอย่างมาก
และพอสิงห์เห็นเงินเกือบสามสิบบาทที่ภรรยาและลูกสาวหามาได้ในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ชายหนุ่มก็ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก มีเพียงแววตาแห่งความภาคภูมิใจและโล่งอกที่ฉายชัดออกมา วันนั้นทั้งวันครอบครัวสิงหราชจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความหวัง แต่สำหรับธารามลในร่างปลากริมแล้ว ความสำเร็จก้าวแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง...
ในช่วงเย็นวันเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ผู้คนในชุมชนเริ่มทยอยกลับจากทำงาน บ้างก็แวะซื้อกับข้าว บ้างก็จับกลุ่มตั้งวงดื่มกินกันตามร้านค้าเล็ก ๆ ปลากริมที่นั่งมองภาพเหล่านั้นจากแคร่หน้าบ้าน ความคิดในหัวของเชฟสาวก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
หลังจากได้เงินทุนมาแล้วความคิดของปลากริมก็คิดถึงอาหารคาวอย่างง่ายที่จะทำขายช่วงเย็นตอนคนเลิกงาน อีกทั้งยังสามารถเป็นกับแกล้มได้ด้วย
"พ่อจ๋า แม่จ๋า" เธอหันไปพูดกับพ่อแม่ที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ "ตอนเย็น ๆ แบบนี้ คนเลิกงานเหนื่อย ๆ เขาคงอยากได้กับข้าวอร่อย ๆ หรือกับแกล้มดี ๆ กินกันนะจ๊ะ ถ้าเรามีของขายอีกอย่างก็น่าจะดี"
บัวพยักหน้าเห็นด้วยทันที "แม่ก็คิดเหมือนกันลูก แต่เราจะขายอะไรดีล่ะ ของคาวมันทำให้อร่อยยากอยู่เหมือนกันนะ แม่กลัวว่าจะไม่ถูกปากคนกิน"
ปลากริมยิ้มอย่างมีเลศนัย "เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงจ้ะ ยายกระถินได้ถ่ายทอดการทำกับข้าวมาให้หนูด้วย ส่วนที่ว่าจะขายอะไรนั้น....หนูคิดว่าเราควรที่จะต้องขายสิ่งที่เป็นทั้งกับข้าวและกับแกล้มไปพร้อมกัน"
เด็กหญิงทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะโพล่งออกมา "เครื่องในหมูต้มแซ่บ รสจัดจ้านเป็นยังไงจ๊ะดีไหม"
คำตอบของลูกสาวทำให้สองสามีภรรยาขมวดคิ้วแทบจะทันที "เครื่องในเลยเหรอลูก?" บัวทวนด้วยสีหน้ากังวล
"แม่ยังไม่กล้าทำเลย มันคาวมากนะ ทำไม่ดีนี่เหม็นจนกินไม่ได้ทีเดียว"
"ใช่ลูก พ่อว่ามันเสี่ยงไปหน่อยนะ" สิงห์เสริมขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่ไม่ใช่ปัญหากับเชฟใหญ่อย่างปลากริม เธอยิ้มรับความกังวลของพ่อกับแม่อย่างใจเย็น
"ไม่คาวแน่นอนจ้ะ! คุณยายกระถินสอนวิธีดับคาวมาให้หนูหมดแล้ว" เธอใช้ข้ออ้างเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นไม้ตายไปแล้ว "ท่านบอกว่าเคล็ดลับมันอยู่ที่การล้าง เราต้องเอาเกลือกับแป้งมันมาขยำ ๆ ๆ เครื่องในให้ทั่วเลยนะจ๊ะ แล้วก็ล้างน้ำเปล่าหลาย ๆ น้ำ จากนั้นเอาไปต้มกับข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดก่อนรอบหนึ่ง แค่นี้กลิ่นคาวก็หายเกลี้ยงแล้วจ้ะ เหลือแต่ความอร่อย!"
เด็กหญิงอธิบายกรรมวิธีอย่างละเอียดลออราวกับเป็นแม่ครัวประสบการณ์ห้าสิบปี จนพ่อกับแม่ได้แต่อ้าปากค้างอีกรอบ และเธอก็ได้เสนอแผนการตลาดที่เหนือชั้นต่อไปอีก
"แล้วเราก็ไม่ต้องขายอย่างเดียวทุกวันให้คนเบื่อนะจ๊ะ อย่างวันนี้เราขายต้มแซ่บเครื่องใน พรุ่งนี้เราก็เปลี่ยนเป็นต้มแซบกระดูกเล้งรสเด็ด วันมะรืนก็อาจจะเป็นต้มยำปลาช่อนน้ำใส...เราเปลี่ยนรายการไปเรื่อย ๆ คนจะได้ตื่นเต้น อยากมารอดูว่าวันนี้ร้านเราจะขายอะไรดี!"
ความคิดเรื่อง "เมนูประจำวัน" ที่หมุนเวียนสลับกันไป เป็นสิ่งที่ทันสมัยและน่าทึ่งมากสำหรับคนในยุคนี้ สองสามีภรรยามองหน้ากัน ในแววตาเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจในตัวลูกสาวคนนี้อย่างถึงที่สุด
ตอนนี้พวกเขาไม่ได้แค่เชื่อแล้ว แต่ศรัทธาใน "พรสวรรค์จากคุณยายกระถิน" อย่างหมดหัวใจ
"พ่อเชื่อลูก!" สิงห์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "พรุ่งนี้พ่อจะไปตลาดแต่เช้า ไปเลือกซื้อเครื่องในหมูสด ๆ มาให้ลูกเลย!"
บัวเองก็พยักหน้ารับเช่นกัน "เดี๋ยวแม่จะเตรียมเครื่องต้มยำไว้ให้พร้อมเลยลูก"
แผนธุรกิจใหม่ถูกอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์โดยมีซีอีโอตัวน้อยเป็นผู้นำ อาณาจักรของ "นักเลงขนมหวานฟันน้ำนม" กำลังจะขยายสาขามาสู่ "เจ้าแม่ต้มแซ่บ" เป็นลำดับต่อไป
และดูเหมือนว่าชาวบ้านในชุมชนริมคลองบางกอกน้อย กำลังจะได้ลิ้มรสความอร่อยรสจัดจ้านที่จะทำให้ลืมกับข้าวทุกอย่างที่เคยกินมา!
แม่หนู เจ้าอย่าลืมเอามาให้ข้ากับพี่สาวนางกวักได้ลิ้มรสด้วยหนา เสียงหวานใสผู้ติดรสมือของปลากริมตัวน้อยลอยมา ตามลม