"เกรงว่าคงจะมิได้เพคะเสด็จพี่ ลี่เซียนเป็นสหายเรียนของน้อง ตอนนี้น้องมาถึงแล้ว คงต้องขอตัวไปเรียนแล้วเพคะ"
หลิวลี่เซียนและเจินเซียงที่กำลังอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกเหมือนสวรรค์ส่งองค์หญิงเฟยหยางมาโปรดก็มิปาน จึงรู้สึกโล่งใจกับสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้
องค์หญิงเฟยหยางส่งสายตาให้หลิวลี่เซียนและเจินเซียงเดินมาอยู่ด้านหลังของนาง ก่อนจะมองไปที่องค์ชายรองและยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ในรอยยิ้มขององค์หญิงเฟยหยางมีความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
องค์ชายรองจ้าวเฟยหรงรู้สึกหงุดหงิดใจจนแทบอยากจะฉีกองค์หญิงเฟยหยางออกเป็นชิ้นๆ ดอกไม้งามอยู่ตรงหน้าเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับเด็ดมามิได้ เขาได้แต่แสร้งยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาเป็นเพียงองค์ชายที่เกิดจากพระสนม ถ้าหากเขากระทำการใดที่มิควรต่อองค์หญิงเฟยหยางนั่นเท่ากับเขาก่อเรื่องให้เสด็จแม่หนักพระทัย และยังเป็นการยั่วยุโทสะของจ้าวฮวงโหวเป็นแน่
จ้าวเฟยหรงตัดใจเดินออกมา แต่มิวายก่อนที่เขาจะจากไปยังคงมองมาที่หลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกคราหนึ่ง
หลิวลี่เซียนลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางเกลียดที่สุดคือผู้ชายประเภทนี้ ช่างน่ารำคาญนักที่ต้องมาเกิดใหม่ในยุคที่ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงเช่นนี้
เมื่อองค์ชายรองจากไปแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งเรียนเสร็จแล้ว องค์หญิงเฟยหยางจึงชวนหลิวลี่เซียนและเจินเซียงไปพูดคุยเล่นกันที่ตำหนัก
"เจ้าไม่เป็นอะไรใช่รึไม่ เสด็จพี่รองแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเช่นนี้ ข้าเบื่อยิ่งนัก"
องค์หญิงเฟยหยางหันมาเอ่ยถามหลิวลี่เซียนด้วยสีหน้าเป็นห่วง ก่อนที่จะนึกสงสัยในใจ หลิวลี่เซียนก็มาวังหลวงบ่อยครั้ง เป็นสหายเรียนของพระนางมาตั้งหลายปีแล้ว เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นเสด็จพี่รองคิดสนพระทัยนาง เหตุใดวันนี้จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้เล่า ด้วยนิสัยอย่างหลิวลี่เซียนที่เป็นคนนอบน้อม อ่อนโยน ย่อมไม่มีทางยั่วยุหรือเข้าหาเสด็จพี่รองเป็นแน่
"หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเป็นห่วงและช่วยหม่อมฉันไว้วันนี้เพคะ"
องค์หญิงเฟยหยางยิ้มตาหยี หลิวลี่เซียนยื่นกล่องไม้งดงามประณีตกล่องหนึ่งถวายให้องค์หญิงเฟยหยางพระนางมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดออกดู
"มันคืออะไรหรือลี่เซียน"
"ครีมบำรุงผิวเพคะองค์หญิง หม่อมฉันอยู่จวนรู้สึกเหงายิ่ง จึงนำดอกไม้หลายชนิดที่ปลูกไว้ในจวนมาทำครีมบำรุงผิวเพคะ องค์หญิงทรงลองทาดูสิเพคะ"
นางกำนัลนำขวดครีมออกเทใส่ฝ่ามือก่อนจะทาลงที่หลังมือตน หลิวลี่เซียนจำได้ดีตอนที่นางเรียนประวัติศาสตร์ตอน ม.ปลาย วิธีนี้คือการทดสอบพิษว่ามีการปนเปื้อนมาหรือไม่ในเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
จากนั้นนางกำนัลก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเทครีมใส่ฝ่ามืออีกครั้ง แล้วลูบลงบนหลังฝ่ามือและแขนขององค์หญิงเฟยหยาง
"หอมนัก เจ้าทำเองหรือ"
"เพคะ ทรงชอบหรือไม่เพคะ"
หลิวลี่เซียนยิ้มตาหยี
"ข้าชอบมาก"
"ไว้หม่อมฉันจะทำมาถวายใหม่เพคะ"
องค์หญิงเฟยหยางพยักหน้าด้วยความดีใจ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหลิวลี่เซียนมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย ครีมขวดนี้ช่างหอมติดผิวและนุ่มนวลให้ความรู้สึกสบายยิ่งเหมือนอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณ
"หม่อมฉันก็ได้มาจากหลิวลี่เซียนขวดหนึ่งเช่นกันเพคะ หอมนัก"
เจินเซียงยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเหมือนสาวน้อยได้เครื่องประทินโฉมที่ถูกใจก็มิปาน
หลังจากที่พูดคุยเป็นเพื่อนกับองค์หญิงแล้ว หลิวลี่เซียนจึงขอตัวกลับ และมีเจินเซียงเดินมาส่ง
"ข้ามาส่งเจ้าได้ถึงตรงนี้ ระวังตัวด้วยนะลี่เซียน องค์ชายรองเป็นบุคคลที่อันตรายยิ่ง"
หลิวลี่เซียนยิ้มและพยักหน้าให้เจินเซียงเล็กน้อย
"ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าเถอะ ดูแลตัวเองดีๆ อีกไม่นานก็จะอภิเษกสมรสแล้ว"
พูดถึงเรื่องอภิเษกสมรส เจินเซียงก็ทำหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย
"ข้าไม่อยากแต่งงาน"
"ทำไมอยู่ดีๆ จึงพูดเช่นนี้ หากมีใครมาได้ยินเข้าจะหาว่าเจ้าดูหมิ่นองค์รัชทายาทนะ"
เจินเซียงกลอกตาไปมา ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียน
"เสด็จพี่จิ้นหมิงกับข้าสนิทกันออกปานนี้ เป็นพี่น้องคลานตามกันมา เป็นเจ้า เจ้าอยากแต่งรึ"
หลิวลี่เซียนหันไปมองเจินเซียงด้วยแววตาสงสัยทันที
"เจ้าเรียกองค์รัชทายาทว่าอะไรนะ"
"เสด็จพี่จิ้นหมิง ชื่อนี้เป็นนามเล่นส่วนพระองค์ เจ้าก็อย่าเอาไปพูดซี้ซั้วเล่า"
หลิวลี่เซียนพยักหน้า นางส่ายหน้าไปมา คิดอะไรเหลวไหล อาจจะคนชื่อคล้ายกันก็ได้
"ข้าไปละ เจ้าส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้ว ขอบใจเจ้ามาก"
"อะนี่ เจ้าเอาไว้กินระหว่างทางเถอะ"
หลิวลี่เซียนมองหมั่นโถวลูกอ้วนกลมในมือเจินเซียงพลางยิ้มตาหยี
หลิวลี่เซียนยิ้มให้เจินเซียงอีกครั้งก่อนเดินขึ้นรถม้าไป รถม้าเคลื่อนตัวมาเรื่อยๆ ผ่านตลาดหมู่บ้านคนไปเรื่อยๆ
"คุณหนูใหญ่ทางนี้มิใช่ทางกลับจวนเรานะเจ้าคะ"
หลิวลี่เซียนที่กำลังนั่งกินหมั่นโถวบนรถ จึงไม่ได้สนใจทางข้างนอกเท่าใดนัก เพราะตัวนางเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใด นางหันไปมองไป๋หลางที่มีสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะเปิดผ้าม่านรถม้าแล้วชะโงกหน้าออกไปดู
หลิวลี่เซียนมองไปรอบๆ นางนั่งคิดตอนแรกมันมีตลาด หมู่บ้าน ทำไมตอนนี้สองข้างทางมีแต่ป่ารกไปหมด สัญชาตญาณของหลิวลี่เซียนรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้นกับนางแน่แล้ว
ไม่ได้การแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง!
"ไป๋หลางสั่งคนขับรถม้าให้หยุด แล้วบอกว่าข้าปวดหนัก เร็วเข้า!!"
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ