หลิวลี่ซือที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างว่าองค์ชายรองส่งหมั่นโถวมาให้หลิวลี่เซียน ทั้งยังมีกระดาษแผ่นน้อยที่เขามอบให้พี่สาวฝาแฝดของนาง ก็ยิ่งทำให้ในใจของนางเหมือนมีไฟร้อนเผาไหม้อยู่ในใจตลอดเวลา นางลอบกำมือไว้แน่นจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บของเล็บที่จิกลงไปบนฝ่ามือนุ่มๆ ของนาง แต่ใบหน้าของหลิวลี่ซือกลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาแม้แต่น้อย ก่อนจะก้าวเดินไปหาหลิวลี่เซียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"พี่ใหญ่ช่างมีวาสนายิ่งนัก น้องมิเคยเห็นองค์ชายรองแสดงความโปรดปรานผู้ใดมาก่อน"
หลิวลี่เซียนที่กำลังคิดไม่ตกกับหมั่นโถวตรงหน้าว่านางจะกินมันเช่นไรให้หมด เมื่อได้ยินเสียงของหลิวลี่ซือน้องสาวฝาแฝดของนาง กลับยิ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย จากน้ำเสียงของหลิวลี่ซือทำไมนางจะเดาไม่ออกว่าน้องสาวของนางกำลังพูดจาประชดประชันนางอยู่ หลิวลี่เซียนละสายตาจากหมั่นโถวตรงหน้า ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้หลิวลี่ซืออย่างอ่อนโยน แม้ว่าหลิวลี่ซือจะไม่ชอบนางแล้วอย่างไร การเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันย่อมเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น หากน้องสาวผู้นี้ไม่ล้ำเส้นนางจนนางทนไม่ไหว นางก็จะพยายามไม่ถือสาหาความอันใด แต่ถ้าหากวันหนึ่งหลิวลี่ซือคิดทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อนาง นางก็จะไม่ยอมเช่นกัน
"หากเจ้าชอบพี่จะให้เจ้าเท่าที่เจ้าต้องการ เจ้าก็ให้บ่าวรับใช้มาเอาหมั่นโถวนี่ไปแล้วกัน ไป๋หลางเอาหมั่นโถวไปให้ท่านพ่อท่านแม่และแจกจ่ายให้บ่าวในจวน เหลือเท่าไร เจ้าก็เอาให้พ่อบ้านใหญ่ในจวนเอาไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านผู้ยากไร้นอกจวน จัดการด้วย ข้าง่วงนักอยากกลับเรือนแล้ว"
"เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่"
หลิวลี่เซียนหาวและบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเดินออกจากลานกว้างกลางจวนอย่างช้าๆ แต่ทว่าหลิวลี่ซือกลับมายืนขวางนางไว้ ก่อนจะแสดงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
แม่สาวน้อยเจ้ากำลังทำข้าหงุดหงิดอยู่รู้ตัวรึไม่!!
"มีอะไรรึ?"
"น้องมีเรื่องอยากถามพี่ใหญ่สักเรื่องเจ้าค่ะ"
หลิวลี่ซือโบกมือให้บ่าวในบริเวณนั้นถอยออกไปให้หมด ก่อนจะก้าวเข้าไปหาหลิวลี่เซียนช้าๆ
"พี่ใหญ่มีความสัมพันธ์อันใดกับองค์ชายรองรึเจ้าคะ เมื่อก่อนน้องมิเคยเห็นท่านพี่สนิทสนมกับชายใดถึงเพียงนี้"
หลิวลี่เซียนแทบจะหลุดขำออกมา แต่นางยังคงปั้นหน้าให้เป็นปกติ ถ้าเป็นภพปัจจุบันการคบหาแบบชายหญิงไม่จำเป็นต้องเป็นไปในทางชู้สาว ช่างแตกต่างจากภพอดีตโบราณคร่ำครึนี้ยิ่งนัก
"ข้าบังเอิญเจอองค์ชายรองตอนเข้าวังไปเป็นสหายเรียนขององค์หญิงจ้าวเฟยหยาง แล้วบังเอิญข้านำครีมบำรุงที่ข้าทำเองไปถวายองค์หญิง องค์ชายรองเสด็จมาที่ตำหนักศึกษาหลวงพอดี เลยประทานหมั่นโถวเป็นของตอบแทนที่ข้าทำให้องค์หญิงทรงพอพระทัย"
"มากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ?"
"ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะทรงประทานให้มากมายเพียงนี้ เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้คิดอะไรกับองค์ชายรองของเจ้าทั้งนั้น"
"ท่านพี่!!!"
"มีอะไรอีก"
หลิวลี่ซือคาดไม่ถึงว่าหลิวลี่เซียนจะรู้เรื่องที่นางมีใจให้กับองค์ชายรอง นางยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ใบหน้าเจือจางเป็นสีชมพูอ่อนด้วยความเขินอาย ก่อนจะยื่นมือขาวราวกับหิมะของนางมาจับมือของหลิวลี่เซียนอย่างแผ่วเบา และโน้มใบหน้างดงามราวกับภาพวาดมาที่ใบหูข้างขวาของหลิวลี่เซียน ก่อนกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล
"เมื่อท่านพี่รู้แล้ว เช่นนั้นก็จงอยู่ห่างจากองค์ชายรองเอาไว้ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายกับท่านพี่เลย"
นางแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะมองหน้าของหลิวลี่เซียนแล้วเดินจากไป
หลิวลี่เซียนถอนหายใจด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย นางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับคำขู่นี้ของหลิวลี่ซือ แต่นางแค่แปลกใจไม่คิดว่าหลิวลี่ซือจะแสดงด้านมืดออกมาให้เห็นเร็วเช่นนี้
"ไป๋หลาง"
"เจ้าคะคุณหนูใหญ่"
"ข้าจะออกไปดูเครื่องประดับที่หอเป่าชิง เจ้าไปช่วยข้าเตรียมตัว"
ไม่รอให้ไป๋หลางรับคำหลิวลี่เซียนก็เดินกลับเรือนก่อนแล้ว อยู่ในจวนรู้สึกอึดอัดยิ่ง นางอยากออกไปสูดอากาศภายนอกให้ชื่นใจสักหน่อย
หลังจากแต่งกายเสร็จเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ขึ้นรถม้าประจำจวนตระกูลหลิวตรงไปที่หอเป่าชิง เมื่อถึงหอเป่าชิงนางก็จัดการเลือกเครื่องประดับ ต่างหู ปิ่นปักผมสองถึงสามชิ้น ก่อนจะจ่ายเงินและเดินออกมา
"ไป๋หลาง ที่นี่มีร้านอาหารอะไรอร่อยบ้าง"
"ร้านอาหาร คืออะไรเจ้าคะคุณหนูใหญ่"
หลิวลี่เซียนยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองฉาดหนึ่ง ให้ตายสิ! เรียกร้านอาหารไม่ได้ ต้องเรียกอะไรนะ?
"ข้าหมายถึงร้านอาหารน่ะ"
"อ้อ มีเจ้าค่ะ ข้างหน้ามีร้านอาหารเลื่องชื่อเจ้าค่ะ ชื่อหอเสี่ยวเอ้อเจ้าค่ะ"
"รีบพาข้าไป ข้าหิวจนจะกินวัวได้แล้ว!!!"
หลิวลี่เซียนรีบวิ่งไปขึ้นรถม้าอย่างรีบร้อน คนขับรถม้าสะบัดแส้ในพริบตาเดียวก็มาถึงหอเสี่ยวเอ้อ
หลิวลี่เซียนพินิจพิจารณายืนมองอยู่ด้านหน้าด้วยความพึงพอใจ ดี งดงามใช้ได้ โคมไฟสีแดงประดับทั่วทั้งร้าน โอ๊ะ!! ระเบียงชั้นสองนั่นน่านั่งรับลมเย็นยิ่งนัก
"ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณหนู"
"ข้าต้องการที่นั่งรับลมด้านบนชั้นสองนั่น"
"เชิญตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ"
หลิวลี่เซียนรีบเดินตามพนักงานสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มขึ้นไปบนชั้นสอง ก่อนที่เดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ริมระเบียงที่เหลืออยู่โต๊ะสุดท้าย โต๊ะตรงนี้ค่อนข้างเป็นมุมอับไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านวุ่นวายเท่าใดนัก นางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างสบายใจ ก่อนที่สายตาของนางจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้นางอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า
ทำไมดูคุ้นตาจัง?
หลิวลี่เซียนพยายามเพ่งมองหญิงสาวตรงหน้าที่ดูคุ้นตา จนไป๋หลางที่ยืนอยู่ข้างๆ มีสีหน้าสงสัย
"คุณหนูมองอะไรหรือเจ้าคะ"
"ข้าว่าผู้หญิงโต๊ะข้างหน้าเราช่างคุ้นตา แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน"
ไป๋หลางมองตามสายตาของหลิวลี่เซียน ก่อนจะมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
"คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นั่นใช่คุณหนูเจินเซียงรึไม่เจ้าคะ"
หลิวลี่เซียนพลันนึกขึ้นได้ทันที นางเบิกตาโตก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าเจินเซียงไม่ได้มาคนเดียวนางกำลังนั่งคุยกับบุรุษผู้หนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นคุณชายจากจวนใดจวนหนึ่งเป็นแน่ หรือว่าจะเป็นสหายของเจินเซียง
ไม่ใช่แน่ๆ!!! ดูจากท่าทางสองคนนี้ไม่ใช่สหายกันเป็นแน่
ไม่นานเจินเซียงกับบุรุษผู้นั้นก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปทางด้านขวามือเหมือนกำลังจะไปไหนสักที่ นางมองซ้ายมองขวาก่อนจะลุกเดินออกไป
"เจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ามา"
หลิวลี่เซียนลุกเดินตามเจินเซียงไปโดยทิ้งไป๋หลางไว้ที่หอเสี่ยวเอ้อ นางเดินตามสองคนนั้นไปจนสุดตรอกที่ไม่มีผู้คนเดินผ่าน ทุกกระทำของหนุ่มสาวคู่นี้อยู่ในสายตาของนางทั้งหมด
บุรุษผู้นั้นใช้มือเชยปลายคางของเจินเซียงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่แก้มของนาง เจินเซียงมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย ไม่นานบุรุษผู้นั้นก็เดินจากไป
หลิวลี่เซียนถือโอกาสนี้รีบเดินเข้าไปหาเจินเซียง เจินเซียงที่เห็นดังนั้นก็ตกใจ ยกมือขึ้นปิดปากตนเองพร้อมกับเบิกตาโตขึ้น
"ลี่เซียน!!!"
"ข้ากับเจ้าต้องคุยกัน ตามข้ามา"
เจินเซียงถูกหลิวลี่เซียนดึงมือให้เดินตามกลับมาที่หอเสี่ยวเอ้อ นางเปลี่ยนที่นั่งเป็นห้องส่วนตัวแทน และให้ไป๋หลางรออยู่ข้างนอก
ตอนนี้มีเพียงเจินเซียงกับหลิวลี่เซียนเท่านั้น พร้อมกับชาร้อนอย่างดีหนึ่งกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ หลิวลี่เซียนรินชาให้เจินเซียงก่อนที่นางจะยกชาขึ้นจิบดับกระหาย ทั้งสองมองหน้ากันไปมา ก่อนที่หลิวลี่เซียนจะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนเพื่อทำลายความเงียบ
"ชายผู้นั้นเป็นใคร"
เจินเซียงมองหน้าหลิวลี่เซียนด้วยความประหม่า นางคาดไม่ถึงว่าหลิวลี่เซียนจะถามตรงไปตรงมากับนางเช่นนี้
"เอ่อ คือ"
"หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นเพื่อน เจ้าอย่าคิดโกหกข้าแม้แต่คำเดียว"
"ลี่เซียน!"
"ว่ามา"
"เขา เขาเป็นชายคนรักของข้า"
หลิวลี่เซียนแทบจะพ่นชาร้อนในปากออกมา นางมองเจินเซียงอย่างคาดไม่ถึง
"เมื่อไหร่กัน"
"นานมากแล้ว ก่อนที่จะมีการประกาศสมรสพระราชทานของข้ากับท่านพี่จิ้นหมิง"
หลิวลี่เซียนกุมขมับเล็กน้อย นางค่อยๆ เงยหน้าไปมองเจินเซียง ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานนัก แต่นางก็รักและห่วงใยเจินเซียงยิ่งนัก ได้แต่หวังว่านางจะยังไม่เผลอใจทำเรื่องที่ไม่ควรทำเข้า
"เจ้า เอ่อ เจ้ายังไม่ได้"
"ไม่ได้อะไรรึ"
หลิวลี่เซียนถอนหายใจ จะให้เริ่มถามจากตรงไหนก่อนดีนะ นางไปไม่ถูกแล้วจริงๆ
"ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายังไม่ได้เกินเลยใช่รึไม่"
คำถามนี้ทำให้ใบหน้าของเจินเซียงซีดเผือด นางกำมือไว้แน่นก่อนจะมองหน้าหลิวลี่เซียนด้วยแววตาแดงก่ำ
"ลี่เซียน ข้า ฮึก ข้ารักเขา ข้ามอบทั้งใจทั้งกายให้เขาไปหมดแล้ว"
คำพูดนี้ของเจินเซียงทำให้หลิวลี่เซียนหน้าชาจนทำอะไรไม่ถูก
ตามกฎแล้วการสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้นั้นเคร่งครัดยิ่งนัก สตรีที่ได้รับพระราชทานการสมรสไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และไม่มีสิทธิ์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายใดนอกจากผู้ที่จะมาเป็นสามีของนางเพียงเท่านั้น
หากฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้เข้า เจินเซียง เจ้า!!!
"ทำไมเจ้าใจเร็วเช่นนี้ เจ้ามั่นใจได้เช่นไรเจินเซียง!!!"
"ฮืออ ข้า ข้ารักเขา ลี่เซียน"
หลิวลี่เซียนมองเจินเซียงด้วยแววตาสงสาร นางเดินเข้าไปกอดเจินเซียงเอาไว้
"เจ้ารู้รึไม่ว่า หากฮ่องเต้ทรงทราบ ชีวิตเจ้าจะเป็นเช่นไร"
"ข้ารู้"
"แล้วทำไมเจ้า"
"ข้ายอมตายดีกว่าไม่ได้อยู่กับคนที่ข้ารัก"
หลิวลี่เซียนถอนหายใจออกมาอย่างอับจนหนทาง จะดีกว่านี้หากเพื่อนรักของนางไม่ใช่ว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ