"เจ้าสัญญากับข้าได้ไหมลี่เซียน ว่าเจ้าจะไม่บอกใคร"
"ได้ ข้าให้สัญญา"
"แต่เจ้าออกมาเช่นนี้คนที่จวนเจ้าไม่สงสัยหรือ"
"ข้าบอกพวกเขาว่าจะออกมาซื้อเครื่องประดับที่หอเป่าชิงน่ะ"
หลิวลี่เซียนพยักหน้าและกอดเจินเซียงเอาไว้แน่น นางช่างน่าสงสารเหลือเกิน ไม่สามารถเลือกทางเดินชีวิตเองได้ ซ้ำยังถูกจับคลุมถุงชนกับชายที่ตนไม่ได้รัก ถึงแม้ชายผู้นั้นจะเป็นถึงองค์รัชทายาทก็ตาม แต่หากไม่ได้รู้สึกรักมันจะไปมีความหมายอะไร ไม่สู้อยู่กับชายที่รักถึงลำบากก็ยอม
หลิวลี่เซียนรู้สึกเลี่ยนกับความคิดนี้ของตัวเอง ความรักงั้นรึ หึ!!! มันตายจากนางไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่นานเจินเซียงก็ขอตัวกลับจวนก่อน หลิวลี่เซียนไม่คิดรั้งนางไว้ เพราะเข้าใจว่านางคงไม่อยากให้คนที่จวนสงสัยว่าทำไมนางถึงออกมานานเช่นนี้
ทุกการกระทำของหญิงสาวทั้งสองคนอยู่ในสายตาของจ้าวจิ้งเทียน เขารู้มาสักพักแล้วว่าเจินเซียงมีคนรักอยู่แล้ว แต่ที่เขารู้สึกตกใจไม่น้อยคือเขาคาดไม่ถึงว่าน้องสาวของเขาจะยินยอมชายผู้นั้นง่ายดายเช่นนี้ เขาจะทำเช่นไรดี หากเรื่องนี้รู้ถึงหูเสด็จพ่อ ทั้งเจินเซียง รวมถึงเสด็จแม่ต้องโทษหนักเป็นแน่ เสด็จพ่อจะต้องกล่าวโทษว่าเสด็จแม่ปกปิดความเลวร้ายนี้เอาไว้
แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขายังคงรู้สึกซาบซึ้งใจที่หลิวลี่เซียนจริงใจต่อญาติผู้น้องของเขาไม่น้อย
หลิวลี่เซียนที่ลืมไปแล้วว่าตนเองกำลังหิวอยู่นั้นเริ่มรู้สึกว่ามีเสียงบางอย่างดังมาจากท้องของนาง นางตะโกนเรียกไป๋หลางให้ตามพนักงานสาวน้อยน่ารักนางนั้นมา นางต้องการจะสั่งอาหาร
"คุณหนูต้องการอะไรบ้างเจ้าคะ"
พนักงานสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มจ้องมองหลิวลี่เซียนด้วยความนอบน้อม นางใช้นิ้วชี้เคาะบนโต๊ะก่อนจะยิ้มตาหยี
นางเคยสั่งอาหารจีนโบราณกินที่ภัตตาคารสมัยยังมีชีวิตอยู่ที่โลกปัจจุบัน ลองสั่งมั่วๆ ไปก่อนละกัน อันไหนไม่มีก็ช่างมันเถอะ
"ข้าขอก๋วยเตี๋ยวหลอด กุ้งเจี๋ยน ปลาราดพริก สามชั้นตุ๋นเต้าเจี้ยว ซาลาเปาเนื้อ ขนมผักกาด ขาหมูตุ๋นยาจีน ไก่ตุ๋นซีอิ๊ว อย่างละหนึ่ง"
หลิวลี่เซียนสั่งอาหารอย่างออกรสออกชาติ ไป๋หลางที่ยืนมองด้วยความตะลึง ในใจได้แต่แอบคิดว่า คุณหนู กระเพาะท่านต้องใหญ่เท่าใดกัน จึงจะกินเข้าไปหมดนี่ได้
สาวน้อยหน้าตาสวยสดงดงามรับรายการอาหาร ก่อนจะโค้งกายคำนับหลิวลี่เซียนและเดินออกไป
"คุณหนูใหญ่จะกินหมดหรือเจ้าคะ"
หลิวลี่เซียนหันไปมองไป๋หลาง ก่อนจะหัวเราะชอบใจออกมา
"มีเจ้าช่วยข้ากิน ทำไมจะไม่หมดเล่า"
"คุณหนูใหญ่ บ่าวไม่สามารถกินอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้านายได้นะเจ้าคะ"
จริงด้วยสินะ โลกในยุคโบราณนี่กฎระเบียบช่างเยอะแยะวุ่นวายยิ่งนัก
"อยู่นอกจวนไม่มีผู้ใดเห็นหรอก ข้าอนุญาตเจ้า"
ไม่นานอาหารทั้งหมดก็วางอยู่ตรงหน้าหลิวลี่เซียน นางกวักมือให้ไป๋หลางมากินอาหารด้วย แต่ทว่ายังไม่ทันที่สองนายบ่าวจะได้กินอาหารอันโอชะตรงหน้า ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้ดูคุ้นตา ชายหนุ่มที่มีผ้าขาวปิดบังใบหน้าเอาไว้ตลอดเวลา
"ข้าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่"
หลิวลี่เซียนส่งเสียงเฮอะในลำคอ ก่อนจะมองจ้าวจิ้งเทียน ช่างรู้จักมาได้เวลายิ่งนัก
"ได้สิ ไป๋หลาง งั้นเจ้าไปสั่งอาหารกินเองอีกห้องหนึ่ง เดี๋ยวข้าจ่ายเอง"
"แต่ว่า"
"ไปเถอะน่า!!"
ไป๋หลางพยักหน้าหงึกๆ ทำตามอย่างว่าง่าย
ตอนนี้เหลือแค่จ้าวจิ้งเทียนกับหลิวลี่เซียนสองคน นางเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งนั้นที่นางถูกองค์ชายรองเล่นงาน เขาตามไปช่วยและหาหมั่นโถวมาให้นางกินด้วย
"จะสั่งอะไรเพิ่มอีกไหม มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง ตอบแทนที่ท่านช่วยข้าวันนั้น"
จ้าวจิ้งเทียนยกยิ้มมุมปาก เขากวาดสายตามองอาหารที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้าพลางนึกขำในใจ
แค่กินอาหารตรงหน้าให้หมดก็พอเถอะ หญิงงามผู้นี้ช่างลำไส้ใหญ่นัก!!!
"เจ้ากินหมดรึ"
"แน่นอนอยู่แล้ว"
หลิวลี่เซียนไม่รีรอ นางรีบหยิบตะเกียบคีบอาหารในจานต่างๆ เข้าปาก โอ๊ะ!!! รสชาติยอดเยี่ยมยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นร้านอาหารเลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง
"ท่านไม่กินหรือ"
หลิวลี่เซียนเงยหน้าไปมองจ้าวจิ้งเทียน นางเอ่ยถามเขาในขณะที่อาหารยังเต็มปากด้วยซ้ำ จ้าวจิ้งเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ
จวนเจ้าขาดแคลนข้าวปลาอาหารหรือ ถึงสั่งมาเยอะปานนั้น?
"ข้าไม่กล้ากิน กลัวเจ้าจะไม่อิ่ม"
หลิวลี่เซียนมองค้อนจ้าวจิ้งเทียนเล็กน้อย หึ อย่ามาคาดหวังว่านางจะเป็นสาวน้อยเรียบร้อย กินคำ อายคำ ฝันไปเถอะ นางใช้ชีวิตแบบนั้นในโลกปัจจุบันมาเกินพอแล้ว ต่อไปนี้นางจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ในทุกๆ เรื่อง
"ไม่กินก็เรื่องของท่าน อย่ามาหาว่าข้าไม่ชวนก็แล้วกัน"
"เอาเถอะ เจ้ากินให้อิ่ม มื้อนี้ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง"
หลิวลี่เซียนดวงตาเป็นประกายวาววาบ ให้ตายสิ! อยู่ดีๆ ก็มีหนุ่มน้อยรูปงามสายเปย์มาทุ่มให้ซะดื้อๆ
"ท่านพูดแล้วนะ ไม่ใช่มากลับคำพูดเล่า เหมือนตอนที่ท่านเอาไข่มุกสุยโหวไปใช้จนหมดละมาหลอกข้า"
"ข้าไม่หลอกเจ้าหรอกชิงชิง มื้อนี้ข้าจะเลี้ยงเจ้า เจ้าอยากกินสิ่งใดในร้านก็ตามใจเจ้า หรือเจ้าอยากจะกินหอเสี่ยวเอ้อหลังนี้เข้าไป ข้าก็จะตามใจเจ้า"
"ข้าไม่ใช่ปลวกนะ ที่จะแทะไม้ได้ทั้งหลังน่ะ"
คนเลว!!! ไหนบอกจะเลี้ยงนาง กลับพูดจาเหน็บแนมนางขึ้นมาเสียดื้อๆ
หลังจากที่กินอาหารจนอิ่ม หลิวลี่เซียนก็บิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน แน่นไปหมด โอ๊ะ!!! ข้าแน่นท้องจังเลย
จ้าวจิ้งเทียนหลุดขำออกมากับท่าทางพิลึกของหลิวลี่เซียน เขารู้สึกว่าเขาพบกับนางเมื่อใด เขาจะเป็นตัวของตัวเองได้ทุกครั้ง เขาดึงผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวใสและรอยแผลเป็นที่จางลงจนแทบมองไม่เห็น
"รอยแผลท่านจางลงจนแทบจะมองไม่เห็นแล้วนี่จิ้นหมิง"
หลิวลี่เซียนที่เพิ่งกลับมานั่งเก้าอี้หลังจากที่นางไปยืดเส้นยืดสายโดยการเดินรอบโต๊ะกินข้าวมา นางสังเกตเห็นบนใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนแทบจะไม่มีรอยแผลแล้ว
"เป็นเพราะความดีความชอบของเจ้า"
หลิวลี่เซียนเบ้ปากเล็กน้อย ความดีความชอบที่ยอมสละไข่มุกอันเป็นที่รักให้คนโลภเช่นท่านงั้นสิ
จ้าวจิ้งเทียนเดาความคิดบนสีหน้าของหลิวลี่เซียนออก เขาอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหยิบกล่องใบหนึ่งที่เขาถือเอาไว้ข้างกายมาตลอดตั้งแต่ออกมาจากวังหลวง โดยที่หลิวลี่เซียนไม่ทันสังเกต เขายื่นกล่องเหล็กแกะลวดลายดอกเหมยให้นาง
"อะไรรึ"
"ข้าให้เจ้า"
หลิวลี่เซียนยื่นมือไปรับกล่องมาจากมือของจ้าวจิ้งเทียน นางมองหน้าเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเปิดกล่องออกดู
ของภายในกล่องทำให้ดวงตาของนางเปล่งประกายวาววับ
ไข่มุกสุยโหว!!!
"ท่านไปได้มาจากที่ไหนจิ้นหมิง ข้าไปถามเถ้าแก่หอเป่าชิงมาวันนี้ เขาบอกว่าไม่มีแล้ว"
หลิวลี่เซียนเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียนด้วยรอยยิ้มตาหยี
"คนของข้าไปหาซื้อมาได้น่ะ กว่าจะได้มันมาช่างยากเย็นนัก ต้องไปไกลถึงทะเลสาบเชียว"
"จริงหรือ ขอบใจท่านมาก ข้าจะไม่ว่าอะไรท่านแล้ว ท่านช่างเป็นคนดียิ่งนัก"
จ้าวจิ้งเทียนแอบบิดเบ้มุมปาก ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนข้ายังเป็นคนเลวอยู่เลย
ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะเอามันไปให้นางที่จวน แต่บังเอิญวันนี้เขาออกมาเพื่อสะกดรอยตามเจินเซียงตามการรายงานของชุนหลาง แต่เหนือความคาดหมายคือเขาเจอนางอยู่ที่นี่ด้วย และยิ่งไปกว่านั้นเขาช่างรู้สึกตราตรึงใจกับการสั่งอาหารเหมือนคนเร่ร่อนไม่เคยกินข้าวของนางยิ่งนัก
"ข้าดีใจที่เจ้าชอบ"
"ใช่ ข้าชอบมาก แต่ถ้าจะให้ข้าดีใจกว่านี้ ข้าขออะไรท่านอีกอย่างได้หรือไม่"
"อะไรรึ"
"ไก่ตุ๋นซีอิ๊วกับซาลาเปาไส้เนื้อช่างเย้ายวนใจข้ายิ่งนัก สั่งกลับจวนให้ข้าอีกสักห้าชุดได้รึไม่"
จ้าวจิ้งเทียน "..."
ข้าไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมจ้าวเฟยหรงถึงส่งหมั่นโถวไปที่จวนเจ้าถึงหนึ่งร้อยลูก หรือว่าข้าจะส่งซาลาเปาไส้เนื้อไปให้เจ้าที่จวนอีกหนึ่งร้อยลูกเช่นนั้นดีหรือไม่ ไม่สิ!!! ต้องมากกว่าจ้าวเฟยหรง สองร้อยลูกกำลังดี
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ