LOGINแสงอาทิตย์ยามเฉินเพิ่งส่องลอดม่านไหมบาง ๆ เข้าสู่ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นกำยานหอมอ่อนลอยคลุ้งทั่วห้องโถง หยกขาวบนพื้นส่องแสงสะท้อนอ่อนโยน ขันทีน้อยสิบกว่าคนหมอบอยู่เรียงรายสองฝั่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างมั่นคง
จ้าวเฉินจ้านไท่จื่อแห่งต้าเว่ยเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แม้ยังไม่ทันเอ่ยคำ แต่สายตาทุกคู่ในตำหนักล้วนจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียว วันนี้เป็นวันพิเศษถึงขั้นที่เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ งดประชุมขุนนางในยามเช้า เพื่อร่วมอยู่ในที่เฝ้ากับไท่ซ่างหวงเพียงเพื่อรอหลานชายคนโปรดของราชวงศ์
ภายในห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ มีไท่ซ่างหวงในอาภรณ์ไหมสีดำปักลายดิ้นทองนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้มังกรโอ่อ่า ใบหน้าแม้เต็มไปด้วยร่องรอยวัยชรา แต่แววตาคมปลาบยังฉายอำนาจเหนือผู้คนราวพญาอินทรี ส่วนตรงกันข้ามนั้นคือ เฟิ่งสุ่ยตี้อ๋อง ฮ่องเต้ผู้ครองราชย์มาสิบเจ็ดปี เขาอยู่ในอาภรณ์น้ำเงินเข้มตรงหน้าอกปักลวดลายมังกรคำรามสีทองอร่าม สีหน้าของหนุ่มใหญ่วัยต้นสี่สิบเรียบเย็นแต่แฝงความเอ็นดูคิดถึงหลานชายที่เขารักยิ่งกว่าบุตรตนเอง
เหตุผลนั้นไม่มีอันใดมาก เพราะจ้าวเฉินจ้านเกิดจากพี่ชายแท้ๆ ของเขากับสตรีที่เขาหลงรัก เพียงแต่รักของเขาไม่คิดครอบครอง แค่ต้องการเห็นนางมีความสุขเขาก็มีความสุข หากแต่นางอายุสั้นนัก ไหนจะพี่ชายของเขาที่ด่วนจากไปเร็วแถมการจากไปยังเพราะปกป้องเขากับบิดา ทำให้จ้าวเจิ้งหรงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ทายาทเพียงคนเดียวของคนที่เขารัก จนไม่ยอมให้สตรีของเขาให้วังหลังตั้งครรภ์เพราะกลัวว่าหากมีองค์ชายเกิดมาจะเกิดปัญหาแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อของหลานรัก
ดังนั้นวันนี้พอทราบว่าจ้าวเฉินจ้านกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วเขาจึงสั่ง‘งดประชุมขุนนางยามเช้า’ เพื่อรอจ้าวเฉินจ้านเท่านั้น เฝ้ารอหลานชายผู้เป็นทั้งความหวังของราชวงศ์สกุลจ้าวและของประชาชนชาวต้าเว่ยจะผิดพลาดเพราะสตรีเพียงคนเดียวมิได้
“องค์ไท่จื่อเสด็จ...”
สิ้นเสียงขันทีหน้าตำหนักตะโกนแจ้งไม่นานเรือนกายสูงสง่าของจ้าวเฉินจ้านก็ก้าวเข้าสู่ห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ของตำหนักไท่ซ่างหวงเขาเข้ามาถึงก็ทรุดลงคุกเข่าก้มศีรษะลงคำนับเต็มพิธีการ
“ถวายบังคมเสด็จปู่ เสด็จอา พ่ะย่ะค่ะ”
เพราะอยู่ในที่ส่วนพระองค์เฉินจ้านจึงเรียก ‘เสด็จปู่’ และ ‘เสด็จอา’ แทนที่จะเรียกไท่ซ่างหวงและฝ่าบาท เสียงของเขานุ่มทว่ามั่นคง ไท่ซ่างหวงพยักหน้าเบา ๆ ส่วนเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้กล่าวเสียงครึมให้เขาลุกขึ้น
“ลุกขึ้นเถิดจ้านเอ๋อ เจ้ากลับมาได้ดีก็ดีแล้ว”
เฉินจ้านขยับกายลุกขึ้นช้า ๆ ทุกกิริยาสง่างามโดยธรรมมิได้เสแสร้ง คงเพราะชาติกำเนิดกระมังจึงหล่อหลอมให้เฉินจ้านเกิดมาสง่างามเช่นนี้ ไท่จื่อหนุ่มยืนสงบนิ่งเพราะย่อมรู้ดีว่าการที่เสด็จอาถึงขั้นงดราชกิจยามเช้า ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียกเข้าเฝ้ามาถามสารทุกข์สุกดิบหลานชายหลังกลับมาจากช่วยภัยโรคระบาด
ยิ่งระหว่างเดินทางเฉากงกงเล่าให้เขาฟังมาตลอดทางว่าอย่างจำใจว่าที่ฝ่าบาทกับไท่ซ่างหวงที่เร่งร้อนเรียกเขากลับจากหนานจิ้งก็เพราะรับทราบข่าวลือที่เขากับเจียงเพ่ยหยูตกหลุมรักกัน จากเหตุการณ์ชีวิตหมอหลวงหญิงเจียงเพ่ยหยูช่วยเขาจากพิษงู สุดท้ายกลายเป็นตำนานรักดังไกลมาถึงเมืองหลวงทำให้มังกรทั้งสองตนร้อนใจยิ่งและจากที่ดูสีหน้าทั้งเสด็จปู่กับเสด็จอาของเขาก็เห็นจะเป็นจริงดังนั้น
“อาจ้าน” ไท่ซ่างหวงเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงแววสำรวจ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับหมอหลวงหญิงเจียงบุตรสาวบุญธรรมของเจียงกุ้ยเฟยสนิทชิดเชื้อกันเกินควรเรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร”
เฉินจ้านเงยหน้า ดวงตาคมสงบไม่หวั่นไหว “เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ เพ่ยหยูเป็นสตรีที่หลานพึงใจ”
สิ้นคำตอบของเฉินจ้านบรรยากาศภายในห้องพลันเงียบงันถึงแม้จะมีขันทีใกล้ชิดที่รับใช้ทั้งไท่ซ่างหวงและเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้อยู่ด้วยแต่พวกเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงไหนเลยจะกล้าจะขยับตัวให้เกิดเสียงรบกวนมังกรแห่งต้าเว่ยทั้งสามรุ่นเจรจา ก่อนจะเป็นเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้มองหลานชายด้วยแววตายากอ่านครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
“เพียงพึงใจ หรือรักลึกซึ้ง?”
เฉินจ้านนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายทบทวนความรู้สึกตนเอง ก่อนตอบตรงไปตรงมา “หลาน...รักเพ่ยหยูพ่ะย่ะค่ะ แต่ยังมิอาจเรียกได้ว่าลึกซึ้ง”
คำตอบนั้นทำให้ไท่ซ่างหวงแค่นหัวเราะเสียงต่ำ “ดี! ยังไม่รักลึกซึ้งก็ดี เพราะที่เสด็จปู่กับเสด็จอาเรียกเจ้ากลับมาในครั้งนี้เพื่อจะให้เจ้าขยายรากฐานของสกุลจ้าวให้มั่นคง”
เฉินจ้านขมวดคิ้วเข้ม แววตาเยียบเย็นลงหลายส่วน “หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่าเจ้าสมควรแต่งพระชายาได้แล้วอาจ้าน” เป็นจ้าวเจิ้งหรงที่กล่าวตอบ
“เจ้าปีนี้ก็ยี่สิบสามแล้ว ฐานะไท่จื่อนี้เจ้าก็ครอบครองมาครบหนึ่งปีพอดีแต่ตำหนักบูรพาของเจ้าว่างเปล่าไร้นายหญิงปกครองเรือนหลังไม่พอแม้แต่สตรีอุ่นเตียงเจ้าก็ไม่สนใจรับเอาไว้ข้ากับเสด็จอาของเจ้าจึงเห็นสมควรให้เข้าแต่งงาน” เสียงมังกรเฒ่าเอ่ยบอกหลานชายเสียงทรงพลัง
“ราชวงศ์ไม่อาจรอเจ้าเลือกสตรีตามใจได้อีก เจ้าคือทายาทผู้สืบสายเลือดของพี่ชายและสตรีที่ข้าเคารพรักฝากฝัง ต้องมีผู้หญิงที่คู่ควรกับบัลลังก์ในวันหน้า” คราวนี้เป็นมังกรหนุ่มใหญ่เช่นเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ที่เอ่ยขึ้นบ้าง
จ้าวเฉินจ้านนิ่งงัน ความไม่พอใจแล่นผ่านใบหน้าเพียงชั่ววูบ เขาค้อมศีรษะลงต่ำแต่เสียงที่เปล่งออกกลับชัดเจน “หากแต่ง หลานก็จะแต่งกับเพ่ยหยูเพียงผู้เดียวไม่คิดแต่งสตรีอื่นใดอีก”
เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้วางถ้วยชาในมือลง เสียงกระทบจานดังแผ่วแต่กลับก้องไปทั่วตำหนัก “ไม่ได้! หากเจ้ายังไม่รู้เสด็จอาก็จะบอกให้เจ้ารู้ถึงตอนนี้สตรีผู้นั้นนางคือหลานสาวและกลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเจียงกุ้ยเฟยก็จริง แต่อดีตนางคือบุตรสาวของสกุลฮั่วที่เป็นกบฏพวกมันเคยคิดร้ายต่อบัลลังก์และร่วมมือกับเผ่าซยงหนู”
“ใช่! เจ้าห้ามแต่งสายเลือดกบฏมาเป็นนายหญิงตำหนักบูรพาเด็ดขาดนางไม่คู่ควร” จ้าวเหยียนจ้งกล่าวเสริมบุตรชายเสียงเข้ม
เฉินจ้านสบตาเสด็จอาและเสด็จปู่ของเขาอย่างตรงก่อนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “คู่ควรหรือไม่ หลานเป็นคนตัดสินด้วยใจเองได้ ความผิดของพ่อแม่และบรรพบุรุษไม่ควรตกแก่บุตร ความรักของหลานไม่ใช่เรื่องของราชวงศ์ แต่เป็นเรื่องของหัวใจพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในตำหนักเย็นยะเยือกลงทันที ขันทีหลายคนถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่พยายามยืนให้เงียบอยู่ด้านข้างแทบอยากหายตัวให้พ้นสายตาของมังกรทั้งสามรุ่น
ไท่ซ่างหวงเคาะไม้เท้าเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงหนักแน่น “เด็กหนอเด็ก...เจ้าคิดว่าราชวงศ์คือที่ให้ทำตามใจได้โดยง่ายหรืออย่างไร หากเจ้าต้องการเป็นไท่จื่อที่ภายหน้าต้องสืบทอดราชบัลลังก์ เจ้าต้องรู้จักวางหัวใจไว้ให้ถูกที่เลือกแต่งกับสตรีที่เหมาะสมและคู่ควรในภายหน้านางจะเป็นมารดาของแผ่นดิน”
“แล้วใครกันเล่า...ที่พวกท่านเห็นว่า ‘คู่ควร’ จะเป็นมารดาของแผ่นดินรุ่นต่อไป?” เฉินจ้านถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ตาแข็งกร้าว
ต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงไท่ซ่างหวงจะดังขึ้นอีกครั้ง “คุณหนูเจ็ดสวี บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกง”
เฉินจ้านยืนนิ่งอยู่กลางตำหนัก ลมหายใจของเขาแผ่วเบาแต่ร่างกลับตั้งตรงราวทวนเหล็ก ดวงตาคมเปล่งประกายกร้าว บุตรีเจิ้งกั๋วกงเช่นนั้นหรือ สตรีผู้นั้นเขาไม่เคยพบหน้า ถึงจะพอเคยได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับนางมาบ้าง
“สตรีที่ถูกบิดาส่งไปอยู่อารามแม่ชีตั้งแต่อายุเจ็ดขวบนะหรือ?” เขาเอ่ยถามเสียงเย็น
“ใช่แล้ว” ไท่ซ่างหวงเองก็ตอบไปด้วยเสียงราบเรียบเช่นกัน
“สตรีเช่นนี้หรือที่คู่ควร” อยู่อารามแม่ชีมาเป็นสิบปี โลกภายนอกเป็นอย่างไรนางรู้หรือ เกรงว่าแต่งนางมาเขาอาจเจอกับแม่ชีถือศีล จะทำใจร่วมหอได้อย่างไรเพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกว่าตนเองทำลังกลายเป็นคนบาปแล้ว
“ในต้าเว่ยในยามนี้ไม่มีสตรีใดคู่ควรกับเจ้าเท่าสวีหานเซียงอีกแล้ว มารดาของนางอดีตเป็นถึงท่านหญิงจากเผ่าซานเจา ถึงขณะนี้จะถูกถอดยศเพราะเลือกจะแต่งงานกับคนนอกเผ่า แต่สายเลือดย่อมยากจะติดขาด” จ้าวเหยียจ้งยังคงเอ่ยเรียบเรื่อย
“แล้วยิ่งบิดาของนางขณะนี้ควบคุมกองทัพเรือ และทหารม้าเกราะเหล็กอีกเจ็ดพัน อำนาจสนับสนุนเจ้ามั่นคงแน่ในอนาคต” คราวนี้เป็นเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ที่กล่าวเสริม
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรหลานก็ไม่แต่งกับนางเด็ดขาด”
เสียงนั้นหนักแน่นจนแม้กำยานที่ลอยอยู่เหนือหัวก็เหมือนจะดับลงไปในอากาศก่อนจะเป็นเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้กล่าวเสียงเข้ม “เจ้าลืมแล้วหรือว่าตำแหน่งของเจ้าคือไท่จื่อ มิใช่คุณชายธรรมดา ความรักที่เจ้าพูดนั้นแลกได้ด้วยเลือดและแผ่นดิน เจ้าแบกทั้งราชวงศ์ไว้บนบ่า จะเอาแต่ใจได้อย่างไร!”
ไท่ซ่างหวงตวาดหลายรักเสียงดังลั่น เฉินจ้านนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แน่วแน่ “หลานยืนยันคำเดิมเช่นไรก็ไม่แต่ง!”
“เฉินจ้าน เจ้าไม่ฟังคำของเสด็จอากับเสด็จปู่แล้วเช่นนั้นหรือไร?” เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ตวาดเสียงดังลั่นขึ้นมาอีกคน เขาหรือคาดหวังกับเจ้าเด็กคนนี้เอาไว้มากไฉนเลยจะคิดว่าวันนี้มันจะต่อต้านดื้อดึงเช่นนี้ ขันทีทั้งประจำตำหนักที่ยืนอยู่ถึงกับรีบคุกเข่าหมอบกราบทันที
เฉินจ้านก้มศีรษะลงต่ำ “คู่ชีวิตหลานมีสิทธิ์เลือกเองพ่ะย่ะค่ะ และหลานเลือกเพ่ยหยูแล้ว”
เสียงของเขาเรียบ แต่ดังกังวานพอให้ทุกคนในตำหนักได้ยินชัด ไท่ซ่างหวงมองหลานชายด้วยสายตาซับซ้อนระหว่างชื่นชมกับหงุดหงิด
“เจ้านี่ช่าง...เลือดร้อนและดื้อรั้นเหมือนบิดาของเจ้าไม่มีผิด” เสียงของมังกรเฒ่ากล่าวออกมาราบเรียบแต่ยังคงแฝงด้วยอำนาจเด็ดขาด
“จำไว้ จ้าวเฉินจ้านการเกิดในราชวงศ์เดิมทีมันก็ไม่ง่ายเลย เจ้าต้องจำเอาไว้ คู่ชีวิตมิใช่ใช้หัวใจเลือก ว่าที่จักรพรรดิองค์ต่อไปต้องเลือกคู่ชีวิตคู่คิดเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยหัวคิด!”
เฉินจ้านค้อมศีรษะลง “หลานทราบพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่ แต่หลานรักเพ่ยหยูแล้วไม่คิดจะทรยศนาง ทั้งเสด็จปู่กับเสด็จอาย่อมรู้เสด็จแม่ของหลานนางตายเพราะเหตุใด”
แน่นอนทุกคนย่อมจำได้ คราวนี้ มู่หรงเหลียงตี้ตายเพราะถูกหลินไท่จื่อเฟยริษยาจึงวางยาพิษ คราวแรกคิดสังหารทั้งแม่ทั้งลูกแต่จ้าวเฉินจ้านกลับดวงแข็งรอดมาได้ หากแต่มู่หรงเหลียงตี้กลับจบชีวิตทันทีหลังคลอดบุตร!
ตอนที่ 5 || ขอเลือกทางที่สามลมเย็นต้นฤดูวสันต์พัดเอื่อยผ่านลานหินอ่อนหน้า ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง เดิมทีควรเป็นบรรยากาศผ่อนคลายแต่บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างหนักเพราะทายาทรุ่นต่อไปปฏิเสธการแต่งงานที่มังกรทั้งสองรุ่นตั้งใจกำหนดให้ไท่ซ่างหวงเอนหลังบนเก้าอี้แกะสลักมังกรเก้าเล็บ แววตาเรียบเฉยใต้คิ้วขาวจับจ้องหลานชายคนโปรดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ส่วนเฉินจ้านเขากลับยืนสง่าไม่หลบตาทั้งเสด็จปู่และเสด็จอาผู้เป็นฮ่องเต้ มือทั้งสองข้างกำแน่นแนบข้างลำตัว“หึ! หากเจ้าจะยกเรื่องมารดาของเจ้ามาพูด เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้กระจ่าง สตรีที่ทำร้ายมารดาจนตายเป็นบิดาของเจ้าที่ดื้อรั้นจะแต่งนางให้ได้ หากเจ้าดื้อดึงนี่มิใช่เจ้าอาจเดินรอยตามบิดาของเจ้าหรืออาจ้าน”จ้าวเหยียนจ้งที่รู้เรื่องในอดีตดีกว่าหลานชายกล่าวเสียงนิ่ง พลันภาพในอดีตก็หวนมาให้เขาเจ็บใจ เพราะหากเขาหนักแน่นไม่ยอมอ่อนข้อให้บิดาของเฉินจ้าน เหตุการณ์คงไม่จบลงเช่นนั้นแน่ ดังนั้นคราวเขาจะไปมีทางอ่อนข้อให้หลายรักเป็นแน่ สตรีเช่นเจียงเพ่ยหยูมันนางอสรพิษ!“ใช่แล้วจ้านเอ๋อ เสด็จอาเข้าใจเจ้านะเจ้าอายุยังน้อยย่อมเอาความรักชายหญิงเป็นที่ตั้งแต่เจ้า
ตอนที่ 4 ||เกิดในราชวงศ์เดิมก็ไม่ง่ายแสงอาทิตย์ยามเฉินเพิ่งส่องลอดม่านไหมบาง ๆ เข้าสู่ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นกำยานหอมอ่อนลอยคลุ้งทั่วห้องโถง หยกขาวบนพื้นส่องแสงสะท้อนอ่อนโยน ขันทีน้อยสิบกว่าคนหมอบอยู่เรียงรายสองฝั่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างมั่นคงจ้าวเฉินจ้านไท่จื่อแห่งต้าเว่ยเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แม้ยังไม่ทันเอ่ยคำ แต่สายตาทุกคู่ในตำหนักล้วนจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียว วันนี้เป็นวันพิเศษถึงขั้นที่เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ งดประชุมขุนนางในยามเช้า เพื่อร่วมอยู่ในที่เฝ้ากับไท่ซ่างหวงเพียงเพื่อรอหลานชายคนโปรดของราชวงศ์ภายในห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ มีไท่ซ่างหวงในอาภรณ์ไหมสีดำปักลายดิ้นทองนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้มังกรโอ่อ่า ใบหน้าแม้เต็มไปด้วยร่องรอยวัยชรา แต่แววตาคมปลาบยังฉายอำนาจเหนือผู้คนราวพญาอินทรี ส่วนตรงกันข้ามนั้นคือ เฟิ่งสุ่ยตี้อ๋อง ฮ่องเต้ผู้ครองราชย์มาสิบเจ็ดปี เขาอยู่ในอาภรณ์น้ำเงินเข้มตรงหน้าอกปักลวดลายมังกรคำรามสีทองอร่าม สีหน้าของหนุ่มใหญ่วัยต้นสี่สิบเรียบเย็นแต่แฝงความเอ็นดูคิดถึงหลานชายที่เขารักยิ่งกว่าบุตรตนเองเหตุผลนั้นไม่มีอันใดมาก เพราะจ้าวเฉินจ้านเกิ
ตอนที่ 3 || ไท่จื่อเฉินจ้านผู้อ่อนโยนเช้าวันหนึ่งในต้นฤดูหนาว ท้องฟ้าของมหานครฉงชิ่งแจ่มกระจ่างดุจผืนผ้าไหมที่เพิ่งถูกชะล้างจนสะอาดไร้ฝุ่นหมอก ลมหนาวพัดเอื่อย กลิ่นไม้ฟืนเผาใหม่ลอยคลุ้งคลอเคลียกับกลิ่นดอกเหมยแรกแย้มที่เพิ่งผลิดอกเหนือกำแพงวังหลวง เสียงระฆังยามเช้าจากอารามเต๋าแห่งหนึ่งดังกังวานก้องสะท้อนบนหลังคาเคลือบกระเบื้องเงา ปลุกให้มหานครตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนานของฤดูหนาวขบวนรถม้าของไท่จื่อจ้าวเฉินจ้านแล่นผ่านประตูเมืองท่ามกลางสายตาของประชาชนที่ต่างพากันก้มศีรษะให้เกียรติ เสียงลือเรื่องความกล้าหาญของเขาจากเมืองหนานจิ้งยังไม่ทันจางหายองค์ไท่จื่อผู้เสี่ยงชีวิตเข้ารักษาผู้ป่วยโรคระบาดโดยไม่หวั่นต่อความตาย บัดนี้กลับมาสู่นครหลวงอีกครั้งในฐานะบุรุษผู้มีเมตตาดั่งเทพเซียนม่านผ้าของรถม้าถูกแหวกออกเบา ๆ เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ไร้คราบฝุ่นหรือรอยเลือด ผิวพรรณสะอาดราวหยกขาวต้องแสงอรุณ แววตาอบอุ่นทอประกายเมตตา ทุกสายตาที่มองเห็นล้วนต้องหยุดนิ่ง เหมือนต้องมนตร์ของรอยยิ้มเพียงบางเฉียบที่แต้มอยู่บนริมฝีปากสีทับทิมของเขาเสียงแซ่ซ้องดังทั่วถนน "ไท่จื่อผู้เปี่ยมเมตตา"หรือ"อง
ตอนที่ 2 ||สตรีเย็นชาแห่งอารามเมี่ยวจิงทิวเขาเหยียนซานยามเช้าอาบด้วยแสงตะวันแรก ดอกเหมยป่าบานสะพรั่งเกาะไอหมอกสีเงินที่คลี่คลุมตลอดแนวเขา เสียงระฆังจากอารามนางชี ‘เมี่ยวจิง’ ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา คนละด้านกับวัด ไถ่เหยียนซาน ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขาร่างเล็กของสตรีวัยสิบเจ็ดปีก้าวออกจากเรือนเล็กด้านหลังอารามด้วยกิริยาสงบด้านหลังนางมีสาวใช้หนึ่งคนติดตาม ร่างอรชรนั้นสวมชุดสีเทาเรียบง่ายตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือดูสะอาดสะอ้านม่านผมดำขลับของนางถูกรวบขึ้นเรียบร้อยปักด้วยปิ่นไม้จันทน์หอมเอาไว้ครึ่งศีรษะ ปล่อยเสียครึ่งศีรษะ เงางามยามที่นางเคลื่อนไหว ใบหน้านวลเนียนราวหยกสลักงดงามราวจันทร์ฉายในคืนเพ็ญ แต่ความงดงามของนางลดลงเสียสามในสิบส่วนเพราะนางวางสีหน้าสงบนิ่งจนยากจะคาดเดาอารมณ์หรือความคิด นางดูเย็นชาราวสตรีที่ตัดแล้วซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาร่างอรชรมาหยุดที่ด้านหน้าศาลาทรงแปดเหลี่ยมข้างอารามทิศใต้ ที่ด้านในมีบุรุษสูงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลม ที่ตรงหน้าเขามีโต๊ะหินเรียบง่าย ที่วางป้านน้ำชาและถ้วยชา กับกระดานหมากล้อมพร้อมโถใส่เม็ดหมากสองโถ“ให้นางเข้ามาเถิด”เสียงทรงอำนาจนั้นถึงจะสูงวัยแล้ว แต่
ตอนที่ 1||สองมังกรหาลือต้นยามซวีลมหนาวจากทิศเหนือพัดกรูเข้าสู่มหานครฉงชิ่ง อาณาจักรต้าเว่ย เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือนอีกครา...ใต้แสงโคมแดงที่ไหวระริกในตำหนักจื่อเฉินในวังหลวงส่วนหน้า จนบังเกิดเงาสะท้อนบนผนังเป็นภาพแกะสลักแล่นไหวราวกับสัตว์เทพเหล่านั้นกำลังขยับเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาภายในโถงกว้างของตำหนักบัดนี้กลับไร้เสียงผู้คน ขันทีและมหาดเล็กถูกขับออกไปหมดสิ้นโดยเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ มังกรผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน บรรยากาศจึงสงบและเป็นส่วนตัวในห้องในยามนี้มีสองร่างที่นั่งเผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้สลักมังกร ตรงกลางคือโต๊ะไม้แกะสลักมังกรคาบลูกแก้วสวรรค์ กลางโต๊ะมีป้านน้ำชาวางอยู่ ผู้หนึ่งวัยราวสามสิบตอนปลาย อีกผู้ราวหกสิบปีทั้งสองบุรุษ จะเป็นใครไปได้หากมิใช่ เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ ‘จ้าวเจิ้งหรง’ และพระบิดาของเขา ‘จ้าวเหยียนจ้ง’ ไท่ซ่างหวง เอกบุรุษผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าฮ่องเต้ ทั้งสองขณะนี้กำลังนั่งเผชิญหน้าโดยมีชุดป้านน้ำชากับกระดานหมากล้อมอยู่ตรงกลางแม้เหยียนจ้งจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ดวงเนตรยังคมกริบราวเหยี่ยวเฒ่า แฝงอำนาจที่ทำให้แม้แต่โอรสอย่างเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ยังต้องสำรวมกิริยายา
บทนำ||สตรีลึกลับท้องฟ้ายามพลบค่ำขมุกขมัว กลิ่นดินหลังฝนตกใหญ่ยังลอยคละคลุ้งในอากาศ เสียงขบวนรถม้าจำนวนหลายสิบคันกำลังมุ่งหน้าลงใต้ เสียงเกือบม้าเหยียบย่ำลงบนถนนดินขรุขระซึ่งมีแอ่งน้ำขังเป็นตะหลุก“หม่าจงเจ้าไปเร่งท้ายขบวนหน่อยใกล้ค่ำแล้ว แถวนี้บรรยากาศไม่ดี”บุรุษบนหลังอาชาพ่วงพีสีดำสนิทตะโกนสั่งบุรุษอีกคนซึ่งขี่ม้าตีคู่อยู่ด้านข้างรถม้าคันโต ชายผู้นั้นรับคำสั่งแล้วบังคับบังเหียนพาม้าย้อนกลับไปยังท้ายขบวน ยิ่งดวงอาทิตย์จวนอัสดงบรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขบวนดังกล่าวกำลังเคลื่อนผ่านช่องทางคับแคบ สองด้านเป็นภูผาขนาบ เส้นทางทอดยาวกว่าสิบลี้ดูอันตรายจนผู้คุ้มกันต่างระวังภัย พอท้ายขบวนเข้ามาอยู่ในช่องเขาคับแคบเสียงโห่คำรามจะดังลั่น“ฆ่าให้สิ้น! แล้วปล้นเอาทรัพย์พวกมันมาให้หมด!”ก้อนหินใหญ่ถูกปล่อยให้กลิ้งลงมาขวางเส้นทางด้านหน้าและปิดท้ายขบวน รถม้าคันหน้าสุดถูกบังคับให้หยุดกึกพร้อมเสียงม้ากรีดร้องเสียงแหลมสูง ทุกชีวิตพลันชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้ตายทันที แล้วกองโจรกว่าร้อยชีวิตก็ถาโถมลงมาจากยอดทิวเขาด้านบนสองฟากเขา ร่างสกปรกเต็มไปด้วยรอยสัก หน้าตาถมึงทึง แววตาเปี่ยมด้วยความกระหายในเลือดเนื้อและ







