LOGINลมเย็นต้นฤดูวสันต์พัดเอื่อยผ่านลานหินอ่อนหน้า ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง เดิมทีควรเป็นบรรยากาศผ่อนคลายแต่บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างหนักเพราะทายาทรุ่นต่อไปปฏิเสธการแต่งงานที่มังกรทั้งสองรุ่นตั้งใจกำหนดให้
ไท่ซ่างหวงเอนหลังบนเก้าอี้แกะสลักมังกรเก้าเล็บ แววตาเรียบเฉยใต้คิ้วขาวจับจ้องหลานชายคนโปรดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ส่วนเฉินจ้านเขากลับยืนสง่าไม่หลบตาทั้งเสด็จปู่และเสด็จอาผู้เป็นฮ่องเต้ มือทั้งสองข้างกำแน่นแนบข้างลำตัว
“หึ! หากเจ้าจะยกเรื่องมารดาของเจ้ามาพูด เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้กระจ่าง สตรีที่ทำร้ายมารดาจนตายเป็นบิดาของเจ้าที่ดื้อรั้นจะแต่งนางให้ได้ หากเจ้าดื้อดึงนี่มิใช่เจ้าอาจเดินรอยตามบิดาของเจ้าหรืออาจ้าน”
จ้าวเหยียนจ้งที่รู้เรื่องในอดีตดีกว่าหลานชายกล่าวเสียงนิ่ง พลันภาพในอดีตก็หวนมาให้เขาเจ็บใจ เพราะหากเขาหนักแน่นไม่ยอมอ่อนข้อให้บิดาของเฉินจ้าน เหตุการณ์คงไม่จบลงเช่นนั้นแน่ ดังนั้นคราวเขาจะไปมีทางอ่อนข้อให้หลายรักเป็นแน่ สตรีเช่นเจียงเพ่ยหยูมันนางอสรพิษ!
“ใช่แล้วจ้านเอ๋อ เสด็จอาเข้าใจเจ้านะเจ้าอายุยังน้อยย่อมเอาความรักชายหญิงเป็นที่ตั้งแต่เจ้าจงรู้เอาไว้พอเจ้าเติบโตจะรู้ความแค่ความรักมันไม่พอให้ชีวิตคู่ราบรื่นชั่วชีวิต และเจ้าจงอย่าลืม ที่เสด็จแม่ของเจ้าต้องตายก็เพราะเสด็จพ่อของเจ้าเลือกมอบอำนาจให้สตรีผิดคน เจ้าก็อย่าเดินตามรอยเขาเลยนะยอมแต่งกับสตรีที่เสด็จปู่หามาให้เถิด”
จ้าวเจิ้งหรงเองก็พยายามจะโน้มน้าวให้หลานชายที่เขาทั้งรักและเอ็นดูอีกคน เขาเองในวัยหนุ่มก็เคยมีความรักเช่นกันย่อมเข้าใจอารมณ์คนหนุ่ม รักรุนแรง แต่พอผ่านไปรักอาจจืดจาง ยิ่งบุรุษที่จะเป็นฮ่องเต้ต่อไปยึดติดกับความรักมีแต่จะนำพาภัยร้ายมาสู่ตนเอง
ไท่ซ่างหวงฟังคำแนะนำของบุตรชายคนรองของตนเองก็แย้มพระโอษฐ์ยิ้มเย็นเพราะที่เฟิ่งสุ่ยตี้กล่าวล้วนเป็นจริงทุกคำ “ข้ามีเพียงสองทางให้เจ้าเลือกอาจ้าน อาหรงเจ้าพูด”
เฟิ่งสุ่ยตี้พยัหหน้ากับบิดาก่อนจะหันไปมองเฉินจ้านดวงตาเรียวลึกแฝงประกายเยือกเย็น “เสด็จอากับเสด็จปู่มีสองทางให้เจ้าเลือก อาจ้าน หนึ่งเจ้ายอมแต่งกับสวีหานเซียง แล้วคงฐานะไท่จื่อไว้ได้ กับสองเจ้าปฏิเสธ ไม่แต่งตามที่เรากำหนด แต่ต้องถูกปลดจากตำแหน่งไท่จื่อเจ้าจะเลือกทางใด”
บรรยากาศในตำหนักขณะนั้นเยือกเย็นจนได้ยินเสียงใบไม้ได้นอกหน้าต่างของตำหนักตกลงพื้น เฉินจ้านเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตานิ่งลึก “ถอดก็ถอดสิพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงข้าได้แต่งกับเพ่ยหยู ก็พอ”
คำพูดนั้นเหมือนก้อนหินถูกโยนลงใส่ผิวน้ำจนแตกกระจายดังตูมสนั่นแล้วจากนั้นทุกสรรพสิ่งก็พลันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนเสียงหัวเราะของไท่ซ่างหวงดังสะท้อนในโถงใหญ่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเย็นเยียบ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดหรือว่าสตรีที่ทำให้เจ้าบาดหมางกับเสด็จปู่และเสด็จอา จะมีชีวิตรอดถึงวันแต่งงานหรือ เจียงเพ่ยหยู แซ่เดิมคือฮั่วสกุลที่ข้าสั่งประหารล้างสกุลเมื่อสามปีก่อนข้อหากบฏ เจ้าไม่กลัวนางแก้แค้นแทนสกุลเดิมหรืออาจ้าน”
เฉินจ้านชะงัก ดวงตาสีเข้มมืดลงช้า ๆ ก่อนจะเป็นเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ที่เอ่ยเสริมพระบิดา ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมดุจคมมีดอาบยาพิษ “เผื่อเจ้ายังคิดไม่ตก เจียงเพ่ยหยู แซ่เดิมของนางคือฮั่ว แค่ข้ากระดิกนิ้ว นางก็ตายแล้วสายเลือดกบฏอย่างไรก็คือกบฏสังหารง่ายแค่พลิกฝ่ามือ”
สายลมที่พัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาภายในตำหนักคล้ายหยุดนิ่ง เฉินจ้านเม้มปากแน่นจนได้กลิ่นเลือดในปากตนเอง เขากำหมัดแน่น แล้วสบตาเสด็จปู่ตรง ๆ ก่อนจะพบกับแววตาจริงจัง คาดว่าหากเขายังปฏิเสธชีวิตเพ่ยหยูคงจบสิ้นจริองๆ
“เลือกมาเถอะ” ไท่ซ่างหวงกล่าวเรียบ “จะแต่งกับหานเซียงโดยดี หรือจะยอมให้สตรีที่เจ้ารักตาย”
ความเงียบกินเวลายาวนาน เฟิ่งสุ่ยตี้เพียงยกถ้วยชาจิบอย่างใจเย็น ไท่ซ่างหวงนั่งนิ่ง เหมือนรอคอยการยอมจำนนของหลานชาย ก็แค่สตรีผู้หนึ่งที่นางยังหายใจมาสร้างปัญหาเช่นทุกวันนี้ก็เพราะเขายังเห็นประโยชน์ แต่หากนางควบคุมไม่ได้สังหารเสียเขาก็ไม่รู้ผิดอยู่แล้ว
เฉินจ้านหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ปล่อยออกยาว เสียงหายใจสะท้อนในโถงหินหยก ก่อนที่เขาจะลืมตาพรึบขึ้น ดวงตาเปล่งประกายเด็ดเดี่ยว
“เช่นนั้น...หลานขอเลือกทางที่สามพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงถึงกับร้อง “โอ้!” ออกมาคำหนึ่ง ส่วนเฟิ่งสุ่ยตี้วางถ้วยชาลงพลางเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาเถอะ ทางที่สามของเจ้าคืออะไร”
เฉินจ้านจึงเอ่ยชัดถ้อยชัดคำไม่มีแววลังเลแม้แต่น้อย “หลานยอมแต่งกับสวีหานเซียงอะไรก็ได้ แต่หลานจะต้องได้แต่งเพ่ยหยูเข้าตำหนักบูรพาด้วยในภายหลังเช่นกัน”
เสียงคำพูดยังไม่ทันจบดี สองมังกรแห่งต้าเว่ยตวาดพร้อมกัน “ไม่ได้!”
แต่เฉินจ้านกลับหัวเราะเสียงเย็น ดวงตาของเขาดุดันแข็งกร้าวอย่างคนไม่ยินยอมต่อโชคชะตา “เช่นนั้น หากหลานแต่งกับหานเซียงจริง แต่เพ่ยหยูไม่ได้เข้าตำหนักบูรพา ก็อย่าหาว่าหลานไม่เตือน...ไม่ว่าอีกกี่สิบหานเซียง หลานก็จะสังหารให้สิ้น!”
เสียงหายใจของขันทีรอบข้างสะดุดแทบพร้อมกัน บางคนถึงกับเผลอกลืนน้ำลาย เฟิ่งสุ่ยตีฮ่องเต้ชะงักนิ่งงันสายตาเฉียบคมเหลือบมองไปทางบิดาราวกับจะปรึกษากันทางสายตา
“เจ้ากล้าข่มขู่เสด็จปู่กับเสด็จอาเชียวรึ?”
เฉินจ้านยกยิ้มมุมปาก “หลานเพียงเตือนความจริง เสด็จปู่ เสด็จอาอย่าลืม หลานนอกจากรักษาคนได้ ยังสังหารคนเก่งยิ่งกว่าเพราะก่อนจะเป็นท่านหมอรักษาชีวิตคน หลานปลิดชีพคนมาก่อนนะ หรือจะลองดูก็ได้...ระหว่างนักฆ่าของพวกท่านกับเข็มพิษของหลาน อย่างใดเร็วกว่ากัน”
ลมในตำหนักเฉียนชิงพัดผ้าม่านกระเพื่อม เสียงนั้นเบา แต่แรงพอให้ทุกคนขนลุกสองมังกรหันมองสบตากันอยู่ชั่วขณะ เงียบงันยาวนานจนเวลาคล้ายหยุดนิ่ง ก่อนที่ไท่ซ่างหวงจะถอนหายใจแผ่ว ๆ แล้วหัวเราะเบา
“หึ! เจ้านี่มันสมกับเป็นแซ่จ้าวเสียจริง ได้สิ เสด็จปู่ยอมถอยให้เจ้าหนึ่งก้าว”
เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้เหลือบมองบิดา แต่ไม่ได้เอ่ยห้ามเพราะติดว่ามังกรเฒ่าย่อมมีลูกไม้และเล่ห์กลมากกว่าเขาอยู่แล้ว
“แต่ข้ายังมีข้อแม้สองข้อ” ไท่ซ่างหวงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกลับมานิ่งเฉียบ เฉินจ้านแค่นยิ้ม เขารู้ดีว่าสองมังกรแห่งต้าเว่ยไม่เคยยอมใครง่าย ๆ และเขาเองก็เช่นกัน
“เชิญเสด็จปู่เชิญกล่าวมาเถิด”
“ข้อหนึ่ง เจ้าแต่งเพ่ยหยูไม่ได้ แต่รับนางเป็นสตรีอุ่นเตียงได้”
“ข้อสอง หลังแต่งกับหานเซียงแล้ว เจ้าต้องรักษาดวงตาให้มารดาของนาง”
เฉินจ้านแค่นหัวเราะ เสียงนั้นทั้งเย้ยทั้งหยัน “หลานถอยหนึ่งก้าวได้ แต่สองก้าวมันเกินไป หลานจะรักษามารดาของสวีหานเซียงให้ แต่เพ่ยหยูต้องได้แต่งเป็นเหลียงตี้”
คำว่า “เหลียงตี้” ทำให้บรรยากาศในตำหนักแข็งค้างไปครู่ใหญ่ เหลียงตี้คือชายารองของไท่จื่อ มีตำแหน่งเป็นทางการในราชสำนัก มิใช่เพียงสตรีอุ่นเตียงที่ไร้ฐานะ อนาคตหากนางคลอดบุตรชายก่อนไท่จื่อเฟยเด็กคนนั้นอาจได้เป็นว่าที่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้หลุดหัวเราะในที่สุด แค่นเสียงเบาแล้วกล่าวกับบิดา “เสด็จพ่ออย่าเพิ่งกริ้วเลย จ้านเอ๋อเป็นเช่นนี้เพราะเราเองสั่งสอนให้ดื้อรั้นสู้คนและห้ามเสียเปรียบผู้ใดมิใช่หรือ”
ไท่ซ่างหวงหันไปมองค้อนใส่บุตรชาย ก่อนกลับมามองหลานชายตรงหน้า แววตานิ่งนานจนเหมือนจะกลืนเอาความกล้าทั้งหมดของเฉินจ้านไป แต่สุดท้าย มังกรเฒ่าก็หัวเราะในลำคอแล้วกล่าวหนักแน่น
“ได้...ตกลงตามนี้!”
เสียงประกาศนั้นดังก้องในตำหนักเฉียนชิง คล้ายฟ้าผ่ากลางวัน แววตาของเฉินจ้านนิ่งสนิท แต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความพึงใจ เขาก้มศีรษะลงถวายบังคมอย่างงดงาม ส่วนสองมังกรทั้งสองรุ่นต่างวัย เพียงมองสบตากัน
ก็เพียงเหลียงตี้ หากแผนการของพวกเขาสำเร็จสืบไปถึงพรรคพวกที่เคยร่วมมือกับสกุลฮั่วเมื่อสามปียามใด เจียงเพ่ยหยูยังจะมีชีวิตได้อย่างไร ตอนนี้ถอยสองก้าว แต่ยามใดที่สวีหานเซียงแต่งเข้าตำหนักบูรพา ก็ยังไม่แน่ว่าเป็นใครที่จะถอยไปจนมุม!
ตอนที่ 5 || ขอเลือกทางที่สามลมเย็นต้นฤดูวสันต์พัดเอื่อยผ่านลานหินอ่อนหน้า ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง เดิมทีควรเป็นบรรยากาศผ่อนคลายแต่บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างหนักเพราะทายาทรุ่นต่อไปปฏิเสธการแต่งงานที่มังกรทั้งสองรุ่นตั้งใจกำหนดให้ไท่ซ่างหวงเอนหลังบนเก้าอี้แกะสลักมังกรเก้าเล็บ แววตาเรียบเฉยใต้คิ้วขาวจับจ้องหลานชายคนโปรดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ส่วนเฉินจ้านเขากลับยืนสง่าไม่หลบตาทั้งเสด็จปู่และเสด็จอาผู้เป็นฮ่องเต้ มือทั้งสองข้างกำแน่นแนบข้างลำตัว“หึ! หากเจ้าจะยกเรื่องมารดาของเจ้ามาพูด เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้กระจ่าง สตรีที่ทำร้ายมารดาจนตายเป็นบิดาของเจ้าที่ดื้อรั้นจะแต่งนางให้ได้ หากเจ้าดื้อดึงนี่มิใช่เจ้าอาจเดินรอยตามบิดาของเจ้าหรืออาจ้าน”จ้าวเหยียนจ้งที่รู้เรื่องในอดีตดีกว่าหลานชายกล่าวเสียงนิ่ง พลันภาพในอดีตก็หวนมาให้เขาเจ็บใจ เพราะหากเขาหนักแน่นไม่ยอมอ่อนข้อให้บิดาของเฉินจ้าน เหตุการณ์คงไม่จบลงเช่นนั้นแน่ ดังนั้นคราวเขาจะไปมีทางอ่อนข้อให้หลายรักเป็นแน่ สตรีเช่นเจียงเพ่ยหยูมันนางอสรพิษ!“ใช่แล้วจ้านเอ๋อ เสด็จอาเข้าใจเจ้านะเจ้าอายุยังน้อยย่อมเอาความรักชายหญิงเป็นที่ตั้งแต่เจ้า
ตอนที่ 4 ||เกิดในราชวงศ์เดิมก็ไม่ง่ายแสงอาทิตย์ยามเฉินเพิ่งส่องลอดม่านไหมบาง ๆ เข้าสู่ตำหนักเฉียนชิง กลิ่นกำยานหอมอ่อนลอยคลุ้งทั่วห้องโถง หยกขาวบนพื้นส่องแสงสะท้อนอ่อนโยน ขันทีน้อยสิบกว่าคนหมอบอยู่เรียงรายสองฝั่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างมั่นคงจ้าวเฉินจ้านไท่จื่อแห่งต้าเว่ยเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แม้ยังไม่ทันเอ่ยคำ แต่สายตาทุกคู่ในตำหนักล้วนจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียว วันนี้เป็นวันพิเศษถึงขั้นที่เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ งดประชุมขุนนางในยามเช้า เพื่อร่วมอยู่ในที่เฝ้ากับไท่ซ่างหวงเพียงเพื่อรอหลานชายคนโปรดของราชวงศ์ภายในห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ มีไท่ซ่างหวงในอาภรณ์ไหมสีดำปักลายดิ้นทองนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้มังกรโอ่อ่า ใบหน้าแม้เต็มไปด้วยร่องรอยวัยชรา แต่แววตาคมปลาบยังฉายอำนาจเหนือผู้คนราวพญาอินทรี ส่วนตรงกันข้ามนั้นคือ เฟิ่งสุ่ยตี้อ๋อง ฮ่องเต้ผู้ครองราชย์มาสิบเจ็ดปี เขาอยู่ในอาภรณ์น้ำเงินเข้มตรงหน้าอกปักลวดลายมังกรคำรามสีทองอร่าม สีหน้าของหนุ่มใหญ่วัยต้นสี่สิบเรียบเย็นแต่แฝงความเอ็นดูคิดถึงหลานชายที่เขารักยิ่งกว่าบุตรตนเองเหตุผลนั้นไม่มีอันใดมาก เพราะจ้าวเฉินจ้านเกิ
ตอนที่ 3 || ไท่จื่อเฉินจ้านผู้อ่อนโยนเช้าวันหนึ่งในต้นฤดูหนาว ท้องฟ้าของมหานครฉงชิ่งแจ่มกระจ่างดุจผืนผ้าไหมที่เพิ่งถูกชะล้างจนสะอาดไร้ฝุ่นหมอก ลมหนาวพัดเอื่อย กลิ่นไม้ฟืนเผาใหม่ลอยคลุ้งคลอเคลียกับกลิ่นดอกเหมยแรกแย้มที่เพิ่งผลิดอกเหนือกำแพงวังหลวง เสียงระฆังยามเช้าจากอารามเต๋าแห่งหนึ่งดังกังวานก้องสะท้อนบนหลังคาเคลือบกระเบื้องเงา ปลุกให้มหานครตื่นขึ้นจากนิทราอันยาวนานของฤดูหนาวขบวนรถม้าของไท่จื่อจ้าวเฉินจ้านแล่นผ่านประตูเมืองท่ามกลางสายตาของประชาชนที่ต่างพากันก้มศีรษะให้เกียรติ เสียงลือเรื่องความกล้าหาญของเขาจากเมืองหนานจิ้งยังไม่ทันจางหายองค์ไท่จื่อผู้เสี่ยงชีวิตเข้ารักษาผู้ป่วยโรคระบาดโดยไม่หวั่นต่อความตาย บัดนี้กลับมาสู่นครหลวงอีกครั้งในฐานะบุรุษผู้มีเมตตาดั่งเทพเซียนม่านผ้าของรถม้าถูกแหวกออกเบา ๆ เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ไร้คราบฝุ่นหรือรอยเลือด ผิวพรรณสะอาดราวหยกขาวต้องแสงอรุณ แววตาอบอุ่นทอประกายเมตตา ทุกสายตาที่มองเห็นล้วนต้องหยุดนิ่ง เหมือนต้องมนตร์ของรอยยิ้มเพียงบางเฉียบที่แต้มอยู่บนริมฝีปากสีทับทิมของเขาเสียงแซ่ซ้องดังทั่วถนน "ไท่จื่อผู้เปี่ยมเมตตา"หรือ"อง
ตอนที่ 2 ||สตรีเย็นชาแห่งอารามเมี่ยวจิงทิวเขาเหยียนซานยามเช้าอาบด้วยแสงตะวันแรก ดอกเหมยป่าบานสะพรั่งเกาะไอหมอกสีเงินที่คลี่คลุมตลอดแนวเขา เสียงระฆังจากอารามนางชี ‘เมี่ยวจิง’ ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา คนละด้านกับวัด ไถ่เหยียนซาน ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขาร่างเล็กของสตรีวัยสิบเจ็ดปีก้าวออกจากเรือนเล็กด้านหลังอารามด้วยกิริยาสงบด้านหลังนางมีสาวใช้หนึ่งคนติดตาม ร่างอรชรนั้นสวมชุดสีเทาเรียบง่ายตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือดูสะอาดสะอ้านม่านผมดำขลับของนางถูกรวบขึ้นเรียบร้อยปักด้วยปิ่นไม้จันทน์หอมเอาไว้ครึ่งศีรษะ ปล่อยเสียครึ่งศีรษะ เงางามยามที่นางเคลื่อนไหว ใบหน้านวลเนียนราวหยกสลักงดงามราวจันทร์ฉายในคืนเพ็ญ แต่ความงดงามของนางลดลงเสียสามในสิบส่วนเพราะนางวางสีหน้าสงบนิ่งจนยากจะคาดเดาอารมณ์หรือความคิด นางดูเย็นชาราวสตรีที่ตัดแล้วซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาร่างอรชรมาหยุดที่ด้านหน้าศาลาทรงแปดเหลี่ยมข้างอารามทิศใต้ ที่ด้านในมีบุรุษสูงวัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลม ที่ตรงหน้าเขามีโต๊ะหินเรียบง่าย ที่วางป้านน้ำชาและถ้วยชา กับกระดานหมากล้อมพร้อมโถใส่เม็ดหมากสองโถ“ให้นางเข้ามาเถิด”เสียงทรงอำนาจนั้นถึงจะสูงวัยแล้ว แต่
ตอนที่ 1||สองมังกรหาลือต้นยามซวีลมหนาวจากทิศเหนือพัดกรูเข้าสู่มหานครฉงชิ่ง อาณาจักรต้าเว่ย เป็นสัญญาณบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือนอีกครา...ใต้แสงโคมแดงที่ไหวระริกในตำหนักจื่อเฉินในวังหลวงส่วนหน้า จนบังเกิดเงาสะท้อนบนผนังเป็นภาพแกะสลักแล่นไหวราวกับสัตว์เทพเหล่านั้นกำลังขยับเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาภายในโถงกว้างของตำหนักบัดนี้กลับไร้เสียงผู้คน ขันทีและมหาดเล็กถูกขับออกไปหมดสิ้นโดยเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ มังกรผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน บรรยากาศจึงสงบและเป็นส่วนตัวในห้องในยามนี้มีสองร่างที่นั่งเผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้สลักมังกร ตรงกลางคือโต๊ะไม้แกะสลักมังกรคาบลูกแก้วสวรรค์ กลางโต๊ะมีป้านน้ำชาวางอยู่ ผู้หนึ่งวัยราวสามสิบตอนปลาย อีกผู้ราวหกสิบปีทั้งสองบุรุษ จะเป็นใครไปได้หากมิใช่ เฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ ‘จ้าวเจิ้งหรง’ และพระบิดาของเขา ‘จ้าวเหยียนจ้ง’ ไท่ซ่างหวง เอกบุรุษผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าฮ่องเต้ ทั้งสองขณะนี้กำลังนั่งเผชิญหน้าโดยมีชุดป้านน้ำชากับกระดานหมากล้อมอยู่ตรงกลางแม้เหยียนจ้งจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ดวงเนตรยังคมกริบราวเหยี่ยวเฒ่า แฝงอำนาจที่ทำให้แม้แต่โอรสอย่างเฟิ่งสุ่ยตี้ฮ่องเต้ยังต้องสำรวมกิริยายา
บทนำ||สตรีลึกลับท้องฟ้ายามพลบค่ำขมุกขมัว กลิ่นดินหลังฝนตกใหญ่ยังลอยคละคลุ้งในอากาศ เสียงขบวนรถม้าจำนวนหลายสิบคันกำลังมุ่งหน้าลงใต้ เสียงเกือบม้าเหยียบย่ำลงบนถนนดินขรุขระซึ่งมีแอ่งน้ำขังเป็นตะหลุก“หม่าจงเจ้าไปเร่งท้ายขบวนหน่อยใกล้ค่ำแล้ว แถวนี้บรรยากาศไม่ดี”บุรุษบนหลังอาชาพ่วงพีสีดำสนิทตะโกนสั่งบุรุษอีกคนซึ่งขี่ม้าตีคู่อยู่ด้านข้างรถม้าคันโต ชายผู้นั้นรับคำสั่งแล้วบังคับบังเหียนพาม้าย้อนกลับไปยังท้ายขบวน ยิ่งดวงอาทิตย์จวนอัสดงบรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขบวนดังกล่าวกำลังเคลื่อนผ่านช่องทางคับแคบ สองด้านเป็นภูผาขนาบ เส้นทางทอดยาวกว่าสิบลี้ดูอันตรายจนผู้คุ้มกันต่างระวังภัย พอท้ายขบวนเข้ามาอยู่ในช่องเขาคับแคบเสียงโห่คำรามจะดังลั่น“ฆ่าให้สิ้น! แล้วปล้นเอาทรัพย์พวกมันมาให้หมด!”ก้อนหินใหญ่ถูกปล่อยให้กลิ้งลงมาขวางเส้นทางด้านหน้าและปิดท้ายขบวน รถม้าคันหน้าสุดถูกบังคับให้หยุดกึกพร้อมเสียงม้ากรีดร้องเสียงแหลมสูง ทุกชีวิตพลันชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้ตายทันที แล้วกองโจรกว่าร้อยชีวิตก็ถาโถมลงมาจากยอดทิวเขาด้านบนสองฟากเขา ร่างสกปรกเต็มไปด้วยรอยสัก หน้าตาถมึงทึง แววตาเปี่ยมด้วยความกระหายในเลือดเนื้อและ







