งานเลี้ยงค่ำคืนนี้เมื่อชาติก่อน
หลังจากที่ฟางหนิงหลินได้ไปแสดงความยินดีกับเหล่าองค์ชายทั้งสามและเสิ่นหลิวหยางที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว นางก็มานั่งดื่มกินกับเหล่าสตรีคนอื่น ๆ ตรงที่เหยาลี่เซียนได้จัดเตรียมไว้ให้
แน่นอนว่าที่ตรงนี้ที่องค์หญิงเหยาลี่เซียนจัดไว้นั้น ฟางหนิงหลินย่อมมองเห็นเสด็จพี่ของนางเหยาหวังเหว่ยได้อย่างชัดเจน เพราะสหายคนสนิทมีหรือจะไม่รู้ใจกัน เหยาลี่เซียนรู้ดีว่าหากมีเสด็จพี่รองอยู่ขอเพียงมีที่นั่งให้สหายของนางได้นั่งดูให้เห็นใบหน้าของเสด็จพี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฟางหนิงหลิน
ขณะที่ฟางหนิงหลินนั่งมองเหยาหวังเหว่ยอยู่นั้น นางก็เห็นว่าเหยาหวังเหว่ยลุกเดินออกไปจากงานด้วยท่าทางไม่ดีนัก นางจึงเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อนางเห็นว่าเขาเดินเซไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่จึงรีบเข้าไปพยุงตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงคราแรกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมให้ฟางหนิงหลินแตะต้องตัว แต่เพียงผ่านไปไม่นานกลับกลายเป็นเขาที่อุ้มฟางหนิงหลิน และพาเข้าไปในห้องรับรองแขกที่หลัวฮองเฮาทรงสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมไว้
ขณะนั้นเจียงเจียวซินที่ดักรอเหยาหวังเหว่ยอยู่ก็ต้องรีบหลบ เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินเดินตามชินอ๋องมาด้วย เพราะอย่างไรเสียนางก็ไม่อาจทำการบุ่มบ่ามเข้าไปขวางฟางหนิงหลินได้ ไม่เช่นนั้นหากฟางหนิงหลินรู้ว่าเหยาหวังเหว่ยถูกวางยากำหนัด คนที่จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกก็คือนาง และหากไม่เป็นเพราะบิดาของนางเป็นลูกน้องใต้บัญชาการของบิดาฟางหนิงหลิน นางเองก็อยากเข้าไปขวางและมีปากเสียงกับฟางหนิงหลินดูสักครา แต่เพราะกลัวบิดาของนางจะต้องลำบาก จึงทำได้เพียงแต่ยืนเจ็บใจอยู่ห่าง ๆ มองดูคนทั้งคู่เข้าไปภายในห้องด้วยกัน
เพียงทั้งคู่เข้าไปด้านในห้องไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1]ซูโม่อี้องครักษ์คนสนิทข้างกายของเหยาหวังเหว่ยก็มาถึงหน้าห้องพร้อมหมอหลวง เพราะก่อนออกมาจากงานเลี้ยงเหยาหวังเหว่ยรู้ตัวว่าตนนั้นผิดปกติจึงได้ให้ซูโม่อี้ไปตามหมอหลวงมา แต่ยังไม่ทันที่ซูโม่อี้และหมอหลวงจะเข้าไปด้านในห้อง ฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาก็ตามมาถึงหน้าห้องที่ฟางหนิงหลินและเหยาหวังเหว่ยอยู่ด้านใน ทั้งสองพระองค์มาพร้อมเหล่านางกำนัลขันทีที่ติดตามเสด็จ
ถึงการเชิญหมอหลวงครั้งนี้จะทำอย่างลับ ๆ แต่ในวังล้วนมีหูตามากมาย เพียงผู้ใดเห็นซูโม่อี้ย่อมรู้ว่าเขาคือคนของชินอ๋องเหยาหวังเหว่ย
เมื่อเห็นว่าซูโม่อี้มาตามหมอหลวงย่อมรู้ว่าต้องเกิดอันใดกับเหยาหวังเหว่ยอย่างแน่นอน แล้วมีหรือจะไม่มีผู้ใดอยากได้หน้าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้
“องค์ชายรองไม่ได้อยู่ด้านในอย่างนั้นหรือ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ยอมเข้าไปเสียที” ฮ่องเต้เอ่ยถามท่าทางฉุนเฉียว เมื่อเห็นว่าหมอหลวงและองครักษ์ของบุตรชายยังยืนนิ่งอยู่ด้านนอก
ท่าทางดูเลิ่กลั่กไม่ยอมเอ่ยปากตอบของซูโม่อี้ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกเดือดดาล แต่เพียงพระองค์ก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ประตูก็รู้เหตุผลทันที ว่าเหตุใดซูโม่อี้ถึงไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปด้านใน ถึงเสียงร้องครางของสตรีและบุรุษในห้องจะไม่ได้ดังมากนัก แต่ผู้ที่ฝึกยุทธ์มาย่อมได้ยินเสียงจากด้านในอย่างชัดเจน
“พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด ยกเว้นเจ้า” เฉิงเฟิงฮ่องเต้ขึ้นเสียงอย่างมีอารมณ์ พร้อมกับหันไปมองซูโม่อี้ที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก
หลัวฮองเฮาที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉิงเฟิงฮ่องเต้ก็ต้องถอยหลังออกไปเช่นกัน เมื่อเห็นสายตาที่สวามีหันมามอง ถึงนางจะไม่ได้ยินเสียงอันใดจากภายในห้อง แต่นางก็รู้ได้ทันทีว่าภายในห้องต้องเกิดเรื่องมิดีขึ้นเป็นแน่
“ซูโม่อี้เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่กับหมอหลวง หากว่าองค์ชายรองได้สติแล้วให้รีบพาเขาและสตรีผู้นั้นไปหาข้าทันที” เฉิงเฟิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงแผ่วเบาเพียงเพื่อให้ซูโม่อี้ได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ซูโม่อี้ตอบรับทันที
เฉิงเฟิงฮ่องเต้เดินกลับไปยังงานเลี้ยงทันที เพื่อไม่ให้เหล่าขุนนางที่อยู่ในงานเลี้ยงเกิดสงสัย ถึงเขาจะไม่รู้ว่าสตรีที่อยู่ในห้องกับบุตรชายของตนเป็นใคร แต่อย่างไรเสียสตรีผู้นี้ก็หนีไม่พ้นที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการวางยาบุตรชายของเขา
เจียงเจียวซินที่แอบยืนดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่างมากนัก รู้สึกหัวเสียที่แผนไม่เป็นไปดังคาด ความรู้สึกขุ่นเคืองอัดแน่นเป็นเท่าทวี เมื่อเห็นว่าเฉิงเฟิงฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องแล้วว่าชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรี ถึงตอนนี้ฮ่องเต้จะยังไม่รู้ว่าสตรีในห้องนั้นคือผู้ใด แต่นางเชื่อว่าหากฮ่องเต้รู้ว่าเป็นคุณหนูตระกูลฟางย่อมต้องละเว้นโทษฟางหนิงหลินเป็นแน่ และมิหนำซ้ำยังคงรู้สึกยินดีที่บุตรชายคนรองจะได้แต่งงานกับสตรีที่มีฐานอำนาจอีกทั้งยังมีทรัพย์สินเพียบพร้อมเช่นนี้ ยิ่งนางครุ่นคิดก็ยิ่งแค้น โทสะของนางพลุ่งพล่านขึ้นมาบนใบหน้าเนียนจนเห็นได้ชัด
ซูโม่อี้ยืนเฝ้าผู้เป็นนายอยู่ด้านนอกตามรับสั่งของเฉิงเฟิงฮ่องเต้ เขารู้สึกอิจฉาหมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ที่ไม่ได้ยินเสียงน่าอายที่เกิดขึ้นหลังประตูบานนี้ ถึงอย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษวัยกำหนัด เสียงเหล่านี้ที่ได้ยินล้วนสร้างความทรมานให้แก่เขา เขายืนฟังจนช่วงล่างรู้สึกปวดหนึบ แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เขาไม่อาจละทิ้งไปได้แม้ช่วงขณะ เขาจึงทำได้เพียงยืนทนฟังเสียงกระตุ้นความกำหนัดเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่สุดความทรมานที่ซูโม่อี้ต้องทนรับก็จบสิ้นลง เมื่อภายในห้องเงียบสงัด เขายืนรออยู่ครู่หนึ่งเพียงเพื่อจะดูว่าคนภายในห้องจะส่งเสียงทรมานเขาอีกหรือไม่ เมื่อเขาเห็นว่าภายในห้องไม่ได้ส่งเสียงอันใดแล้ว เขาจึงเอ่ยเรียกเหยาหวังเหว่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก
“ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่ หากท่านได้สติและมีแรงพอที่จะลุกได้แล้ว เชิญท่านอ๋องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยขอรับ”ซูโม่อี้ยืนนิ่งรอคำตอบ
“ข้าไม่เป็นไร ขอข้าพักสักครู่แล้วจะออกไป”เหยาหวังเหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย
“ขอรับ” ซูโม่อี้ตอบรับผู้เป็นนายก่อนที่จะหันมาบอกให้หมอหลวงกลับไปได้
[1] เค่อ เทียบเท่ากับ 15นาที
“ไม่มีทาง หลินเอ๋อร์ไม่มีทางใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ กระหม่อมเอาหัวเป็นประกันพ่ะย่ะค่ะ” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงแข็ง“ท่านอาจารย์ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงลงโทษนางไปแล้วที่กล้าวางยาโอรสของข้า”“แล้วฝ่าบาทได้ตรัสถามนางแล้วหรือไม่” ตู้ไท่ฝูขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยยังไม่ทันที่เฉิงเฟิงฮ่องเต้จะเอ่ยตอบ ไป๋กงกงเดินมาพร้อมกับสตรีที่ทั้งสองคนกำลังเอ่ยถึง นางยอบกายคารวะเฉิงเฟิงฮ่องเต้และตู้ไท่ฝูด้วยท่าทางโซเซไม่มั่นคงใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางก้มหน้าหลุบตาลงเพื่อหลบสายตาบุรุษทั้งสองที่มองมายังนาง“คุกเข่า” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงดังฟางหนิงหลินคุกเข่าลงทันทีอย่างรู้ผิด เพราะเรื่องเช่นนี้แม้ไม่ถูกเล่าลือออกไป เพราะเฉิงเฟิงฮ่องเต้ส่งสั่งห้ามเอาไว้แต่เพียงมีผู้คนรู้เห็นก็ทำให้ท่านตาของนางและตระกูลฟางต้องอับอายที่มีลูกหลานไร้ยางอายเช่นนาง“เจ้าตอบข้ามาตามความจริง เจ้าได้วางยาชินอ๋องหรือไม่” บุรุษผมสองสีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉะฉาน&ld
แน่นอนว่ายามนี้งานเลี้ยงที่จัดขึ้นนั้นได้เลิกราไปแล้ว รถม้าของแขกที่เชิญมาล้วนทยอยออกไปจนลานหน้าวังเริ่มโล่ง เหลือเพียงรถม้าของตู้ไท่ฝู ฟางจี้ต๋า และฟางรั่วซานเท่านั้นที่ยังคงจอดนิ่งสนิทอยู่ด้านหน้าวัง เพียงเพราะสตรีร่วมสายเลือดยังไม่ออกมาจากวังฟางรั่วซานเดินวนไปวนมาอยู่หน้ารถม้าของตนอย่างร้อนรน ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว หลังจากที่นางกำนัลขององค์หญิงเหยาลี่เซียนมาแจ้งว่าฟางหนิงหลินไม่ได้อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิง ถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนจะฝากนางกำนัลมาบอกว่าจะตามหาบุตรสาวของตนให้ แต่เขาก็ยังคงร้อนใจไม่คลายฟางจี้ต๋าเสนาบดีกรมคลังท่านลุงของฟางหนิงหลินพี่ชายของฟางรั่วซานที่ยืนอยู่หน้ารถม้าของเขา ก็รู้สึกเป็นห่วงหลานสาวคนเดียวของเขาเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่ากับฮูหยินของเขาที่ยืนจับมือกับน้องสะใภ้ชะเง้อหน้ารอฟางหนิงหลินอยู่ข้างประตูวังถึงฟางรั่วซานน้องชายของเขาจะแยกจวนออกไป แต่เพราะฮูหยินของเขาอยากมีบุตรสาวแต่ทว่าที่จวนของฟางจี้ต๋านั้นกลับมีแต่บุรุษมาเกิด ฮูหยินของเขาจึงเทียวไปหาหลานสาวคนนี้ที่จวนอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความรักใคร่ดั่งเช่นบุตรสาวแท้ ๆ ของตนก็ไม่ปาน และทุกครั้
งานเลี้ยงค่ำคืนนี้เมื่อชาติก่อนหลังจากที่ฟางหนิงหลินได้ไปแสดงความยินดีกับเหล่าองค์ชายทั้งสามและเสิ่นหลิวหยางที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว นางก็มานั่งดื่มกินกับเหล่าสตรีคนอื่น ๆ ตรงที่เหยาลี่เซียนได้จัดเตรียมไว้ให้แน่นอนว่าที่ตรงนี้ที่องค์หญิงเหยาลี่เซียนจัดไว้นั้น ฟางหนิงหลินย่อมมองเห็นเสด็จพี่ของนางเหยาหวังเหว่ยได้อย่างชัดเจน เพราะสหายคนสนิทมีหรือจะไม่รู้ใจกัน เหยาลี่เซียนรู้ดีว่าหากมีเสด็จพี่รองอยู่ขอเพียงมีที่นั่งให้สหายของนางได้นั่งดูให้เห็นใบหน้าของเสด็จพี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฟางหนิงหลินขณะที่ฟางหนิงหลินนั่งมองเหยาหวังเหว่ยอยู่นั้น นางก็เห็นว่าเหยาหวังเหว่ยลุกเดินออกไปจากงานด้วยท่าทางไม่ดีนัก นางจึงเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อนางเห็นว่าเขาเดินเซไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่จึงรีบเข้าไปพยุงตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงคราแรกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมให้ฟางหนิงหลินแตะต้องตัว แต่เพียงผ่านไปไม่นานกลับกลายเป็นเขาที่อุ้มฟางหนิงหลิน และพาเข้าไปในห้องรับรองแขกที่หลัวฮองเฮาทรงสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมไว้ขณะนั้นเจียงเจียวซินที่ดักรอเหยาหวังเหว่ยอยู่ก็ต้องรีบห
“ได้ เจ้าว่าเช่นไร ข้าล้วนเห็นด้วย” เหยาหวังเหว่ยคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวลเขารู้ดีว่านางมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เขาก็ยังยินดียอมตกลงไปในบ่อที่นางขุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกของนาง ถึงอดีตนางพยายามจะใช้มารยาของสตรีในเรือนหอหลายครั้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีในเรือนหอที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่นางมองมาที่เขาเป็นเพียงแววตาที่สตรีใช้มองบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง“เช่นนั้นท่านอ๋องปล่อยข้าน้อยก่อนได้หรือไม่ หากมีใครมาเห็นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวานเหยาหวังเหว่ยค่อย ๆ คลายแขนออกจากสตรีบอบบางอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขายังอยากมีนางไว้ในอ้อมแขนให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ในเมื่อเขารับปากนางแล้วย่อมต้องทำให้นางเห็น จึงไม่คิดฝืนใจนาง“ท่านอ๋องเพคะ พวกเรากลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน“ใจข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้อีกสักครู่ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืน เพียงแต่ข้าขอกอดเจ้าอีกสักคราได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในประโยคท้ายราวกับกระด้างอายที่จะเ
เหยาหวังเหว่ยอยากหยั่งเชิงนางเสียหน่อยว่าสาเหตุที่นางเปลี่ยนไปนั้นเป็นดั่งที่เขาคิดไว้หรือไม่ เพราะหากว่าเขาพูดออกไป หากไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ นางคงคิดว่าเขาเสียสติพูดจาเลอะเลือนก็เป็นได้“เจ้าคงวางแผนจะตกน้ำเพื่อให้ข้าช่วยเจ้าสินะ ดีใจหรือไม่ที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว” เขาเอียงหน้าและเอ่ยกระซิบที่ข้างใบหูของนาง น้ำเสียงแหบพร่าเบา ๆ ที่เขาเอ่ยราวกับจะยั่วให้นางอายใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงลมร้อนอุ่นที่กระทบใบหู สติที่เตลิดไปไกลกลับมาทันที นางพยายามดันตัวเขาให้ถอยห่างแต่กลับไม่เป็นผล เขากลับยิ่งกระชับเอวนางให้แนบชิดร่างกายของเขายิ่งกว่าเก่าเจียงเจียวซินที่เดินกลับมายังงานเลี้ยงบังเอิญได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี จึงได้เดินมาตามเสียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อนางเดินมาถึงสระบัวก็เห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนกอดกันแน่น นางถลึงตาเหลือกโตดวงตาของนางราวกับมีเปลวเพลิงโหมลุกไหม้ นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ เจียงเจียวซินเม้มริมฝีปากแน่นเพื่ออดทนไม่กรีดร้องออกมา เพราะหากมีผู้ใดมาเห็นและนำเรื่องนี้ไปเล่าลือกันจนถึงหูฮองเฮาหรือไทเฮา ฟางหนิงหลินย่อมต้องได้เป็นชายาชินอ๋องดั่ง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตูเจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน