แน่นอนว่ายามนี้งานเลี้ยงที่จัดขึ้นนั้นได้เลิกราไปแล้ว รถม้าของแขกที่เชิญมาล้วนทยอยออกไปจนลานหน้าวังเริ่มโล่ง เหลือเพียงรถม้าของตู้ไท่ฝู ฟางจี้ต๋า และฟางรั่วซานเท่านั้นที่ยังคงจอดนิ่งสนิทอยู่ด้านหน้าวัง เพียงเพราะสตรีร่วมสายเลือดยังไม่ออกมาจากวัง
ฟางรั่วซานเดินวนไปวนมาอยู่หน้ารถม้าของตนอย่างร้อนรน ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว หลังจากที่นางกำนัลขององค์หญิงเหยาลี่เซียนมาแจ้งว่าฟางหนิงหลินไม่ได้อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิง ถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนจะฝากนางกำนัลมาบอกว่าจะตามหาบุตรสาวของตนให้ แต่เขาก็ยังคงร้อนใจไม่คลาย
ฟางจี้ต๋าเสนาบดีกรมคลังท่านลุงของฟางหนิงหลินพี่ชายของฟางรั่วซานที่ยืนอยู่หน้ารถม้าของเขา ก็รู้สึกเป็นห่วงหลานสาวคนเดียวของเขาเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่ากับฮูหยินของเขาที่ยืนจับมือกับน้องสะใภ้ชะเง้อหน้ารอฟางหนิงหลินอยู่ข้างประตูวัง
ถึงฟางรั่วซานน้องชายของเขาจะแยกจวนออกไป แต่เพราะฮูหยินของเขาอยากมีบุตรสาวแต่ทว่าที่จวนของฟางจี้ต๋านั้นกลับมีแต่บุรุษมาเกิด ฮูหยินของเขาจึงเทียวไปหาหลานสาวคนนี้ที่จวนอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความรักใคร่ดั่งเช่นบุตรสาวแท้ ๆ ของตนก็ไม่ปาน และทุกครั้งที่ไปหาก็มักกลับมาเล่าเรื่องของนางให้เขาฟังอยู่เสมอ นานวันเข้าเขาเองก็กลายเป็นรักใคร่เอ็นดูหลานสาวคนนี้ไปด้วย
ส่วนตู้ไท่ฝูหรือราชครูตู้ท่านตาของฟางหนิงหลิน ที่เป็นทั้งอาจารย์และเป็นที่ปรึกษาประจำตัวของเฉิงเฟิงฮ่องเต้ กลับไม่มีทีท่าหรือแสดงสีหน้าเป็นห่วงกังวลใด ๆ ใบหน้าของเขานิ่งเฉยนัยน์ตาราบเรียบดุจทะเลน้ำแข็งไร้คลื่น ท่าทางเคร่งขรึมสงบเยือกเย็นไร้กังวล ชายชราเพียงนั่งจิบน้ำอุ่น ๆ อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอันใดอยู่ในรถม้า แตกต่างจากทุกคนที่ยืนอยู่ด้านนอก
ทุกคนต่างตั้งตารอยังไม่ยอมกลับจวน เพียงเพื่อรอให้ฟางหนิงหลินออกมาจากวัง เพราะพวกเขาไม่อาจเข้าไปในวังได้ในยามนี้ คนเดียวที่ตอนนี้พวกเขาพึ่งพาให้ช่วยตามหาฟางหนิงหลินได้ก็คงมีเพียงองค์หญิงเหยาลี่เซียนเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม[1]ขันทีตำหนักฮ่องเต้ก็เดินออกมาจากวัง เพื่อมาถ่ายทอดคำพูดของเฉิงเฟิงฮ่องเต้
“ฝ่าบาทตรัสว่าให้ท่านตู้ไท่ฝู แม่ทัพใหญ่ฟาง และเสนาบดีกรมคลังฟางพร้อมด้วยฮูหยินทั้งสองกลับไปเถิด พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะส่งคุณหนูฟางหนิงหลินกลับไปเองขอรับ” ขันทีน้อยเอ่ย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทเจอบุตรสาวของข้าที่ใด” ฟางรั่วซานเอ่ยถามด้วยความกังวล
“คุณหนูฟางหนิงหลินอยู่ที่ตำหนักรับรองแขกขอรับ” ขันทีน้อยเอ่ยหน้านิ่งก่อนจะประสานมือโค้งคำนับและก้าวถอยหลังกลับเข้าวังไป เพราะกลัวว่าทุกคนจะเอ่ยถามมากไปกว่านี้
ฟางรั่วซาน ฟางจี้ต๋าและฮูหยินทั้งสองระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างหมดห่วง ยังคงมีเพียงตู้ไท่ฝูที่นั่งอยู่บนรถม้าที่ไม่แสดงท่าทีอันใด ฟางรั่วซานรีบเดินมาที่รถม้าของพ่อตาด้วยความละอายใจที่ทำให้ผู้อาวุโสต้องมานั่งรอเช่นนี้
“ท่านพ่อตา ข้าต้องขออภัยด้วยนะขอรับที่เลี้ยงบุตรสาวได้ไม่ดี ทำให้ท่านต้องลำบากเช่นนี้” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม
“พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนกันเถิด ข้าเองก็จะกลับแล้ว” ชายชราเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเอ่ยบอกคนบังคับม้าด้วยน้ำเสียงแข็ง “กลับจวน”
ชายชรารู้ดีว่าเกิดเรื่องกับหลานสาวของตนเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเฉิงเฟิงฮ่องเต้คงไม่ส่งขันทีมาด้วยตนเองเช่นนี้ เพราะเรื่องการจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นคนของหลัวฮองเฮา หากจะมีคนไปพบเจอฟางหนิงหลินหลานสาวของเขาที่เรือนรับรองและมารายงานเรื่องนี้ก็ต้องเป็นคนของหลัวฮองเฮา หรือไม่ก็เป็นคนขององค์หญิงเหยาลี่เซียนที่ไปช่วยตามหา มิใช่เป็นคนของตำหนักเฉิงเฟิงฮ่องเต้เช่นนี้
รุ่งเช้าวันต่อมา
ตู้ไท่ฝูเข้าวังมาแต่เช้า เพื่อมาขอเข้าเฝ้าเฉิงเฟิงฮ่องเต้ก่อนที่จะถึงเวลาว่าราชกิจ เพียงขันทีน้อยหน้าตำหนักเฉียนชิงเห็นราชครูตู้มาก็รีบสาวเท้าถี่เข้าไปรายงานผู้เป็นนายเหนือหัว ผ่านไปไม่นานนักไป๋กงกงขันทีข้างกายของเฉิงเฟิงฮ่องเต้ก็เดินออกมาพร้อมขันทีน้อย เพื่อมาเป็นผู้นำทางตู้ไท่ฝูไปพบเจ้าของตำหนัก
เฉิงเฟิงฮ่องเต้เพียงเห็นชายวัยชราผมสองสีเดินเข้ามา ก็รีบออกไปต้อนรับอย่างนอบน้อม ถึงในท้องพระโรงตู้ไท่ฝูจะต้องคำนับเฉิงเฟิงฮ่องเต้ แต่เมื่ออยู่กันเพียงลำพังเรื่องการคำนับทำความเคารพนี้เจ้าของบัลลังก์ขอให้ละเว้นเอาไว้
“ท่านอาจารย์มีเรื่องอันใดถึงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้” เฉิงเฟิงฮ่องเต้เอ่ยเพื่อหยั่งเชิง ถึงเขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่อาจปิดบังสายตาอาจารย์ได้
“ฝ่าบาทรู้อยู่แล้วไยต้องถามให้มากความ บอกกระหม่อมมาตามตรงเถอะพ่ะย่ะค่ะว่าเกิดอันใดขึ้นกับหลานสาวของกระหม่อมกันแน่” ตู้ไท่ฝูเอ่ยถามออกมาตรง ๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลา
แน่นอนว่าเฉิงเฟิงฮ่องเต้ย่อมต้องเล่าเหตุการณ์ให้ตู้ไท่ฝูฟังอยู่แล้ว เขาเล่าเรื่องราวที่รู้มาจากบุตรชายให้อาจารย์ของเขาฟังทั้งหมด แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาไปสืบหาความมา เพราะเขาไม่เชื่อว่าฟางหนิงหลินเป็นคนลงมือทำจึงได้ให้คนสืบอย่างลับ ๆ อีกทั้งเรื่องครานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องที่ทำให้สตรีคนหนึ่งต้องมีมลทินด่างพร้อย แต่หมายถึงชีวิตของบุตรชายของเขาด้วย เขาจึงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้แต่โดยง่าย
เพียงตู้ไท่ฝูได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ในใจของเขาร้อนราวไฟแผดเผาดวงตาคมฉายแววอำมหิตอาฆาตร้าย ถึงเขาจะไม่แสดงสีหน้าแต่ดวงตาไม่อาจปิดบังความรู้สึกเอาไว้ได้ เขารู้ดีว่าหลานของเขาไม่โง่พอที่จะทำเช่นนี้ เพราะนางล้วนรู้ผลลัพธ์ที่ตามมา และอีกอย่างนางทำอันใดมักเปิดเผย วิธีการเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ฝีมือของนาง
“ไม่มีทาง หลินเอ๋อร์ไม่มีทางใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ กระหม่อมเอาหัวเป็นประกันพ่ะย่ะค่ะ” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงแข็ง
[1] 1ชั่วยาม เท่ากับ 2ชั่วโมง
“จะว่าหม่อมฉันได้เช่นไรเพคะ ต้องโทษพระองค์ที่ทำตัวไม่เหมาะ ทั้งรถม้าเอย ทั้งเรือนนอกเมืองเอย อีกทั้งยังส่งองครักษ์คนสนิทไปคอยดูแลไหนเลยใครเห็นจะไม่เข้าใจผิด พระองค์รู้หรือไม่ยามนี้คนทั่วเมืองต่างพากันสงสัยแล้วว่าท่านอ๋องหรือท่านองครักษ์ซูที่เป็นบิดาของเด็กในท้อง จนถึงขั้นเปิดเดิมพันที่โรงพนันหลินหลงแล้วเพคะ”“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งซูโม่อี้ไปลงพนันกับพวกเขาเสียหน่อย แต่ว่ายามนี้ข้าอยากพักผ่อนแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในช่วงท้าย“เช่นนั้นก็นอนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมยากับอาหารไว้ให้” ฟางหนิงหลินระบายยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้สามี พร้อมกับลุกขึ้นความหมายคำว่า ‘พักผ่อน’ ของเหยาหวังเหว่ยนั้นมิได้หมายความว่าเขาจะนอน เมื่อเห็นภรรยาตัวนอนลุกขึ้นเขาจึงรีบคว้ามือของนางทันที พร้อมเอ่ยกับภรรยาตัวน้อยด้วยเสียงออดอ้อน“หนิงหลินเจ้าจะเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ข้าจะเฝ้าเจ้าคลอดลูก เช่นนั้นเจ้าคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ข้าได้หรือไม่”ใบหน้าของฟางหนิงหลินขึ้นสีเล็กน้อย นางค่อย ๆ พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ เพียงได้คำตอบจากภรรยา สวามีตัวสูงก็ดึงแขนภรรยาตัวน้อยลงมาพร้
ตลอดทางที่อยู่ในรถม้า คนตัวสูงได้แต่นอนพิงคนตัวเล็กกว่าจนหลับไป ฟางหนิงหลินน้ำตาไหลเพราะนึกว่าเขานั้นหมดสติ นางเร่งคนขับรถม้าให้เพิ่มความเร็วขึ้น สารถีเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของพระชายาก็เร่งความเร็วขึ้นตามผู้เป็นนายสั่งฟางหนิงหลินพยายามปลุกเหยาหวังเหว่ยให้ตื่น แต่ทว่าบุรุษตัวโตไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อให้นางสบายใจ เหยาหวังเหว่ยมิใช่ไม่ได้สติแต่เขานั้นอยากเอาคืนนางเสียหน่อยที่นางนั้นมิยอมเชื่อใจเขา และไม่แม้แต่จะฟังเขาอธิบายเมื่อมาถึงตำหนักเหล่าองครักษ์ก็พากันมาแบกเหยาหวังเหว่ยเข้าไปยังในตำหนัก เหยาหวังเหว่ยยังคงแกล้งไม่ได้สติจนกระทั่งหมอที่ซูโม่อี้ตามมาทำความสะอาดแผลพร้อมกับใส่ยาและพันแผลให้เหยาหวังเหว่ยเสร็จ เขาจึงแสร้งทำเป็นได้สติและลืมตาขึ้น“พระชายาอย่าได้เป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมีพระวรกายแข็งแรงไม่ช้าก็จะหายดี เพียงแต่ช่วงนี้อย่าให้ท่านอ๋องออกแรงมากมิเช่นนั้นแผลอาจฉีกอีก และระวังอย่าให้เป็นไข้มิเช่นนั้นอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอชราเอ่ยพร้อมยิ้มให้ฟางหนิงหลินก่อนจะกลับ“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฟางหนิงหลินเอ่ยจบก็ยิ้มตอบ“ท่านหมอเ
“หลินเอ๋อร์เจ้าใจเย็นก่อน เดี๋ยวพี่จะไปจัดการเขาให้เอง” สวีจื้อซานรีบเอ่ย ถึงเรื่องที่เหยาหวังเหว่ยมีอนุเขานั้นไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่เรื่องที่เหยาหวังเหว่ยได้ใหม่ลืมเก่ารังแกน้องสาวของเขาเช่นนี้เขาย่อมไม่อยู่เฉยฟางหนิงหลินมิได้เอ่ยตอบ นางหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าไปด้านหลังร้าน เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นน้ำตาความรู้สึกผิดหวังถาโถมใส่กลางใจหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงเรือนหลังร้านน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่ทว่าความเจ็บปวดร้าวนั้นทำนางแทบจะขาดใจหลังจากที่ฟางหนิงหลินเดินหายเข้าไปหลังร้าน เสียงซุบซิบภายในร้านก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สวีจื้อซานกับเหยาซิงอีและเสิ่นหลิวหยางรับปากกับเหล่าสตรีว่าพวกเขานั้นจะไปคุยกับเหยาหวังเหว่ยให้รู้เรื่อง ให้พวกนางใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามแต่ยังไม่ทันที่เหล่าบุรุษจะก้าวเท้าออกไป บุรุษที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากร้านไปก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังหลังร้าน เพื่อไปหาภรรยาของเขาทั้งสตรีทั้งบุรุษที่เป็นสหายเดินตามเหยาหวังเหว่ยเข้ามาถึงห
เหยาซิงอีจ้องมองดวงตาของสตรีตรงหน้าที่กำลังสั่นไหว นัยน์ตาของนางดูเศร้าราวกับโลกที่เคยเบิกบานของนางทลายลง ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลแสดงออกมาทางใบหน้า เขาทนไม่ไหวที่จะเห็นนางเป็นเช่นนี้ โทสะที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้าหายไปเพียงแค่ได้เห็นตาและจมูกที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางที่เหมือนกับนางกำลังจะร้องไห้ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยประโยคที่ยังไม่ทันได้เอ่ยโดยพลัน“เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เราจะให้เกียรติเป็นพระชายาของเรา เช่นนั้นจะให้เราให้เกียรติเจ้าเหมือนสตรีนางอื่นได้เช่นไร”ดวงตาของลี่อินเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นางนั้นพยายามตั้งสติเพราะคิดว่าตนเองอาจหูฝาดไป แต่เมื่อได้ยินคำอวยพรรวมทั้งคำยินดีจากสหายและลูกค้าที่อยู่ในร้านก็ทำให้นางรู้ว่าที่นางนั้นได้ยินไม่ผิด ใบหน้าหวานของนางขึ้นสีระเรื่อ ลี่อินเบือนหน้าหนีแสร้งหลบตาอย่างเขิน ๆท่วงท่าเขินอายของลี่อินเสริมเสน่ห์ให้นางจนเหยาซิงอีนั้นยากจะอดใจไหว เขาจับคางเล็กให้เงยขึ้นก่อนจะประกบปากลงไปจุมพิตริมฝีปากงาม โดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านแม่นางน้อยใหญ่ที่อยู่ในร้านเมื่อได้เห็นการแสดงความรักของจวิ้นอ๋องเหยาซิงอีก็ต่างพากัน
ยามนี้เป็นเวลาทำงานของสวีจื้อซาน กว่าคนของเขาจะฝากคนส่งข่าวเข้ามารายงานได้ก็กินเวลาไปเกือบ2เค่อแล้ว และกว่าที่เขานั้นจะออกมาจากพระราชวังได้ก็ป่าไปเกือบครึ่งชั่วยามทางด้านเหยาซิงอีที่เมื่อคืนร้อนใจจนนอนไม่หลับจึงได้ชวนเสิ่นหลิวหยางดื่มสุราด้วยกันที่จวนของเขานั้น เมื่อได้ยินรายงานจากคนของตนก็ไม่รอช้ารีบออกจากจวนไปทันที โดยมีเสิ่นหลิวหยางตามติดมาด้วยตอนแรกเหยาซิงอีจะไปหาลี่อินแต่เช้า แต่เสิ่นหลิวหยางบอกให้รอเหยาหวังเหว่ยมาจัดการเรื่องทุกอย่างก่อน ไม่เช่นนั้นที่ลี่อินเพียงแค่หมางเมินใส่อาจจะกลายเป็นทะเลาะกันก็เป็นได้ เหยาซิงอีจึงเชื่อคำของสหายไม่ไปหาลี่อินแต่เช้ากว่าเหยาซิงอีกับเสิ่นหลิวหยางจะมาถึง เหล่าสตรีก็นั่งพักจิบน้ำชากินขนมที่โรงน้ำชาไป่เหอกันเสียแล้ว เพียงพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาในโรงน้ำชา สายตาของพวกเขาทั้งสองก็มุ่งตรงไปยังกลุ่มของสตรีทั้งห้าคนทันที ถึงบุรุษทั้งสองจะมิใช้สายตามองผู้ใดนอกจากสตรีทั้งห้า แต่ทว่าบุรุษที่อยู่ในร้านที่จ้องมองพวกนางอยู่นั้นก็รีบเก็บสายตาและหันหน้าหนีทันทีทันใด เพราะไอสังหารที่แผ่ออกมาจากบุรุษทั้งสองนั้นมีมากพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวเหยาซิงอีเมื่อมาถ
วันต่อมาลี่อินกับเสี่ยวเยาตื่นแต่เช้า พวกนางออกมาจ่ายตลาดเพื่อจะได้เตรียมอาหารเช้าให้สตรีคนอื่น ๆ ที่ยังคงนอนไม่ตื่น และอีกอย่างเพราะเจียงเจียวซินออกมาค้างคืนข้างนอกกะทันหัน ยาบำรุงที่ควรจะดื่มในทุกวันจึงไม่ได้เอาออกมาด้วย เสี่ยวเยาจึงต้องมาโรงหมอที่เคยมารับยาทุกครั้ง เพื่อซื้อยาบำรุงให้คุณหนูของนาง“ข้ามาหาท่านหมออี้” เสี่ยวเยาเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่อยู่ในโรงหมอ“ขอโทษทีขอรับ เมื่อคืนนี้ทั้งท่านหมออี้และอี้ฮูหยินออกไปนอกเมือง ถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทีนอบน้อม“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมออี้ไปทำอะไรที่นอกเมืองและจะกลับมาเมื่อใด” เสี่ยวเยาเอ่ยถาม เพราะถ้าหากกลับช้าคุณหนูของนางอาจจะกินยาบำรุงไม่ตรงเวลา เช่นนั้นนางคงต้องกลับไปจวนตระกูลสวีเพื่อเอายา“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยรู้แต่ว่าทหารของตำหนักชินอ๋องมาเชิญท่านหมออี้และอี้ฮูหยินไปทำคลอดให้สตรีที่อยู่นอกเมืองขอรับ ส่วนจะกลับมาเมื่อไรนั้นข้าน้อยไม่อาจคาดเดาได้”เพียงได้ยินคำตอบลี่อินและเสี่ยวเยาก็ต่างมองหน้ากัน พวกนางรู้เหตุผลแล้วว่าใยเมื่อคืนนี้ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยจึงไม่รีบกลับมาง้อฟางหนิ