“รู้หรือยัง? ท่านแม่ทัพของพวกเรายอมจำนนเสียแล้ว”“ยังไม่ได้สู้รบก็ยอมจำนนแล้ว รอให้กองทัพใหญ่ของเจดีย์หนิงกู่เข้ามาแล้ว คงไม่ฆ่าล้างเมืองหรอกกระมัง?”“เหลวไหล กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ไม่มีทางฆ่าล้างเมือง ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเขาเข้าเมืองเหยาและเมืองซุ่ยโจว ยังแจกจ่ายยาและอาหารให้ชาวบ้านด้วย”“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ เช่นนั้น ที่ท่านแม่ทัพยอมจำนนก็เพื่อประชาชนอย่างเราสินะ”ประตูเมืองเพิ่งเปิดออก เรื่องที่หลิวชวี่ยอมจำนนโดยไม่สู้รบ ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองจางโจวแล้วเวลานี้ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และร้านสุราต่าง ๆ ในเมืองจางโจวล้วนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้“เดิมทียังคิดว่าเกิดสงคราม ก็จะขายทรัพย์สินในบ้านทั้งหมด พาครอบครัวหนีเอาชีวิตรอด”“คิดไม่ถึงว่าจะไม่ต้องหนีแล้ว”ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็ดีใจก็เป็นเพราะเจดีย์หนิงกู่ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีในช่วงก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าล้างเมือง เผา ฆ่าปล้นสะดมเกิดขึ้นตรงกันข้าม หลังจากเข้าเมืองแล้ว ยังแสดงความเมตตาต่อชาวบ้านอย่างกว้างขวางยิ่งไปกว่านั้น การที่ซูจิ่งสิงยกทัพ ก็ไม่ใช่การรุกรานชนเผ่าอื่น ดังนั้น ชาวบ้านจึงยอมรับได้มากประกอบกั
“ฝ่าบาท อย่าทรงคิดมากเกินไป เรื่องนี้ยังมีทางแก้ไขพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ก้าวออกมาเสนอความคิดเห็น“เพียงแค่ซูจิ่งสิงตาย...”เพียงแค่ซูจิ่งสิงตาย เจดีย์หนิงกู่ก็จะแตกพ่ายไปเองมู่หรงถิงจะไม่รู้หลักการนี้ได้อย่างไร แต่ชีวิตของซูจิ่งสิงนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางทำอะไรได้เลย“การจะฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าล้มเหลวมาหลายครั้งแล้ว”อีกทั้งตอนนี้รอบกายซูจิ่งสิงก็มีคนมากมายต่อให้ตนจะส่งมือสังหารไป ก็คงไม่สามารถเข้าใกล้ตัวได้“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความคิดโง่ ๆ อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าพระองค์จะยินดีรับฟังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ในเมื่อมีความคิดเห็น ก็รีบพูดมา”มู่หรงถิงเร่งเร้าอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้เขาเหมือนคนป่วยหนักที่รักษาไม่ถูกจุดขุนนางบู๊บุ๋นทั้งราชสำนักต่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดอะไรไม่ออก เขาสามารถมองออกว่าจิตใจของคนบางคน ได้ค่อย ๆ เอนเอียงไปทางซูจิ่งสิงแล้ว“ฝ่าบาท คนของพวกเรายากที่จะเข้าใกล้เจิ้นเป่ยอ๋อง แต่สิ่งที่เจิ้นเป่ยอ๋องอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คืออะไร...”สายตาของขันทีมีความหมายแฝง มู่หรงถิงก็เข้าใจในทันที“เจ้าหมายถึงเรื่องของอดีตรัชทายาท?”“ฝ่าบาท ในวังไม่ได้มีผู้
เมื่อปรึกษาหารือกับซูจิ่งสิงเสร็จสิ้น กู้หว่านเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมองหลิวชวี่ เปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา“ท่านแม่ทัพหลิว ข้าคือผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถ ข้ากับหมอเฒ่าเป็นสหายกัน และมีความรู้ด้านการแพทย์เช่นกัน น้องสาวของท่านป่วยเป็นโรคอะไร พาข้าไปดูก่อนก็ได้”หลิวชวี่ได้ยินมานานแล้วว่ากู้หว่านเยว่เก่งกาจ ไม่คิดว่านางจะมีความรู้ทางการแพทย์ด้วย“ท่านเป็นผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถหรือ?”เขาไม่อยากจะเชื่อ กู้หว่านเยว่อายุเท่าไรกันเชียว เป็นผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถแล้วหรือ?“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่กุมขมับอายุน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดีไปเสียทุกอย่างไม่มีความน่าเชื่อถือเลย!“ข้าน้อยตาไม่ถึง มองไม่ออกแม้แต่น้อย พระชายาโปรดอย่าถือสา”หลิวชวี่ลูบศีรษะ เรื่องนี้น่าอับอายมิใช่หรือ?เจ้าหุบเขาแห่งหุบเขาราชาโอสถตัวจริงอยู่ตรงหน้า เขากลับมองไม่ออก ยังอุตส่าห์ขอร้องให้คนไปยังเจดีย์หนิงกู่เพื่อแนะนำในเมื่อกู้หว่านเยว่บอกว่า นางมีความรู้ทางการแพทย์ หลิวชวี่ก็ไม่เรื่องมาก รีบเชิญนางไปยังเรือนด้านหลัง “น้องเล็กของข้าป่วยเป็นโรคประหลาดมาตั้งแต่ปีที่แล้วแม้ว่าท้องจะหิว แต่เมื่อเห็นอาหา
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”อิงเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่ท่านแม่ทัพมาแล้วมิฉะนั้น หากคุณหนูเกิดอาการกำเริบขึ้นมา นางก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรจริง ๆ นางคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานห้องก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้วหลิวชวี่จึงออกไปข้างนอก เชิญกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเข้ามา“พระชายา ต้องขออภัยจริง ๆ น้องเล็กเพิ่งจะอาการกำเริบ”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า“ไม่เป็นไร”แค่ฟังหลิวชวี่บรรยายในห้องหนังสือ ก็รู้ว่าโรคของหลิวหว่านอี้มีอารมณ์แปรปรวนเวลานี้ หลิวหว่านอี้กลับไปนอนอยู่บนเตียงแล้วนางจะอารมณ์พลุ่งพล่านมากในเวลาที่อาการกำเริบ โดยปกติแล้วก็จะนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ทานอาหาร ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมานั่งนาน ๆ กู้หว่านเยว่เดินไปที่ข้างเตียง ตกใจกับสภาพของหลิวหว่านอี้เป็นอย่างมากเมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกประตู ได้ยินเสียงพูดของนางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นตัวจริงก็พบว่า คนผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้วทั้ง ๆ ที่อายุเพียงสิบห้าปี เป็นวัยที่สดใสงดงามราวกับดอกไม้ แต่กลับซูบผอมเหมือนคนอายุสามสิบปี“คารวะท่านอ๋อง พระชายา”หลิวหว่านอี้กล่าวอย่างอ่อนแรง คิดจะลุกขึ้นทำความเคาร
นานวันเข้า ไม่เพียงแต่จะทำลายกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นโรคเบื่ออาหารได้ด้วยกู้หว่านเยว่นำการวิเคราะห์ของตนเองมาอธิบายให้หลิวหว่านอี้และหลิวชวี่ฟัง“โรคเบื่ออาหาร?”หลิวชวี่แสดงสีหน้าสับสน“ไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน”ซูจิ่งสิงก็รู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน แต่เขาได้ยินเรื่องแปลกใหม่จากปากภรรยามาไม่น้อย จึงไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเหมือนกับทั้งสองคนกู้หว่านเยว่ยิ้ม “โรคนี้พบได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่า น้อยคนนักที่จะคิดไปถึงเรื่องนี้”“พระชายา เช่นนั้นท่านคิดว่าควรจะรักษาอย่างไรเล่า?”หลิวชวี่รีบเอ่ยถามแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หมอทั้งหลายไม่สามารถบอกได้เลยว่าน้องเล็กป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุใด ๆ เลย ตอนนี้อย่างน้อยกู้หว่านเยว่ก็ยังสามารถบอกอาการของโรคได้เมื่อมีอาการของโรค ก็ต้องมีวิธีรักษาอย่างแน่นอนได้ลองรักษา ก็ดีกว่าไม่ได้ลองอะไรเลย“โรคนี้จะว่ารักษายากก็ไม่ยาก แต่จะว่ารักษาให้หายก็ไม่ง่ายเช่นนั้น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด โรคนี้ยังต้องถามให้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากอะไร“คุณหนูหลิว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เมื่อปีก่อนเห
เมื่อก่อนนางเป็นคนชอบกิน เห็นของอร่อยก็อดใจไม่ไหวเหมือนกับที่กู้หว่านเยว่คิดไว้ หลังจากกินเสร็จแล้ว ในใจของนางก็เริ่มรู้สึกผิด จึงได้แต่พยายามเอานิ้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนอาหารออกมาหลังจากอาเจียนออกมาหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบายต่อมา แม้ว่านางจะรู้สึกหิว แต่พอเห็นอาหารเหล่านั้นก็มีความรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเองโดยธรรมชาติ“น้องเล็ก เจ้าช่างโง่เขลาจริง ๆ ”หลิวชวี่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่เบื้องหลัง จึงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธในทันที“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกพี่ใหญ่เล่า?”ที่ผ่านมาเขายังคิดว่าหลิวหว่านอี้ป่วย ไม่คิดว่าจะเป็นโรคทางใจหากรู้ว่าเจ้าเด็กสกุลฟ่านนั่นกล้าทำเช่นนี้ เขาก็คงจะง้างหมัดขึ้นมาทุบตีพวกเขาให้ตายไปแล้ว“เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ข้าไม่กล้าบอกพี่ใหญ่”หลิวหว่านอี้ก้มหน้าลง รู้สึกเศร้าใจ“อีกอย่างพอผอมลง ข้าก็รู้สึกดีใจพวกเขาว่าข้าอ้วนเกินไป ตั้งฉายาให้ข้าว่าหมูอ้วนยังบอกอีกว่าคนที่อ้วนอย่างข้า หากในอนาคตได้เป็นเจ้าสาวคงไม่สวยแน่ ๆ ”น้ำตาของหลิวหว่านอี้ไหลรินลงมาเป็นหยด ๆ หลิวชวี่โกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมา น้องสาวถูก
นางมองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาคาดหวัง “พระชายา ข้าจะหายหรือไม่?”“ไม่ต้องกังวล หายสิ”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างอ่อนโยนหลิวหว่านอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อารมณ์เสียไปพักหนึ่ง นางไม่ได้กินอะไรเลย ไม่นานก็งัวเงียผล็อยหลับไป“ข้าจะต้องไปทวงความยุติธรรมกับสกุลฟ่านให้ได้”หลิวชวี่ปิดประตูอย่างระมัดระวัง พอออกมาได้ก็ด่าเปิงทันทีนี่คือการกลั่นแกล้งอย่างแท้จริง“อย่าให้คุณหนูหลิวได้ยินคำพูดไม่ดีอีก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนสติประโยคหนึ่ง ด้วยความใจร้อนที่จะปกป้องน้องสาวของหลิวชวี่ ต้องทำให้สกุลฟ่านทนไม่ไหวแน่นอน“พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”หลิวชวี่รีบพยักหน้าเวลานี้ ชิงเหลียนเข้ามาบอกว่า “ฮูหยิน สกุลเจี่ยกลับมาที่เมืองเหยาแล้ว ทางด้านคุณหนูญาติผู้พี่ยังคงหาที่พักอยู่”หลิ่วเพียวเพียวร่างกายอุ้ยอ้าย ไม่เหมาะที่จะกลับไปเมืองเหยาอีก“พระชายา ท่านมีญาติที่กำลังมองหาที่พักอยู่หรือ?”หลิวชวี่กำลังจะออกไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ย้อนกลับมาอีกกู้หว่านเยว่พยักหน้า “ญาติผู้พี่ของข้าเอง”“ถ้าพระชายาไม่รังเกียจ ก็พักที่จวนของข้าน้อยแล้วกันในจวนกว้างขวาง มีห้องรับรองแขกม
“ตกลง” หลิ่วเพียวเพียวรีบพยักหน้า เรียนรู้อย่างอดทนในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน คนสกุลหลี่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เจี่ยอวิ๋น ทำไมพวกเจ้าถึงรีบร้อนจะย้ายออกไปนัก?”ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากตอนที่สงสัยว่าเจี่ยฮูหยินขโมยรังนกไปในวันนั้นราวกับเป็นคนละคน“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมน้องชายถึงไม่พักที่สกุลหลี่ของเราอีกสักสองวันเล่า”คุณชายหลี่ก็เสริมขึ้นมาด้วยแม้ว่าทั้งสองจะกำลังคุยกับเจี่ยอวิ๋น แต่สายตากลับมองไปทางกู้หว่านเยว่อยู่บ่อยครั้ง“นี่ นี่คือญาติผู้น้องของภรรยาของท่านกระมัง?”“บังอาจนัก”ชิงเหลียนชักมีดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา“เห็นพระชายาแต่ไม่ทำความเคารพ มัวมองอะไรอยู่?”สองแม่ลูกสกุลหลี่ตกใจกลัวจนทนไม่ไหวทั้งสองเพิ่งเข้ามา ในใจยังมีเจตนาชั่วร้ายอยู่หากรู้ว่าหลิ่วเพียวเพียวและพระชายาเป็นญาติพี่น้องกัน พวกเขาคงทำแบบผักชีโรยหน้าไปแล้วบัดนี้เป็นเรื่องเป็นราว น่าอึดอัดยิ่งนักทั้งสองรีบคุกเข่าลง หลี่ฮูหยินกล่าวว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย ข้าคิดว่าท่านและภรรยาของเจี่ยอวิ๋นเป็นญาติพี่น้อกัน พวกเราก็ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันด้วย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก”“ใช่แ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป