ลั่วยางหันไปหาผู้นำตระกูลเหยาแล้วพูดว่า “ขอท่านนำทางข้าไปเอาเมล็ดโพธิ์ด้วย”เรื่องนี้ได้ข้อสรุปเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้นำตระกูลเหยาไม่อาจต่อต้านศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์ได้เขาพยักหน้า ส่งคนไปตามหาคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยามา เพราะเมล็ดโพธิ์นั่น คุณหนูหญิงของตระกูลเหยาเป็นคนที่คอยเลี้ยงไว้กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากันด้วยสีหน้าย่ำแย่ พวกเขาจะทำอย่างไรดี? ต้องมองกูเมล็ดโพธิ์ถูกลั่วยางเอาไปหรือ?เช่นนั้นผลโรคที่นางตรวจเจอของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจะนับเป็นอะไรได้? ความพยายามก่อนหน้านี้ของนางไม่ใช่ว่าไร้ความหมายหรอกหรือ? อีกอย่าง ลั่วยางรู้วิธีถอนพิษให้ฮูหยินผู้เฒ่าโจวหรือไร?ในเวลานี้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยา ก็ปรากฏตัวหลังจากบ่าวไปเชิญมา“น้องหญิง เจ้ามาแล้วหรือ? พาพวกเขาไปเอาเมล็ดโพธิ์เถอะ” ผู้นำตระกูลเหยาสั่งมู่หรงอวี้รีบแสดงรอยยิ้มให้เหยาฮุ่ยซินที่คิดว่ามีเสน่ห์เกินจะบรรยายให้นาง “รบกวนคุณหนูใหญ่เหยาแล้ว”เหยาฮุ่ยซินมองไปยังผู้คนในห้องรับรองดวงตากระจ่างใส่กลมโตดวงนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกคุ้นเคย“เจ้าก็มาที่นี่เพื่อขอเมล็ดโพธิ์ด้วยหรือ?”“ใช่ พวกเราต้องการใช้เมล็ดโพธิ์ไปช่วยชีวิตค
นางมีความมั่นใจว่า สมุนไพรที่ตนเองเคยเห็นและได้กลิ่นมาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น เกรงว่าจะมากกว่าจำนวนเกลือที่กู้หว่านเยว่เคยกินเสียอีกเหยาฮุ่ยซินมองไปยังกู้หว่านเยว่“ฮูหยินซู ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”กู้หว่านเยว่มีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่กระมัง?”“ไม่ยุติธรรมตรงไหนกัน นี่เป็นความรู้พื้นฐานของหมอ หรือว่าเจ้าไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐาน?” ลั่วยางเห็นว่าการแข่งขันนี้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง จึงรีบกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่เหยา มาแข่งกันเรื่องนี้กันเถอะ”“ก็ได้” กู้หว่านเยว่ถอนหายใจ “หากหมอหญิงลั่วไม่ขัดข้องก็ดี”นางพูดเช่นนี้? มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่ลั่วยางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ จึงเริ่มสอบถามกฎกติกาการแข่งขันแล้วเหยาฮุ่ยซินเอ่ยขึ้น “กฎของการแข่งขันนั้นง่ายมาก พวกท่านเลือกสมุนไพรสามชนิดจากคลังของสกุลเหยา หรือจะใช้สมุนไพรที่พกติดตัวมาก็ได้ จากนั้นหยิบออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามดม“หากอีกฝ่ายสามารถบอกชื่อได้ถูกต้อง ก็ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ แต่ถ้าบอกไม่ได้ ถือว่าฝ่ายที่นำสมุนไพรออกมาเป็นผู้ชนะ”ลั่วยางได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
ถูกหรือไม่ แน่นอนว่าถูกต้อง!กู้หว่านเยว่ตอบถูกไปแล้วสองอย่าง คราวนี้มือของลั่วยางเริ่มสั่น นางคิดไม่ถึงเลยว่ากู้หว่านเยว่จะเก่งกาจขนาดนี้ นางเดาออกได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไร?เชียงหัวและตู๋หัว* นี้ แม้แต่นางลืมตา ก็ยังไม่แน่ว่าจะแยกแยะได้“หมอหญิงลั่วเชิญนำชนิดที่สามออกมาเถอะ” กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยภายในเวลาสั้น ๆ กู้หว่านเยว่ก็ทายถูกไปแล้วสองชนิด มือที่ลั่วยางงถือสมุนไพรชนิดที่สามเริ่มสั่น นางไม่กล้าแม้แต่จะหยิบสมุนไพรชนิดที่สามมาไว้ตรงหน้ากู้หว่านเยว่ทันใดนั้น นางก็เก็บสมุนไพรกลับ“ฮูหยินซูทายถูกไปแล้วสองอย่าง คราวนี้ให้ข้าปิดตาแล้วทายบ้าง”นางไม่เชื่อว่า กู้หว่านเยว่จะหยิบสมุนไพรอะไรที่นางทายไม่ถูกออกมา“ได้” กู้หว่านเยว่ถอดผ้าปิดตาออกอย่างใจเย็น ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยนางยื่นสมุนไพรชนิดแรกให้ลั่วยางพ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้ง มือของลั่วยางเริ่มมีเหงื่อออกเล็กน้อย หลังจากรับสมุนไพรมา นางก็ก้มศีรษะเพื่อดมอย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านไปครึ่งถ้วยชา* แล้ว นางก็ยังไม่สามารถดมออกว่าสมุนไพรชนิดนี้คืออะไรกลิ่นนี้แปลกประหลาดเกินไป มีกลิ่นเหม็นจาง ๆ นางคิดไม่ออ
แพ้แล้ว?แล้วได้อย่างไรกัน?ลั่วยางกระชากผ้าปิดตาออกอย่างแรง จนกระทั่งเห็นสมุนไพรที่อยู่ในมือของกู้หว่านเยว่ นางจึงรู้ว่าตัวเองโง่เขลามาก โง่จนน่าสมเพช“บัวหิมะเทียนซาน...”บัวหิมะและบัวหิมะเทียนซานต่างกันเพียงสองคำ แต่สรรพคุณกลับต่างกันราวฟ้ากับเหวลั่วยางจ้องมองกู้หว่านเยว่ ไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะแต่กลับเอ่ยถามขึ้นว่า“อาจารย์ของเจ้าเป็นใครกันแน่?”แม้แต่ปรมาจารย์แพทย์ก็ยังไม่มีบัวหิมะเทียนซาน หรือว่าอาจารย์ของกู้หว่านเยว่จะเก่งกว่าปรมาจารย์แพทย์เสียอีก?กู้หว่านเยว่เก็บบัวหิมะเทียนซานกลับ จากนั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้ามีหน้าที่แค่ชนะเจ้า ส่วนคำถามอื่น ๆ เจ้าค่อย ๆ คิดเอาเองก็แล้วกัน”พูดจบก็หันไปมองเหยาฮุ่ยซิน “คุณหนูเหยา ข้าชนะแล้ว นำเมล็ดโพธิ์ให้ข้าได้หรือไม่?”“ได้แน่นอน!”เหยาฮุ่ยซินเผยรอยยิ้มยินดี ดูเหมือนจะดีใจยิ่งกว่าตัวเองชนะเสียอีก“ท่านตามข้ามาเร็ว”“เดี๋ยวก่อน” ลั่วยางจะยอมให้นางไปได้อย่างไรกัน วิ่งเข้าไปถามคำถามอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าจะไปไม่ได้ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นใคร!”ลั่วยางนี่ดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ก็พูดกันแล้วว่าแพ้ก็ต้องยอมรับ แต่ตอนนี้นางกลับยอมรั
เห็นได้ชัดว่าเขาเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก แทบจะยกย่องกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงให้เป็นแขกผู้มีเกียรติแล้วกู้หว่านเยว่รีบปฏิเสธ “มีเมล็ดโพธิ์ก็เพียงพอแล้ว”“ฮูหยินซู พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานของข้าแล้วถ้าท่านไม่ได้รีบร้อนนัก ก็อยู่ดื่มสุรามงคลในงานแต่งงานของข้าสักหน่อยเถอะ”เหยาฮุ่ยซินเชิญด้วยความจริงใจ หากมิใช่เพราะกู้หว่านเยว่ ชีวิตที่เหลือของนางคงต้องเน่าอยู่ในค่ายโจรทะเลทราย ไม่มีทางได้อยู่กับคนที่รักเป็นแน่กู้หว่านเยว่ลองคำนวณวันดูแล้ว ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่จะกลับไป จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น“ได้ เช่นนั้นข้าขอตอบรับแล้ว”หลังจากได้เมล็ดโพธิ์แล้ว กู้หว่านเยว่ก็รีบร้อนที่จะนำมันไปปรุงยา จึงลุกขึ้นขอตัวลาเพื่อกลับโรงเตี๊ยมซูจิ่งสิงรู้จักกาลเทศะจึงถอยออกไป จากนั้นยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเพื่อคุ้มกันขณะที่นางปรุงยาจริง ๆ แล้วการปรุงยาก็ไม่ได้มีอะไรที่ต้องปิดบัง เพียงแต่เมล็ดโพธิ์นั้นหายากมาก กู้หว่านเยว่ไม่อยากต้องไปขอร้องคนอื่นอีกในครั้งต่อไป ดังนั้นในขณะที่ปรุงยา นางจึงแอบเอาเมล็ดไปปลูกในพื้นที่เพาะปลูกในมิติ“เมล็ดโพธิ์นี้จะไม่เน่าใช่หรือไม่?” กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดขณะมองไปยั
“ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนได้ถอนพิษให้ท่านแล้ว หรือว่า กู้หว่านเยว่วางยาพิษใหม่ใส่ท่านอีก?”“อะไรนะ?”มู่หรงอวี้นึกถึงวิชาแพทย์ของกู้หว่านเยว่ ทันใดนั้นก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบจับมือของลั่วยาง“นางวางยาพิษข้า แล้วข้าจะเป็นอะไรหรือไม่ ลั่วยาง เจ้าต้องช่วยข้านะ!”รักตัวกลัวตาย ไหนเลยจะมีความอวดดีอย่างเมื่อครู่อีกลั่วยางขยับถอยหลังเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่ค่อยสบายใจ“ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล นี่ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรงที่ทำให้ถึงตาย ข้าจะไปปรุงยาแก้พิษให้ท่านเดี๋ยวนี้”มู่หรงอวี้เห็นสีหน้าของนาง จึงจงใจเอื้อมมือไปลูบท้องของนาง“ข้าถีบจนเจ็บหรือไม่?”ลั่วยางตัวสั่นเล็กน้อย แล้วก้มศีรษะลง “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”“โธ่ ต้องเจ็บแน่ ๆ ”มู่หรงอวี้ถอนหายใจ จากนั้นแสร้งทำเป็นรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยม“ลั่วยาง เรื่องเมื่อครู่เจ้าอย่าโทษข้าเลยข้าก็ทำไปเพราะรักและคาดหวังในตัวเจ้ามาก จึงโมโหข้าขอโทษเจ้าดีหรือไม่? ข้าผิดไปแล้ว”เดิมทีลั่วยางรู้สึกเสียใจที่เขาถีบตัวเอง แต่พริบตาเดียวก็กลับมาซาบซึ้งจนรู้สึกมึนงง“ข้าไม่โทษท่านอ๋อง ท่านอ๋องวางใจเถอะ ข้าจะปรุงยาแก้พิษออกมาให้ได้!”“ดี เช่นนั้นเจ้ารีบไปปรุงยาแ
กู้หว่านเยว่คิดในใจว่าเรื่องที่เหยาฮุ่ยซินถูกโจรทะเลทรายลักพาตัวไปนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ท่านเจ้ากรมจะไม่รู้เรื่องการที่คิดหาข้ออ้างที่แนบเนียนเช่นนี้ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของเหยาฮุ่ยซิน อีกทั้งยังจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเพื่อสะสมบุญกุศลให้เหยาฮุ่ยซินอีก ถือว่าเป็นความรักและความผูกพันที่ลึกซึ้งจริง ๆ“ไปกันเถอะ เราไปลงชื่อที่หน้าประตูกัน”เมื่อได้กลิ่นอาหาร กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริง ๆเมื่อทั้งสองไปถึงหน้าประตู คนเฝ้าประตูได้ยินชื่อของพวกเขาก็รีบกล่าวขึ้นว่า“ทั้งสองท่านเชิญตามข้าไปที่โต๊ะที่นั่งด้านใน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เดาว่าเหยาฮุ่ยซินคงบอกกับคนเฝ้าประตูไว้แล้ว จึงตามเขาเข้าไปด้านในคนในจวนเยอะกว่าข้างนอกเสียอีก อักษรสีแดงสดที่สื่อถึงความมงคลถูกประดับประดาเต็มสวน เสียงหัวเราะและความสุขดังไปทั่วกู้หว่านเยว่มองไปรอบ ๆ เห็นแต่คนแปลกหน้า ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำความรู้จักใคร จึงเลือกที่จะหาที่นั่งเพื่อดื่มกินและชมพิธีแต่งงานของคนสมัยโบราณซูจิ่งสิงเห็นนางมองอย่างใจจดใจจ่อ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “อิจฉาหรือ?”“ก็นิดหน่อย ข้ายังไม่เคยแต่งงานเลย” กู้หว่านเยว่ตอบอย่าง
กล่าวกันว่ายอดคนลิโป้ ยอดม้าเซ็กเธาว์นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หว่านเยว่ได้เห็นม้าที่สง่างามและน่าเกรงขามเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง“ม้าตัวนี้คงมีราคาแพงมากสินะ”ท่านเจ้ากรมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินซูเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฮุ่ยซิน ก็เท่ากับเป็นผู้มีพระคุณของข้า แค่ม้าเซ็กเธาว์สองตัวนี้ ฮูหยินโปรดรับไว้เถอะ”กู้หว่านเยว่รีบร้อนที่จะเดินทาง จึงไม่เกรงใจอีกต่อไปและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านเจ้ากรมแล้ว”พูดจบ นางก็กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่วเหยาฮุ่ยซินรีบวิ่งตามไปสองก้าว “ฮูหยินซู เมื่อท่านตั้งรกรากแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาข้านะ วันหลังข้าจะไปหาท่าน”“ได้”กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองคู่สามีภรรยาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง จากนั้นก็ควบม้าออกไปกับซูจิ่งสิง“ข้าไม่อยากจากฮูหยินซูเลย” เหยาฮุ่ยซินซบลงบนอกของท่านเจ้ากรม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่”“จะมีแน่ ต้องมีแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่กลับมา ข้าก็จะพาเจ้าไปหาพวกเขาที่เจดีย์หนิงกู่ ดีหรือไม่?”“จริงหรือ?”“ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน”ท่านเจ้ากรมบีบจมูกของเหยาฮุ่ยซินเบา
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป