ทางฝั่งนี้ ซูจิ่งสิงยังใคร่ครวญประโยคไม่มีหัวไม่มีหางนั้นของเว่ยเฉิงกู้หว่านเยว่เองก็แปลกใจมาก “เว่ยเฉิงให้ท่านไปพบโจวเหล่าทำอันใด?”ยิ่งไปกว่านั้นโจวเหล่านี้คือใครกันเล่า?ซูจิ่งสิงส่ายหน้า “ข้าเองก็แปลกใจมาก แต่เขาก็พูดหนึ่งประโยคนี้ ไม่มีหัวไม่มีหาง ข้าเองก็ไม่รู้หมายความว่ากระไรกันแน่”“ส่วนโจวหล่าคนนี้ เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักศึกษาอิ้งเทียน ทั้งยังเป็นราชครูของอดีตองค์รัชทายาท บัดนี้น่าจะเกษียณกลับบ้านเกิดแล้ว” ผู้อาวุโสก็คืออาจารย์ใหญ่ สำนักศึกษาอิ้งเทียนเป็นสำนักศึกษามีชื่อเสียงมากที่สุดในต้าฉี ลูกศิษย์มาจากทั่วทั้งเหนือจรดใต้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนชั้นสูงสองสามีภรรยาครุ่นคิดอยู่นาน ก็ไม่สามารถหยั่งเดาความนัยของเว่ยเฉิงออกเพียงอย่างเดียวที่สามารถมั่นใจได้ ก็คือเว่ยเฉิงมิได้คิดร้ายต่อพวกเขา“ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าและเว่ยเฉิงมีความรู้สึกราวกับเพียงได้พบหน้าก็คล้ายพบสหายเก่า”ซูจิ่งสิงสับสนมากว่าตกลงความรู้สึกนี้มาจากที่ใดกู้หว่านเยว่นึกตำหนิภายในใจ พวกท่านทั้งสองคนหนึ่งบุ๋นคนหนึ่งบู๊ ล้วนมีความแค้นถูกคนลืมบุญคุณรื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำแล้ว ไฉนจะไม่รู้สึกเพียงได้พบหน้าก็คล
เพียงครู่เดียวก็มาถึงศาลเจ้าทุกคนล้วนทรุดตัวลงบนพื้น“หว่านเยว่ อย่านอนเลย ลุก ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งก่อน แม่จะนำชุดนั้นบนตัวเจ้าไปผึ่งให้แห้ง” นางหยางพูดติดๆ ขัดๆซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก่อไฟเรียบร้อยแล้วกู้หว่านเยว่พยักหน้า กางกระโจมเล็กที่มุมหนึ่งบนพื้นของศาลเจ้า ก่อนมุดเข้าไปยังผินมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง“เอ่อ ท่านช่วยข้าดูก่อน อย่าให้ผู้อื่นเข้ามา”นางยังคิดเข้าไปอาบน้ำในมิติวิเศษอีกด้วย“ได้” ซูจิ่งสิงรู้ว่านางต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า พยักหน้าสีหน้าเคร่งขรึมกู้หว่านเยว่ยังค่อนข้างเชื่อใจซูจิ่งสิงมาก เข้ากระโจมก็หายตัวเข้าไปในมิติวิเศษแล้วเดินเข้าไปข้างบ่อน้ำพุร้อนทิวทัศน์งดงามอาบน้ำทีหนึ่ง ใช้เครื่องเป่าผมเป่าจนแห้ง นี่ถึงกลับออกมาจากภายในซูจิ่งสิงเฝ้าที่ข้างกระโจมอยู่ตลอดหลังผ่านการพักฟื้นระยะนี้มาแล้ว ขาของเขายังไม่สามารถเดินได้ แต่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างง่ายกลับมิใช่ปัญหาแม้มีกระโจมหนึ่งกั้นไว้ แต่เขามั่นใจมาก หลังกู้หว่านเยว่เดินเข้ากระโจมแล้ว กลิ่นอายก็หายไปจากภายในแล้วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ถึงออกจากภายในกระโจมมิหนำซ้ำรอจนกระทั่งนางออกมาแล้ว เส้นผมเอ
ซูหัวหลินตัวแข็งทื่อล้มลงกับพื้น เลือดออกปากและจมูก หมดลมหายใจหัวใจหยุดเต้น“เคร้ง!” หม้อเหล็กตกลงพื้น น้ำแกงยาที่เหลือสาดกระเซ็นหลังทุกคนผ่านความตกใจมาแล้ว ต่างพากันกรีดร้องปิดศีรษะของตนทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป!ไม่มีใครคาดคิด ซูหัวหลินที่เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ ถึงขั้นถูกฟ้าผ่าตายต่อหน้านางเฉียนอึ้งงันอยู่กับที่ มองศพซูหัวหลินพลันรู้สึกเจ็บปวดใจสิ้นหวังครั้นเสียงฟ้าร้องดังครืนเหนือศีรษะอีกครั้ง นางลังเล ยังเลือกหนีไปหลบหลังเสาโดยไม่หันกลับมามองอีก“เจ้ารอง ลูกชายข้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้เจ็บปวดเสียใจ ยกไม้เท้าถลันขึ้นไปข้างหน้า ถูกเจ้าใหญ่ฝืนลากกลับไป“ท่านแม่ อย่าแตะต้องน้องรอง เขาเพิ่งถูกฟ้าผ่ายังมีกระแสไฟบนตัวเขา!”ซูหัวหยางพูดไม่ผิด รอบข้างศพของซูหัวหลินยังมีกระแสไฟ ดินรอบข้างล้วนดำสนิทแล้วฮูหยินผู้เฒ่าตกอยู่ในความเจ็บปวดเสียใจอย่างหนัก “เจ้าใหญ่ เจ้าคนใจร้าย ดูน้องชายเจ้าถูกฟ้าผ่าตายไปแล้ว เจ้ายังไม่สนใจ!”ใบหน้าซูหัวหยางอ่อนล้า ปล่อยฮูหยินผู้เฒ่าทุบตีเขาอย่างอิสระ ลากคนออกมาไกลขึ้นอีกนิดส่วนคนอื่น ต่างพากันหลบที่มุมของศาลเจ้าในเวลานี้ ทุกคนต่างตื่นตร
นางเงียบไปครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังสงสัยว่าเขื่อนในละแวกใกล้เคียงนี้อาจพังลง เมื่อนั้น พวกเราที่ศาลเจ้าโทรมๆ นี้ก็จะอับโชคไปด้วย ทุกคนไม่มีทางรอดชีวิต”ซุนอู่ตกตะลึงภายในใจ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“สัญชาตญาณ” กู้หว่านเยว่ชี้ไปที่ระดับน้ำบนพื้น “ท่านดู ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ น้ำที่ไหลเข้ามาจากภายนอกระดับสูงขึ้นอย่างช้าๆ อยู่เหนือข้อเท้าของพวกเราแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เขื่อนไม่แตก ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องจมน้ำเป็นแน่”อันที่จริงกู้หว่านเยว่เองก็ไม่แน่ใจว่า ตกลงเขื่อนที่แตกนั้นอยู่ที่นี่หรือไม่ในหนังสือมิได้เขียนไว้อย่างละเอียด ความจำนางเองก็เลือนรางแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะอยู่ที่ศาลเจ้าโทรมๆ นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว หากยังอยู่ต่อก็มีแต่จะต้องตายเท่านั้น!ซุนอู่มองระดับน้ำบนพื้น ภายในใจยังหวังพึ่งโชค“นี่ก็ไม่แน่ว่าเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ฝนทั่วไปก็ล้วนตกหนักอยู่พักหนึ่ง แต่หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม อีกเดี๋ยวฝนก็เบาลงแล้ว”กู้หว่านเยว่ปวดหัวอยู่บ้าง ซุนอู่ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลยหากมิใช่เพราะยังมีสกุลเหยียน สกุลหลี่และสกุลเซิ่ง นางต้องพาครอบครัวของตนจากไปแล้
“ข้างนอกฟ้าแลบและฟ้าร้อง อยู่ในศาลเจ้าปลอดภัยกว่า”“น้ำท่วมขึ้นมาแล้วอย่างไร? อย่างน้อยขึ้นที่สูงก็ไม่ต้องเปียก แต่ถ้าออกไปตอนนี้ คงได้หนาวตาย”เหตุผลที่ทุกคนไม่เต็มใจที่จะจากไป ก็เหมือนกับพวกซุนอู่เมื่อครู่นี้ทุกประการซุนอู่เห็นว่าระดับน้ำใต้เท้าเพิ่มขึ้นทีละน้อย แถมคนในคาราวานยังบ่นกระปอดกระแปด เขาโกรธจนต้องหยิบแส้ออกมาเมื่อครู่แม่นางน้อยกู้อดทนไม่อัดเขาได้อย่างไร?“ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย!”“พี่ใหญ่ซุน เดี๋ยวก่อน!”กู้หว่านเยว่รีบห้ามเขาเอาไว้นักโทษเยอะเช่นนี้ ล้วนแต่ไม่เต็มใจจะออกไป แส้ไม่อาจใช้ได้แล้ว ต่อให้จะบังคับพวกเขาได้ แต่ก็จะต้องคอยลากคอยประคองให้เสียเวลา เดินหน้าได้ไม่กี่ก้าวกู้หว่านเยว่ส่งสายตาวางใจให้ซุนอู่ แล้วหันกลับมาพูดกับทุกคนด้วยเสียงทุ้มลึก“ทุกท่านฟังข้าพูด พวกเราหลบฝนในศาลเจ้านี้ได้สักพัก แต่ฝนก็จะหนักขึ้น และไม่ช้าก็เร็วที่นี่ก็จะถูกน้ำท่วมพวกท่านดู ตอนนี้น้ำขึ้นมาถึงเข่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังอยู่ริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ หากเขื่อนแตก กระแสน้ำทะลักท่วม พวกเราก็จะถูกพัดพาไปอย่างรวดเร็วจะรั้งอยู่ที่นี่รอความตาย หรือจะออกไปกับข้า พวกท่านตัดสินใจกันเอ
พวกเขาบ้านใหญ่ทำงานเป็นวัวเป็นม้ามาตลอดทาง ท่านย่ากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย“ตะโกนอะไรกัน? ท่านแม่โกรธ จะทุบตีก็เป็นเรื่องธรรมดา”ซูหัวหยางสีหน้าบูดบึ้ง ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะดุเขาอย่างไร เขาก็ยังก้มลงแบกคนๆ นี้ไว้บนหลัง ติดตามคาราวานขนาดใหญ่ไปส่วนศพของซูหัวหลิน ถูกทิ้งไว้ในศาลเจ้าอย่างเร่งรีบหลังจากออกจากศาลเจ้าแล้ว ซุนอู่ก็ถามว่า“แม่นางน้อยกู้ พวกเราจะไปไหนกันหรือ?”กู้หว่านเยว่เห็นภูมิประเทศล่วงหน้าแล้ว จึงพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เดินไปตามไหล่เขาทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ แม้ว่าเขื่อนจะพัง แต่น้ำก็จะไม่ท่วมมาถึงเรา”พืชพรรณโดยรอบมีความเขียวชอุ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มบนภูเขาน้อยมากเมื่อนึกถึงความตายอันน่าสลดใจของซูหัวหลิน กู้หว่านเยว่ก็พูดอย่างกังวลว่า“ทุกคนเดินตามข้าเอาไว้ อย่ายืนตะโกนเสียงดังในที่โล่ง เดินไปตามใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่อยู่ให้ห่างจากต้นที่สูงใหญ่ ป้องกันฟ้าผ่า”บนท้องฟ้า หยาดฝนเทลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆท้องฟ้าดูเหมือนจะมีหลุมดำปรากฏออกมา หยาดฝนตกหนักนับไม่ถ้วนรินรด ไม่เพียงแต่มีฟ้าร้องและพายุโหมเท่านั้น แต่ยังมีลมแรงอีกด้วยทุกคนฝ่าลมแรง เดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้ว
หลิวซื่อที่กลับมามีสติอีกครั้ง ก็มองไปรอบๆ “เจ้าสาม เมี่ยวเมี่ยว เมี่ยวเมี่ยวข้าเล่า?”“เมี่ยวเมี่ยวไม่ได้อยู่บนหลังข้าอยู่ตลอดหรือ?”จากนั้นซูหัวจวิ้นก็ตอบสนอง เขาดึงตะกร้าไม้ไผ่ที่ด้านหลังออก ก่อนจะเห็นว่ามันว่างเปล่า ไหนเลยจะมีร่างของเมี่ยวเมี่ยวอยู่?ทันใดนั้น เขาก็จำได้ว่าตอนที่เขาล้มลงในน้ำท่วม บางที เขาอาจจะโยนเด็กออกไปตอนนั้นก็ได้“อาจจะถูกน้ำท่วมพัดเอาไปแล้ว ไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าโทษข้าไม่ได้ เจ้าว่าทำไมเจ้าเด็กโง่นั่นถึงไม่วิ่งตามมาเล่า?...”ซูหัวจวิ้นกะพริบตา ในใจรู้สึกผิดอย่างยิ่งนางหลิ่วเป็นบ้าไปแล้ว แม้ว่าตระกูลมักจะไม่พอใจนางที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายให้ได้ ทั้งยังคลอดบุตรีไม่เอาอ่าวออกมาถึงสองคน แต่นางก็ไม่เคยรังเกียจบุตรีของตนเองเมื่อเห็นว่าลูกสาวถูกซูหัวจวิ้นทำให้ตาย นางจึงเกาหัวอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำรื้นน้ำตา จากนั้นก็พุ่งไปข่วนเกาซูหัวจวิ้นทันที“เจ้าสามซู เจ้าที่เป็นพ่อเดรัชฉาน เพื่อเอาชีวิตรอดถึงกับทิ้งลูกของตัวเอง เมี่ยวเมี่ยวอายุเพียงห้าหนาว น้ำท่วมเช่นนั้น นางจะวิ่งตามมาได้อย่างไร? เจ้าชดใช้เมี่ยวเมี่ยวให้ข้า ชดใช้เมี่ยวเมี่ยวให้ข้า…”ด้วยเสียง “ซืด” เ
ฟืนที่เปียกชื้นจุดไฟยากจิตสำนึกของกู้หว่านเยว่เข้ามาในมิติ เปิดห้องสินค้า ซื้อน้ำมันตุง[footnoteRef:1]มาหนึ่งขวด แล้วเทลงบนฟืน [1: น้ำมันไม้จีนเป็นน้ำมันอบแห้งที่ได้จากการกดเมล็ดจากถั่วของต้นไม้ตุง] “ฟุ่บ” เปลวไฟลุกโชนขึ้นทันทีดวงตาของซูจิ่นเอ๋อร์เบิกกว้าง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเก่งมากเลย!”นางหยางพูดอย่างตื่นเต้น “เยี่ยมเลย มีไฟแล้ว!"ซูจิ่งสิงมองดูขวดน้ำมันตุง ดวงตาวาววับ เขารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับ “ความลับ” ของกู่หว่านเยว่กู้หว่านเยว่คร้านจะสนใจสายตาที่จ้องมองมาของเขา อย่างไรเสีย ปิดบังคนอื่นได้แต่ปิดบังเขาไม่ได้ “ให้ข้าช่วยประคองท่านเข้ามาสักหน่อย? ตากผ้าพวกนี้ไว้ให้แห้งก่อน”ซูจิ่งสิงพยักหน้าเมื่อเขาลุกขึ้น ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่า ช่วงขามีความรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาฉายความประหลาดใจในทันทีแต่ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่ และหายไปในพริบตาเขายังคงสงบ ยอมให้กู้หว่านเยว่ประคองพาเขาไปที่กองไฟ“ขอบคุณ”“ไม่ต้องเกรงใจ”กู้หว่านเยว่โบกมือแล้วหยิบน้ำมันตุงไปหานักการตามแบบเดียวกัน จุดไฟในกระโจมของแต่ละคนให้สว่าง“แม่นางน้อยกู้ ท่านเก่งกาจเหลือเกิน นี่คืออะไรหรือ? แ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป