ใบหน้าของเทียนอวี๋ปรากฎร่องรอยของความรำคาญ ก่อนจะเริ่มออกไล่ตามต่อไปเมื่อทั้งสองจากไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คลายเกลียวกลไกภายในพระพุทธรูปแล้วเดินออกไป“อันตรายมาก วรยุทธ์ของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วและพูดว่า“พวกเขาใส่ผ้าคลุมอยู่ตลอด ระบุตัวตนไม่ได้เลย”ในขณะที่หญิงลึกลับคนนั้นกำลังตามหาพวกเขา นางก็นึกได้ว่าในห้องลงกลอนยังเหลืออยู่อีกสองคน จึงรีบดึงซูจิ่งสิงกลับมาทั้งสองกลับไปที่ห้อง มองไปยังสตรีสองคนที่นอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกนางดี“พวกเรามาระบุตัวตนของพวกเขาก่อนเถอะ” ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือน“เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะถอดหน้ากากของทั้งสองออกก่อนที่ตัวตนของสองคนนี้ จะทำให้ทั้งกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงตกใจอย่างยิ่ง“พวกนาง ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองของตระกูลกงซุน”กู้หว่านเยว่หยิบภาพเหมือนออกมาเพื่อให้ค้นหาได้สะดวกยิ่งขึ้น กงซุนเสว่และกงซุนฉินได้มอบภาพเหมือนของคนตระกูลกงซุนทุกคนให้พวกเขาโฉมหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขานั้น คล้ายคลึงกับคุณหนูรองและคุณหนูใหญ่ใ
“เมื่อวิกฤตย่างกราย เทพธิดาจะมาเยือน”กู้หว่านเยว่อ่านคำหนึ่งแถวที่ด้านล่างของแผ่นหินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง“บางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้เจ้าค่ะ”นางไม่ใช่เทพธิดาอะไรนั่นสักหน่อย“เอาล่ะ เข้าไปดูกันเถอะ” ทั้งสองยังคงจำภารกิจของพวกตนได้ซูจิ่งสิงจ้องมองที่แผ่นหินอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไฟค่อยๆ หายไป เขาจึงเดินตามเข้าไป“ส่งไฟมาให้ข้า”ซูจิ่งสิงหยิบคบเพลิงมาแล้วเดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ ท่าทางระมัดระวัง พร้อมป้องกันตลอดเวลาทั้งสองจับมือกันเดินต่อไป และในไม่ช้า ก็มาถึงส่วนลึกของทางลับทว่าด้านในนี้ ไม่เพียงแต่ได้เห็นเตียงส่วนตัว แต่ยังมีอาหารวางอยู่ข้างๆ ด้วยและเมื่อมองดูรอยบนเตียง ก็เห็นได้ชัดว่าปรากฏเป็นรอยคนนอนกู้หว่านเยว่เอื้อมมือไปแตะ “ยังอุ่นอยู่ เพิ่งออกไปไม่นาน”เมื่อคิดว่าคนที่ซ่อนอยู่ข้างในอาจเป็นคุณหนูสักคนที่ยังรอดชีวิตจากตระกูลกงซุน กู้หว่านเยว่จึงรีบไล่ตามนางไปไม่นานนัก ก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินสะดุดล้ม รีบวิ่งเข้าไปข้างใน“เดี๋ยวก่อน พวกเราไม่ใช่คนเลว”กู้หว่านเยว่รีบตะโกนอย่างรวดเร็วน่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ไว้ใจนาง หลังจากได้ยินเสียงตะโกน นา
แต่จะว่าไปแล้วก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เสี่ยวฮวาคืองูเหลือมที่นางเลี้ยงไว้ก่อนหน้านั้นมันก็ไม่เคยแสดงความผิดปกติใด ๆ เหตุใดเวลานี้มันถึงเข้าหากู้หว่านเยว่ กระทั่งไม่เชื่อฟังคำสั่งและจู่โจมนาง?“ไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนางมองออกว่ากงซุนซวงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อน จึงพอสรุปได้สั้น ๆ ว่า“ในห้องลับแห่งนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่?”หากคุณหนูหกอยู่ที่นี่ด้วย คงจะพาไปด้วยแล้วแต่น่าเสียดายที่กงซุนซวงส่ายหน้า“มีเพียงข้าผู้เดียว หลังจากที่สกุลกงซุนถูกลอบโจมตี ข้าก็หนีรอดจากพันธนาการของพวกเขา แต่ข้าก็ยังไม่หลุดพ้นจากหมู่บ้านโซว่หวาง จึงได้แต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้”จู่ ๆ กงซุนซวงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบกล่าวว่า “จริงสิ เจียงหลิน เขายังอยู่ในคุก”นางมองทั้งสองคนด้วยสายตาอ้อนวอน“ท่านทั้งสอง เจียงหลินคือองครักษ์ของท่านพ่อ พวกเจ้าช่วยเขาได้หรือไม่”บางทีอาจเพราะร้อนใจเกินไป กงซุนซวงจึงคว้าแขนของกู้หว่านเยว่“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ”เมื่อเห็นสายตาร้อนใจของกงซุนซวง กู้หว่านเยว่จึงรีบหันไปมองซูจิ่งสิงอย่างรู้สึกผิด ผ่านไปครู่
“ท่านพี่ ท่านว่าเป้าหมายที่พวกเขาต่อต้านสกุลกงซุนคืออะไรเจ้าคะ?”ในเมื่อเงินทองยังไม่ถูกขนย้าย หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อสมบัติแน่นอน“หรือว่าจะทำเพื่อเคล็ดลับในการฝึกสัตว์ร้าย?”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดพลางขยับมือเล็ก ๆ ของตนไม่หยุดกระทั่งคลังเสบียงทั้งหมดถูกเก็บกวาดจนสะอาด นางถึงจะหมุนตัวกลับมาและกล่าวว่า“ข้าจำเคล็ดลับในการฝึกสัตว์ร้ายของสกุลกงซุนได้ ก็ใช่ว่าจะถ่ายทอดให้ผู้อื่นไม่ได้?”สาเหตุที่สกุลกงซุนสามารถฝึกสัตว์ร้ายได้ เพราะสายเลือดของพวกเขามีความใกล้ชิดกับสรรพสัตว์มาตั้งแต่เกิดดังนั้นแม้ว่าคนนอกจะรู้วิธีฝึกสัตว์ร้าย แต่ก็ไร้ประโยชน์ซุจิ่งสิงอธิบายว่า “เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าสกุลกงซุนจะใช้กลอุบายเจ้าเล่ห์กับคนข้างนอก”“ก็มีความเป็นไปได้” กู้หว่านเยว่พยักหน้า “บางทีการฝึกสัตว์ร้ายนี้ ใคร ๆ ก็เรียกรู้กันได้ สกุลกงซุนกลัวว่าจะถูกผู้อื่นจับตามอง จึงได้กล่าวว่ามีเพียงสายเลือดเดียวกันถึงจะสามารถศึกษาได้”ซึ่งสตรีลึกลับผู้นั้นก็มีความเป็นไปได้ว่านางอาจจะจู่โจมเพียงเพื่อวิธีฝึกสัตว์ก็ได้ “คลังเสบียงถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว รอบนี้ได้กำไ
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ กู้หว่านเยว่คงจะชื่นชมอยู่ไม่น้อย เพียงแต่วันนี้นางเจอกับเรื่องราวมากมาย ทำให้นางไม่มีกระจิตกระใจจะชื่นชม“ดูสิว่าเขาเป็นใคร”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง ซูจิ่งสิงจึงโน้มตัวลงไป ถอดหน้ากาดของบุรุษผู้นั้น“ผู้อาวุโสโซว่หวาง!”ซูจิ่งสิงเป็นฝ่ายตื่นตกใจก่อนเพราะเขาเคยเจอกับอาวุโสโซว่หวางมาก่อน ดังนั้นเขาจึงจำอีกฝ่ายได้ในทันทีแต่กู้หว่านเยว่เคยเห็นแค่ภาพของอ๋องโซว่“ในที่สุดเจ้าก็ดูออกเสียที โชคดีที่เมื่อครู่ข้าไม่ได้รุนแรงกับอีกฝ่าย”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม สตรีลึกลับผู้นี้ก็โรคจิตอยู่ไม่น้อยนะ นางล่อลวงคนของสกุลกงซุนให้กลายเป็นหุ่นเชิด กลายเป็นลูกสมุนของนางดูท่าทางแล้ว ผู้อาวุโสโซว่หวาง คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองคงจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน“น้องหญิง เจ้ามองออกว่าเป็นผู้อาวุโสโซว่หวางได้อย่างไร?”ดูจากท่าทางที่ผู้อาวุโสโซว่หวางแสดงก่อนหน้านั้น เขาคงถูกผู้อื่นปั่นหัวจนเสียสติไปแล้วมิเช่นนั้น เขาคงไม่ช่วยสตรีลึกลับผู้นี้โดยการมาไล่ล่าพวกเขาอย่างแน่นอน“เจ้าดูเองเถิด”ก่อนหน้านั้นกู้หว่านเยว่เคยจับชีพจรของคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองแล้ว แต่นางยังดูไ
ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้วอย่างเงียบ ๆ “ในเมื่อไม่ปลอดภัย ไม่สู้เจ้าพาผู้อาวุโสโซว่หวางเข้าไปในห้วงมิติของเจ้าด้วย”“แล้วท่านล่ะ?”ในห้วงมิติเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย แต่ด้านนอกนั้นอันตรายมาก กู้หว่านเยว่ทิ้งซูจิ่งสิงให้อยู่ด้านนอกเพียงผู้เดียวไม่ได้สตรีลึกลับผู้นั้นอาจจะตามมาฆ่าพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งรอบ ๆ ลานฝึกสัตว์แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย มีทั้งเสือและจิ้งจอกหากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาคงยากเกิดกว่าจะจินตนาการได้“ข้าไม่เป็นไร น้องหญิง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า” ซูจิ่งสิงไม่อยากให้นางเป็นกังวล“ท่านคือสามีของข้า ข้าจะไม่เป็นห่วงท่านได้อย่างไร”กู้หว่านเยว่ตอบกลับอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นสายตาที่ตกตะลึงของซูจิ่งสิง นางจึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ท่านเข้าไปซ่อนตัวในห้วงมิติกับข้าเถิด”ก่อนหน้านั้นนางไม่อยากให้ซูจิ่งสิงเข้าไปในห้วงมิติ เพราะห้วงมิติเป็นไพ่ไม้ตายสุดท้ายของนางแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งสองคนคอยอยู่เคียงข้างกัน ประคับประคองและช่วยเหลือกันและกันจนรอดพ้นความตายมาได้หลายครั้งเขายกอำนาจทั้งหมดในเจดีย์หนิงกู่ให้นางกู้หว่านเยว่ยังมีสิ่งใดที่ยัง
“ถูกต้อง” ซูจิ่งสิงเผยรอยยิ้มแม้ว่าเขาและผู้อาวุโสโซว่หวางจะไม่สนิทกัน เคยเจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแต่ครั้งนั้นเขาได้ช่วยผู้อาวุโสโซว่หวางโจมตีชนเผ่าทูเจวี๋ยที่เจ้าเล่ห์และโหดร้ายเหล่านั้นผู้อาวุโสโซว่หวางได้ทิ้งนักรบหมาป่าไว้เป็นจำนวนมาก ไว้ช่วยเขาต่อกรกับชนเผ่าทูเจวี๋ยดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมีภาพความประทับใจที่ดีต่อกันเมื่อนึกถึงสถานการณ์คับขันในเวลานี้ ซูจิ่งสิงก็สรุปใจความสั้น ๆ ได้ว่า“ผู้อาวุโสโซว่หวาง เดิมทีข้าพักอยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ ข้าได้รับความไว้วางใจจากคุณชายหลิงให้มาช่วยท่าน”เขากล่าวพลางล้วงหยิบจี้หยกของกงซุนจางเย่ออกมา“บุตรชายของข้า เขายังมีชีวิตอยู่” ผู้อาวุโสโซว่หวางคลี่ยิ้มปลอบโยน “ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี”“ภรรยาของข้าช่วยเขาไว้” ซูจิ่งสิงพากู้หว่านเยว่เข้ามา ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจกู้หว่านเยว่เห็นผู้อาวุโสโซว่หวาง เขาน่าจะมีอายุราวเจ็บสิบกว่าปีแล้ว นางจึงเกิดความเกรงใจต่อเขาและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า“บัดนี้ผู้อาวุโสโซว่หวางตกอยู่ในอันตราย ข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่”“ไม่”ผู้อาวุโสโซว่กลับส่ายหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ไป”“ท่านไม่ไป?”
นั้นเป็นแค่ตำราฝึกสัตว์แบบง่าย ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น ใช้ฝึกม้าศึกของฮ่องเต้ขั้นพื้นฐาน“พวกเจ้าตามข้ามา เดี๋ยวก็รู้” ผู้อาวุโสโซว่หวางโบกมืออย่างอ่อนแรงกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันทั้งสองคนรู้ดีแก่ใจ ผู้อาวุโสโซว่หวางรู้ว่าตัวเองทนไม่ไหวและกำลังจะตาย ก่อนจะตาย เขาต้องนำความลับของสกุลกงซุนบอกพวกเขาดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่ส่งเสียงใด ๆ เดินตามหลังผู้อาวุโสโซว่หวางอย่างว่ายง่ายเมื่อเห็นผู้อาวุโสโซว่หวางเดินเข้ามาในส่วนลึกของลานฝึกสัตว์ กระทั่งตรงเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งภายในห้องนี้ได้กักขังจิ้งจอกที่มีลำตัวยาวสองเมตรไว้หนึ่งตัวท่าทางของมันดูโหดร้ายมาก แต่เมื่อจิ้งจอกตัวนี้เห็นผู้อาวุโสโซว่หวาง มันกลับดูเชื่องลงอย่างเห็นได้ชัด“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว นี่คือสหายของข้า มันไม่ทำร้ายพวกเจ้าหรอก”ผู้อาวุโสโซว่หวางเรียกจิ้งจอกตัวนั้นมาข้างกาย จากนั้นก็เปิดห้องลับด้านใน“ในนี้ยังมีห้องลับอีกห้องหรือนี่?”กู้หว่านเยว่เปิดแผนที่ พบว่าแม้แต่กงซุนเสว่ก็ยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของห้องลับนี้ดูท่าทางความลับของสกุลกงซุนจะมากมายจริง ๆ “นี่คือความลับสุดยอดของสกุลกงซุน มีแค่คนที่จะกลายเป็นหั
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้