Masukทันทีที่พูดจบ ซือหยาก็ก้มลงดึงร่างเล็ก ๆ ที่สั่นเทาของอันหมิงเข้ามาสวมกอด มือของนางลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเล็กอย่างอ่อนโยน
"แม่ไม่ได้โกรธลูกเลย...แม่แค่เสียใจที่ลูกไม่กล้าพอที่จะพูดความจริงออกมา"
อันหมิงเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ น้ำตาเม็ดเล็กยังคงไหลอาบแก้มใส
"ละ...ลูกขอโทษขอรับ...ลูกกลัวท่านแม่จะโกรธ ละ..แล้วจะถูกลงโทษ..."
ซือหยายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
"เมื่อก่อนเป็นแม่ที่ผิดเอง แม่เคยบอกลูกแล้วว่าแม่จะไม่ทำร้ายพวกเจ้าอีก...ลูกต้องเชื่อใจแม่นะ...แม่ต้องการให้ลูกเป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญ...กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
อันหมิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนอกของมารดา พ่อเฒ่าเสิ่นและแม่เฒ่าเสิ่นมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ความรู้สึกที่ว่าซือหยาคนเดิมที่เอาแต่ใจ ไม่เคยสนใจลูก ๆ ได้หายไปแล้ว และแทนที่ด้วยหญิงสาวคนใหม่ที่อ่อนโยนมีเหตุมีผล
ทางด้านหยางเฉิง เขามองดูภรรยาที่กำลังกอดปลอบลูกชายด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขายังคงไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนไปได้จริง แต่การกระทำของนางในวันนี้กลับทำให้หัวใจที่เย็นชาของเขาเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
อี้หมิงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาไม่กล้าสบตากับผู้เป็นแม่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกผิด อี้หมิงมองดูใบหน้าของอันหมิงที่กำลังร้องไห้ แล้วก็หันกลับไปมองซือหยาอีกครั้ง
"ข้า...ข้าขอโทษขอรับท่านแม่ ข้า...ข้าทำตัวไม่ดีกับท่านแม่" อี้หมิงกล่าวเสียงแผ่วเบา
"แม่ไม่โกรธลูกเลยอี้หมิง...แม่ดีใจที่ลูกปกป้องน้อง เมื่อก่อนเป็นแม่ที่ไม่ดีเอง เจ้าจะไม่เชื่อใจแม่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ"
อี้หมิงน้ำตาคลอเบ้า เขาเดินเข้าไปกอดมารดาและน้องชายเอาไว้แน่น ซือหยาโอบกอดลูกชายทั้งสองด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความสุข นี่คือสิ่งที่นางปรารถนา
การยอมเข้าใกล้มารดาของอี้หมิง ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะมองด้วยความประหลาดใจ แม่เฒ่าเสิ่นเบิกตากว้าง พลางกระซิบกับสามี
"ตาเฒ่าดูสิ เจ้าต้นไม้เหล็กต้นน้อยนั่นออกดอกแล้ว"
พ่อเฒ่าเสิ่นหยางกวงลูบเครา ยิ้มอ่อนพลางพยักหน้า
"ซือหยาพูดจามีเหตุผล สั่งสอนลูกได้ดี นางเปลี่ยนไปแล้วยายเฒ่าเอ๊ย หวังว่านางคนนี้จะอยู่กับพวกเราตลอดไป"
มือเรียวของซือหยาลูบศีรษะของลูกน้อยทั้งสองเบา ๆ
"อันหมิง…อี้หมิง แม่เพียงหวังว่าพวกเจ้าจะเติบโตเป็นผู้ที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง กล้ายอมรับผิดเมื่อทำพลาด หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้ ต่อให้ผิดพลาดเพียงใด คนทั้งโลกก็ยังเห็นเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ"
อันหมิงเงยหน้ามองทั้งน้ำตา แววตากลมโตสั่นสะท้านก่อนโผเข้าซุกอกมารดา ร้องไห้สะอื้นหนักกว่าเดิม แต่ครานี้เต็มไปด้วยความโล่งอก
"ดูเถิดสามี ข้าไม่เคยเห็นสะใภ้สามพูดจากับลูกอย่างนี้มาก่อนเลย"
หยวนอีกับหยางเฟิงสบตากันเงียบ ๆ สีหน้าพลันอ่อนลง
"อืม… นางคงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ" หยางเฟิงพยักหน้า
เหรินซินที่ก่อนหน้านี้เอาแต่กระแทกเสียงใส่ซือหยา ครานี้กลับพูดอะไรไม่ออก ริมฝีปากขยับเหมือนอยากค้าน แต่ก็ไม่มีถ้อยคำใดจะกล่าวได้ นางได้แต่ก้มหน้าลงพลางเม้มปากแน่น
หยางรุ่ยเหลือบตามองภรรยาตน ส่ายหัวเบา ๆ แล้วหันไปจ้องมองซือหยาที่โอบกอดลูกน้อยด้วยแววตาแปลกไป แววตาที่ปนทั้งสงสัยและการยอมรับ
หยางเฉิงเองก็นั่งนิ่งไม่พูด แต่หัวใจกลับพลันสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยชินกับซือหยาในคราบหญิงเจ้าเล่ห์ เอาแต่เรียกร้อง แต่บัดนี้สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง คำพูดสั่งสอนลูกนั้น… ตรงไปตรงมาและน่านับถือ เป็นเขาเองที่กล่าวโทษนางตอนอยู่ที่เรือน โดยไม่ถามต้นสายปลายเหตุ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เคยตึงเครียดค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ทุกคนในเรือนต่างมองซือหยาด้วยสายตาเปลี่ยนไป จากสะใภ้เล็กจอมเอาแต่ใจ กลับกลายเป็นมารดาที่กำลังพยายามจะอบรมสั่งสอนบุตรให้ออกมาเป็นคนดี
"แม่จะกลับเรือนไปซักผ้า ทำความสะอาดเรือน ลูกทั้งสองอยู่ช่วยท่านปู่ท่านย่านะ ตอนเย็นแม่จะทำของอร่อยให้กินอีก"
เสียงอ่อนโยนแต่นุ่มหนัก ทำให้แววตาของเด็กน้อยสองคนสั่นไหวไปคนละแบบ อี้หมิงเพียงก้มศีรษะสั้น ๆ ตอบเสียงต่ำ
"ขอรับท่านแม่"
ส่วนอันหมิงรีบพยักหน้ารัว ตาเป็นประกายเหมือนได้ยินคำว่า "ของอร่อย" ก็รีบยกมือเล็ก ๆ ขึ้นรับคำทันที
"ขอรับ!"
ซือหยายกยิ้มบางให้ลูกทั้งสอง ก่อนจะลุกขึ้นยกตะกร้าแล้วเดินกลับเรือนสกุลเสิ่น แสงแดดจ้ายามบ่ายสาดลงบนร่างนาง ผ้าผืนบางคลุมศีรษะพลิ้วไหวไปตามแรงลมชื้น ๆ ที่พัดโชยกลิ่นโคลนจากท้องนา
บนเกวียนวัวที่หยางเฉิงเป็นคนบังคับ มีซือเหอ ซือหลิง หยวนอี อาเซียว เจาตี้ อี้หมิงและอันหมิง นั่งเบียดเสียดกันอย่างสนุกสนาน ส่วนในรถม้าที่นั่งสบายกว่า มีแม่เฒ่าหาน แม่เฒ่าเสิ่น และแม่เฒ่าฮัว นั่งอยู่พร้อมกับซือหยา"ท่านพ่อ ข้าจะซื้อของมาฝากนะเจ้าคะ" เสียงเล็ก ๆ ของเจาตี้ดังลอดออกมาระหว่างที่นางกำลังโบกมือให้หยางรุ่ยผู้เป็นบิดา ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น"เด็กดี อย่าเดินห่างท่านป้าสะใภ้กับพี่ ๆ นะลูก อยากกินอะไรเจ้าก็ซื้อได้เลย"หยางรุ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของเขาแสดงความรักใคร่ในตัวบุตรสาว"เจ้าค่ะ"เจาตี้รับคำเสียงใสหยางเฟิงกับหยางรุ่ยยืนมองเกวียนวัวกับรถม้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ พวกเขาถอนหายใจยาว หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นเขาไปขุดหัวมันสำปะหลังต่อ ส่วนพ่อเฒ่าเสิ่นกับพ่อเฒ่าหานก็เดินไปไถนาหว่านข้าวต่อตามหน้าที่กระทั่งเกวียนวัวกับรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงกลางตลาด ความวุ่นวายและเสียงตะโกนขายสินค้าเข้าปะทะโสตประสาททันที รถม้าและเกวียนหลายเล่มจอดเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง ฮัวเจิ้งหรงจึงไปส่งมารดาและอาหญิงที่กลางตลาดก่อน ถนนหนทางเต็มไปด้วยร้านขาย
เช้ามืดวันต่อมา ยามอิ่น (03.00-05.00 น.) ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาเข้ม อากาศเย็นยะเยือกจนไอน้ำค้างเกาะตามหลังคาเรือน เสียงไก่ขันดังแว่ว ๆ มาจากท้ายหมู่บ้าน แสงตะเกียงน้ำมันส่องสว่างเรืองรองออกมาจากหน้าต่างห้องครัวซือหยาและหยวนอีตื่นแต่เช้ามืด พวกนางเดินเข้ามาในลานเรือนที่เต็มไปด้วยอ่างดินเผาขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำแป้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน"น้องสะใภ้! แป้งคงจะตกตะกอนดีแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวเบา ๆ เสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อยเพราะความเย็น นางจุดเทียนเล็ก ๆ วางไว้ข้างอ่าง เพื่อให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในได้ชัดเจนซือหยาคุกย่อตัวลงข้างอ่าง นางใช้ปลายนิ้วเคาะขอบอ่างเบา ๆ น้ำที่อยู่ด้านบนใสจนมองเห็นเงาเลือนราง แป้งสีขาวบริสุทธิ์จมตัวอยู่ก้นอ่างอย่างหนาแน่น"ได้แล้วเจ้าค่ะพี่สะใภ้! น้ำแยกตัวออกจากเนื้อแป้งอย่างสมบูรณ์แล้ว" ซือหยาตอบด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ"มา ๆ เดี๋ยวข้าจะเทน้ำออกเอง ยังมีอีกหลายอ่าง รีบทำรีบเสร็จ" พูดจบหยวนอีก็ลงมืออย่างคล่องแคล่ว"ข้าจะจัดการกับถังพวกนี้เองเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ก็จัดการทางนั้นเถอะ"ระหว่างนั้นเองหยางเฉิงกับหยางเฟิงก็รีบมาช่วยภรรยาของตนทำงาน เมื่อเทน้ำใสจนหมดแล้ว สิ่งท
เมื่อหัวมันถูกขูดจนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ปริมาณมากพอ ซือหยาก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ซือหยาเริ่มบีบน้ำออกจากเนื้อมัน จากนั้นก็นำไปตำในครกหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างเรือน จนกระทั่งเนื้อมันแหลกละเอียด น้ำสีขาวขุ่นเริ่มไหลซึมออกมามากขึ้น นางจึงตักส่วนที่ตำแล้วลงไปผสมน้ำในกะละมังตลอดช่วงเช้าสองสาวทำงานกันอย่างขะมักเขม้น "เราพักสักหน่อยเถอะพี่สะใภ้ ข้าว่าคืนนี้เนื้อตัวของข้าต้องระบมแน่ ๆ" ร่างบางนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากเพิ่งบดและตำเนื้อมันจนละเอียดไปหลายตะกร้า"เจ้านั่งพักเถอะ เจ้าไม่ค่อยได้ทำงานในแปลงนา ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ งานแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก"พูดจบหยวนอีก็นำผ้าขาวบางผืนใหญ่แขวนไว้เหนืออ่างดินเผาขนาดใหญ่ นางตักเนื้อหัวมันที่บดละเอียดผสมกับน้ำแล้วใส่ลงบนผ้า จากนั้นค่อย ๆ โยกเบา ๆ ให้น้ำขาวขุ่นไหลลงไปในอ่างซือหยาเข้ามาช่วยบีบเนื้อมันช้า ๆ จากนั้นก็นำกากใยที่หมดน้ำแล้วออกมาใส่กะละมังไว้ แล้วทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเสร็จ"กากใยพวกนี้... หากตากแห้งก็เป็นอาหารเสริมชั้นดีให้สัตว์เลี้ยงได้อีกเช่นกันเจ้าค่ะ! มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าเปลือกมันนัก! เราต้องใช้ทุกส่วนของมันให้คุ้มค่
เช้าวันต่อมา แสงแดดยามอรุณเบาบางสาดส่องเข้ามาในลานเรือนที่ว่างเปล่า อากาศยังคงเย็นจัด เสียงกระดูกไม้ดัง 'เอี๊ยดอ๊าด' เมื่อแม่เฒ่าหานและแม่เฒ่าเสิ่นนำเด็ก ๆ และหยางเฟิงเดินออกจากเรือนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังแปลงนาช่วยกันไถหว่านข้าวเปลือกวันนี้ซือหยาและหยวนอีได้รับมอบหมายให้อยู่ดูแลเรือนและเริ่มต้นภารกิจที่สำคัญที่สุดคือ การแปรรูปมันสำปะหลังหยวนอีสวมผ้ากันเปื้อนเนื้อหยาบสีขาวทับชุดของนาง นางจัดเตรียมอุปกรณ์อย่างพิถีพิถันบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ชายคา อุปกรณ์เหล่านั้นประกอบด้วยมีดเหล็กหลายเล่ม ครกหินขนาดใหญ่ และแผ่นหินหยาบ"น้องสะใภ้! หัวมันที่เอามาจากลำธารน่าจะพร้อมแล้ว น้องรองกับน้องสามไปขนมาตั้งแต่ต้นยามเหม่าแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวอย่างกระฉับกระเฉง แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ "ตามเวลาแล้วพิษน่าจะถูกชะล้างออกไปมากแล้ว วันนี้เป็นงานหนักของเราสองคนแล้วเจ้าค่ะ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาแถมยังลำบากกว่าขั้นตอนอื่น ๆ"ซือหยาตอบรับ นางกำลังจัดเตรียมผ้าขาวบางผืนใหญ่สำหรับใช้ในการกรอง ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าเนื้อดีที่นางแอบเอาออกมาจากมิติ "เอาเถอ
ใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงที่นาผืนใหม่ ก็พบว่า พ่อเฒ่าหาน พ่อเฒ่าเสิ่น กับอาเซียว และซือเหอกำลังช่วยกันใช้วัวไถนาอยู่ วัวตัวผู้สีน้ำตาลเข้มกำลังเดินลากไถอย่างเชื่องช้า ดินสีดำที่ถูกพลิกขึ้นมาใหม่มีกลิ่นหอมของความอุดมสมบูรณ์ ส่วนเด็ก ๆ ก็ทำแปลงผักช่วยท่านย่าท่านยายอยู่บนเดินดินข้างศาลาพัก"ท่านแม่มาแล้ว! หู้ว! นี่หรือขอรับคือหัวมันสำปะหลัง!"อันหมิงกับอี้หมิงรีบวิ่งมาหาพ่อแม่ทันทีที่เห็นว่าทุกคนเข็นรถเข็นเลี้ยวลงมาตามคันนาใหญ่ ฝุ่นดินติดเต็มเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ใบหน้าเล็ก ๆ สองใบนั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความตื่นเต้น"แม่มาแล้วลูกรัก นี่คือหัวมันสำปะหลังที่ปอกเปลือกแล้ว ว่าแต่..พวกเจ้าทั้งสองเป็นเด็กดีหรือไม่"ซือหยาวางตะกร้าลงแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายฝาแฝด นางยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางก้มตัวลงบีบแก้มนิ่ม ๆ ของลูกชายอย่างรักใคร่"เด็กดีขอรับ! พวกเราเป็นเด็กดีที่สุดเลยท่านแม่!" อันหมิงทำตาแป๋ว รีบตอบเสียงดังฉะฉาน "เก่งมาก ไว้เย็นนี้แม่จะทำของอร่อยให้กิน อยากกินอะไรก็บอกมาได้เลย"ซือหยากล่าวอย่างใจดี"เย้ ๆ ๆ ของอร่อยมาแล้ว!"เด็กแฝดร้องขึ้นพร้อมกันอย่างดีใจระหว่างนั้นเองเสียงน้ำลำธารไหลดัง ซู
ช่วงสายกลางยามซื่อ (ยามซื่อ 09.00-11.00 น.) แสงแดดเริ่มทอประกายเจิดจ้าเหนือหลังคาเรือน เงาของทุกคนทอดยาวเป็นรูปทรงบิดเบี้ยวบนพื้นดินเสียงหายใจหอบและเสียงรองเท้ากระทบพื้นดินดังขึ้นเมื่อ หยางเฉิง หยางเฟิง และ หยางรุ่ย แบกกระสอบหัวมันสำปะหลังขนาดมหึมา และตะกร้าสานขนาดใหญ่เดินเข้ามาในลานหน้าเรือน หัวมันที่เพิ่งขุดมายังติดดินและรากฝอยอยู่เล็กน้อย เหงื่อกาฬไหลซึมไปตามแผ่นหลังของบุรุษทั้งสาม หยวนอีและซือหยาสะพายตะกร้าตามมาติด ๆ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ใบหน้าของพวกนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อวางหัวมันทั้งหมดลงกลางลานเรือน หยวนอีก็เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น นางมองกองหัวมันที่สูงท่วมหัวอย่างไม่เข้าใจ"เราต้องทำยังไงกับมันพวกนี้ต่อล่ะน้องสะใภ้?"ซือหยาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าไปตรวจดูหัวมันกองใหญ่ ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้ม"เราต้องเร่งจัดการเสียแต่ตอนนี้เจ้าค่ะพี่สะใภ้ หัวมันสำปะหลังหากเก็บไว้นานเนื้อจะแข็งและเน่าเสียได้ง่าย"นางเริ่มต้นอธิบายขั้นตอนการแปรรูปที่ซับซ้อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน"อันดับแรก เราต้องตัดหัวท้ายแล้วปอกเปลือกหนา ๆ ออก เปลือกมันหยาบและมีรสขมต้องปอกออกให้หมด เสร็จแล้วค่อยนำไ







