LOGINเช้าวันถัดมา คลื่นพายุลูกเก่าดับไป คลื่นลูกใหม่ก็เกิดขึ้น มีแอคหลุมแอคใหม่กำเนิดขึ้น ปล่อยคลิปที่ไม่มีการตัดต่อใด ๆ โชว์ภาพเต็ม ๆ เป็นคลิปที่วาววาหงุดหงิดเพราะร้อน และถ่ายได้ไม่ดีนัก เธอปัดขวดน้ำตกกระจายใส่สตาฟ และเสียงฉันที่ชัดเจนว่ากำลังเข้าไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้
‘ถ้าน้องวาววาไม่ไหว เดี๋ยวพี่ขอคิวกลางแดดแทนก็ได้นะคะ พี่โอเค’
‘ไม่ต้อง ฉันไม่ใช่เด็กจะงอแงแค่เรื่องเท่านี้!’
ทันใดนั้น เทรนด์ทวิตก็เปลี่ยนไป
‘แอคไหน ออกมาด่าพี่มิ้นตอนนั้น ออกมาขอโทษด้วยค่ะ ความจริงปรากฏแล้วย่ะ’
‘นี่แหละคนจริง นิ่งและใจเย็นสุด ๆ เป็นฉันตบคว่ำไปแล้ว’
‘คนที่ยอมรับแดดแทนคนอื่น ไม่ใช่คนที่กลั่นแกล้งแน่ ๆ’
‘อิแอคหลุมคือใครอะ? มันจงใจนะสืบด้วยชาวทวิต’
‘นี่แก...ฉันว่ามันต้องใช่แบบนั้นแน่ ๆ ...จะเป็นใครไปได้ล่ะ สม’
หลังจากนั้นในทวิตก็ลุกเป็นไฟยิ่งกว่าตอนฉันเป็นข่าวเสียอีก เพราะการสืบค้นว่าใครเป็นคนปล่อยคลิปปลอม ๆ นั่นดันทำให้ชาวเน็ตสนุกกับการล่าแม่มด
ฉันคงไม่ต้องทำอะไรแล้วสินะ ก็ปล่อยให้ธรรมชาติคัดสรรไปแล้วกัน
และแล้วไม่กี่อึดใจ ใครก็ห้ามความใส่ใจของชาวเน็ตไม่ไหว มีผู้ใช้แอคทวิตคนหนึ่งโพสต์ความจริงทุกอย่าง จากการเจาะระบบตามล่าไอดีแอคหลุมแล้วพบว่ามีความเชื่อมโยงกับวาววาอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนั้นข่าวกระแสหลักที่มีแต่ฉัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นวาววาทันที แถมยังไฟโหมแรงยิ่งกว่าตอนฉันเสียอีก นี่แหละกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง
ทุกคนรอบตัวฉันมีแต่คนดี ๆ ไม่ว่าจะทางทีมงานกองละคร พี่แทน หรือบริษัทต้นสังกัดฉัน ต่างก็บอกให้ฉันอยู่นิ่ง ไม่ต้องโพสต์อะไรทั้งสิ้น แม้แต่วันแถลงการณ์พวกเขาก็ไม่ให้ฉันเข้าร่วม พวกเขาจะจัดการกันเอง ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงมองดูพวกเขาผ่านสื่อเท่านั้น
“เราจะดำเนินคดีกับผู้โพสต์และผู้ตัดต่อคลิปทั้งหมดในนามบริษัทครับ ตอนนี้เรามีหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องร้องได้แล้ว หากใครยังโพสต์ใส่ร้าย หรือกระจายข่าวอันเป็นเท็จอยู่ ทางเราจะดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน” ทนายผู้ดูแลคดีกล่าวอย่างชัดเจน
“คุณมิ้นเป็นนักแสดงในสังกัดเราที่ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ และมีประวัติที่ชัดเจนในเรื่องของความมุ่งมั่นในการแสดง ไม่เคยมีปัญหากับทีมงาน ขอให้ทุกท่านโปรดมอบความรักให้ คุณมิ้น ณิชารัน ด้วยครับ”
หลังจากที่การแถลงการณ์จบลงไปไม่นาน พี่กรีนก็ส่งคลิปมาให้ฉันดูต่อ มันเป็นภาพคลิปที่ วาววา ถูกเรียกตัวเข้าพบกับบริษัทใหญ่ผู้ถือหุ้น สีหน้าของวาววาแย่มากตาบวมเป่ง ยกมือไหว้ขอโทษไม่หยุด และที่สำคัญในคลิปนั้นมีพี่แทนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่อ่อนโยนเลยสักนิด
“พี่แทนเวอร์ชั่นไม่อ่อนโยนนี่น่ากลัวเหมือนกันแฮะ” ฉันพึมพำออกมา แต่ถามว่าดีใจไหมก็ดีใจมาก ๆ ที่เขาห่วงฉันและทำเพื่อฉันขนาดนั้น
ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันจบแล้วนะ แต่ยังจ้า...เพราะหลังจากที่การแถลงการณ์ของบริษัทฉันจบลง ในทวิตดันมีคลิปเสียงหลุดอีกคลิปถูกปล่อยตามออกมา เป็นเสียงของวาววากับเพื่อนในห้องแต่งหน้าพูดกันว่า
‘ก็แค่อยากให้มันตกจากหิ้งบ้าง หมั่นไส้มานานแล้ว ทำเป็นซอร์ฟ! ทำเป็นรับแต่บทตัวประกอบ อินโนเซนต์เกิ๊น!’
เพียงประโยคนั่นเท่านั้นแหละ ทำให้ฉันเหมือนได้ปลดล็อกความรู้สึกที่กักขังตัวเองมาจนวันนี้ และมันก็ทำให้ฉันรู้ว่า...ไม่ว่าฉันจะอยู่ในตำแหน่งไหน บทไหน ล้วนแต่ต้องพบความยากลำบากที่ต้องเผชิญอยู่ดี
ตอนนั้นฉันคงอ่อนแอต่อวงการบันเทิงเกินไป จึงรู้สึกว่าสิ่งที่เจอมันแย่เจียนตาย แต่ถ้าเป็นฉันตอนนี้แล้วเจอสถานการณ์แบบนั้นอีก ฉันมั่นใจว่าคงรับมือได้ดีขึ้นแน่ ฉันน่ะอยู่ในวงการมาห้าปีแล้วนะ
ฉันล้มตัวนอนบนเตียงความรู้สึกเหนื่อยล้า ความเครียดทั้งหมดมลายหายไป ราวกับร่างกายกำลังจะเข้าโหมดชาร์จแบต แต่ก่อนที่ฉันจะนอนนั้น...
“โทรหาพี่แทนดีกว่า” ฉันยิ้มแป้นกดเบอร์ต่อสายหาพี่แทน ‘แฟนของฉัน’
(ยังไม่นอนเหรอครับ) เสียงทุ้มของเขาที่ฉันอยากได้ยินก่อนนอน
“กำลังจะนอนค่ะ แต่อยากได้ยินเสียงพี่ก่อน”
(หรือว่าอยากให้พี่ไปหาดีครับ)
“ไม่ดีกว่าค่ะ พี่เหนื่อยมากแล้ว และหนูก็ง่วงมากแล้วด้วย เครียดมาทั้งวัน”
(แล้วตอนนี้ล่ะครับ?) เสียงทุ้มนุ่ม เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ดีแล้วค่ะ ไม่สิดีมาก ๆ ด้วย”
(พี่ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจครับ พี่เป็นห่วงมิ้นแทบแย่ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ เราไปพักผ่อนกันหน่อยดีไหม)
“ที่ไหนดีคะ พี่แทนเลือกสถานที่ได้เลย ขอแค่มีพี่อยู่ มิ้นไปได้หมดเลยค่ะ”
(ได้เลยครับ พี่จะจัดทริปเอง งั้นคืนนี้นอนหลับให้เต็มที่นะพี่ไม่รบกวนแล้ว)
“พี่แทนคะ...” ฉันเอื้อนเอ่ยน้ำเสียงบางเบาก่อนจะหยุดชะงักไปอีกครั้ง
(หื้ม...มีอะไรครับ)
“มิ้นตัดสินใจแล้วค่ะ...ว่าจะรับเล่นบทนำเรื่อง ‘รอยยิ้มของตัวจริง’ ของพี่”
[TAN PART]
หลังจากปลายสายเงียบลง ผมยังถือมือถือแนบอกอยู่แบบนั้น นั่งนิ่งกลางห้องโดยไม่อาจควบคุมรอยยิ้มบนใบหน้าได้เลย
‘เธอตอบตกลงรับเล่นบทนำเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง แล้วครับ
“ฟวู่...” ผมพ่นลมหายใจด้วยความปิติ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานหยิบกระดาษร่างบทเก่า ๆ ที่ตัวเองเคยเขียนไว้สมัยเรียนมหาลัยขึ้นมา รอยหมึกอาจจะจางไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผมเขียนในนั้นยังเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยลืมเลือน เพราะจุดเริ่มต้นมันคือ ‘เธอ’
ผมนั่งอ่านมันอีกครั้ง หลายประโยคไม่ได้สวยงาม แต่ทุกอย่างที่ผมเขียนล้วนมาจากสิ่งที่ผมเห็นจากตัวเธอ มันเป็นฝันที่เคยไกลตัว เพราะจู่ ๆ เธอก็หายไปจากหน้าจอ และผมก็เกือบจะทิ้งฝันไปแล้ว จนวันนั้นเธอกลับเข้ามาในสายตาผมอีกครั้ง เธอชื่อ ‘มิ้น’ หรือชื่อเดิมที่ผมจำได้แม่น ‘มินตรา’
ใครจะลืมเธอลง รอยยิ้มที่สดใสตอนรับน้อง เสียงหัวเราะของเธอตอนซ้อมละครกิจกรรมของมหาลัย และครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเธอแอบไปร้องไห้เพราะถูกรุนพี่บางคนกดดันให้เธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ทั้งที่ไม่เต็มใจนัก แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทางไม่ดีต่อหน้ารุ่นพี่เลย และเธอก็สู้ทำมันผ่านออกมาได้ดี ผมประทับใจเธอมาก ๆ ครับ
‘ถ้าเธอไม่รับบทนี้ เรื่องนี้จะไม่มีวันถ่ายทำเด็ดขาด’ ผมเคยพูดประโยคนั้นกับใครบางคนไว้เมื่อนานมาแล้ว และในขณะที่คิดแบบนั้น คนตายยากคนนั้นก็โทรมาหาผมพอดี ให้ตายเถอะจังหวะมันได้จริง ๆ
‘Rrrrr’
มือผมหยิบมือถือมากดรับสายทันทีแบบไม่ต้องคิด
“ว่าไงอาร์ม โทรหากูมีธุระ?”
(กูโทรหามึงจะมีธุระอะไรนอกจากออกมาดื่มมาดริ้งค์ ถึงกูจะรู้ว่ามึงไม่ออก...) ยังไม่ทันที่เพื่อนผมจะพูดจบ ผมก็แทรกเสียงพูดต่อทันที
“ไป...ร้านไหนส่งโลมา เดี๋ยวนี้เลย”
(หื้ม...มึงจริงปะเนี่ย)
“พูดมาก งั้นกูจะไม่ไปแล้วนะ”
(ล้อเล่น ๆ นาน ๆ ที กูจะเห็นมึงอารมณ์ดี เดี๋ยวกูส่งโลไป)
“เออ...เจอกัน”
(ณ ร้านเหล้ากึ่งบาร์ ใจกลางเมืองหรู)
บรรยากาศในร้านกำลังดี คนไม่พลุ่งพล่าน เสียงเพลงแจ๊สคลอเบา ๆ แสงไฟสีอำพันส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ และมุมที่ผมกับเพื่อนเลือกก็เป็นมุมเล็ก ๆ ที่คนไม่ได้เดินผ่านมากนัก มีความเป็นส่วนตัวเล็ก ๆ
ผมนั่งตรงข้ามกับอาร์ม เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัย มันหยิบไวน์ขาวขึ้นมาจิบเบา ๆ ก่อนวางแก้วลง แล้วพูดประโยคที่เหมือนจะดูความคิดผมออก
“หน้ามึงดูมีความสุขขนาดนี้ น้องมิ้นตกลงแล้วใช่ไหม?” ผมยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“เออ...กูโคตรไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นจริง มึงก็รู้ว่ากูเขียนบทเรื่องนี้เพราะใคร”
“ฮ่า...” อาร์มหัวเราะร่า “รู้ดิวะ กูเป็นคนแรกเลยมั้งที่มึงอวดบทนี้ให้ฟังตอนปีสี่ พูดซะกูจำบทได้ทั้งฉบับไอ้เวร! จนกูเคยถามมึงว่าชอบน้องเขาเหรอวะ มึงเสือกตอบกูมาว่า ไม่ได้ชอบ แม่งปากบอกไม่ แต่การกระทำหวานปานมดขึ้น” ผมนิ่งไปชั่วครู่ ตอนนั้นจะให้ผมพูดออกไปได้ไง น้องเขาเป็นเด็กใหม่ที่ใคร ๆ ต่างก็เอ่ยปากอยากจีบ ผมจึงได้แต่ชอบเงียบ ๆ นั่นแหละครับ
“น่าสงสารชะมัด”
“สงสารใคร?” ผมเลิกคิ้วมองมัน
“น้องมิ้นไง...ตอนนั้นน้องเขาบ่นให้กูฟังตลอด น้องไม่รู้เลยว่าคนที่คอยช่วยเหลือในเงามืดคือใคร น้องมิ้นก็พยายามตามหา กูนี่คันปากยิบ ๆ”
“เฮ้อ...กูไม่ต้องการให้ น้องเขารู้นี่หว่า กูแค่อยากให้น้องเขาได้ทำในสิ่งที่เขารักโดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ให้รู้สึกว่ายังมีคนสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ ก็พอ”
“แล้วตอนนี้?” สีหน้าของอาร์มเลิกคิ้วมองหน้าผม
“ได้กันแล้ว” ผมโผลงตอบออกไปอย่างลืมตัว
“ว่าไงนะ!” อาร์มเบิกตาโพลงมองผม
“ตอนนี้คบกับน้องเขาแล้ว แต่แค่น้องเขายังไม่รู้ว่าบทละครเรื่องนี้กูแต่งมาจากน้องเขา”
“มึงยังเชื่อในบทละครบทนี้อยู่สินะ” อาร์มยกยิ้มมุมปาก
“ใช่ กูไม่ได้หวังให้มันดังหรอก แต่กูแค่อยากทำให้ตัวจริงของบทนี้ปรากฏขึ้นมาเท่านั้นเอง”
“อ่อ...มึงเลยมีความสุขมาก ๆ สินะที่น้องมิ้นได้ปรากฏทั้งในชีวิตจริงและบทละครของมึง” สิ้นคำอาร์ม ผมก็ยิ้ม
“เออ...กูยอมรับกูดีใจมากเว้ย กูรอเวลานี้มานานหลายปีแล้ว อยากบอกผ่านความรู้สึกในบทละครนี้ให้กับน้องเขา อย่างน้อยเธอก็จะได้เห็นตัวเองผ่านสายตาของคนที่รักเธอจริง ๆ อย่างกูนี่ไงวะ”
“ไอ้ควายแทน เลี่ยนมาก!” อาร์มสบถ
“ฮ่า...” ผมหัวเราะออกมา ด้วยหัวใจที่อิ่มเอม
[END TAN PART]
ห้องรับรองหลังฉากในสตูดิโอรายการ ‘4 แซ่บบันเทิง’ แม้จะเย็นฉ่ำจากแอร์ แต่มันก็ไม่สามารถดับความประหม่าในใจฉันได้เลยสักนิด“พี่...แน่ใจเหรอ ว่าเราควรมานั่งให้สัมภาษณ์แบบนี้ มันจะไม่โหนกระแสไปหน่อยเหรอคะ” ฉันหันไปกระซิบถามพี่แทนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางจับมือเขาแน่นจนชื้นเหงื่อ“แน่ใจสิครับ ไหน ๆ ก็เปิดตัวแล้ว เราก็ควรจะไปให้สุด” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างใจเย็นใจ ฉันพ่นลมหายใจยาวใช้หลังมืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเองเบา ๆ ได้แต่ภาวนาให้ฉันอย่าหลุดพูดอะไรแปลก ๆ เลยเถอะ“อีกสิบนาที เตรียมตัวนะคะ” หนึ่งในทีมงานเดินเข้ามาแจ้ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเกร็งนะคะคุณมิ้น แฟน ๆ ตอนนี้ยอดคนดูรอแล้วกว่าแสนคน” ฉันพยักหน้ารับ ขณะที่พี่แทนหันมากระซิบข้างหูกันเบา ๆ“ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่อยู่ตรงนี้ตลอด” แม้หัวใจฉันจะเต้นแรง แต่เพียงเขาพูดแค่นี้ก็ทำให้ฉันสงบลงได้ ใช่...ต่อจากนี้เราจะไม่ต้องแอบ ไม่ต้องหลบ และปิดบังอีกต่อไป(หน้าฉากสตูดิโอ รายการ 4 แซ่บบันเทิง)“ว้าว...ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้นั่งสัมภาษณ์สองคนนี้ในฐานะ ‘คู่รัก’ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับความรักครั้งนี้ด้วยนะคะ คุณแทนและคุณมิ้น”
นาฬิกาชีวิตปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอัตโนมัติ กิจกรรมร่วมรักบนเตียงเมื่อคืนส่งผลให้ความปวดร้าว หนักหน่วงคืบคลานไปทั่วร่างแม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ฉันก็ยังขยับตัวลำบาก เนื่องจากสองแขนแกร่งของคนนอนข้างกายยังคงรัดแน่นไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวว่าฉันจะหนีหายไปพี่แทนยังคงหลับสนิท ฉันหันไปจ้องหน้าเขาชัด ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึก...หล่อจนใจสั่น ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจที่เขามอบให้ฉันก็รับรู้ได้ทั้งหมดเขานอนตะแคงหันหน้ามาทางฉัน มือหนึ่งยังพาดอยู่บนเอวฉัน“โธ่เอ้ย...พอหลับแล้วไม่เห็นจะดูเจ้าเล่ห์เลยนะ” ฉันยิ้มพึมพำเบา ๆ ขณะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหล่อเขาให้เห็นเด่นชัดฉันเอี้ยวตัวอย่างเบามือ ให้ตัวแนบชิดกับเขามากกว่าเดิม ซบหน้าลงกับอกแกร่งฟังเสียงหัวใจของเขาที่ยังเต้นแรงอยู่“เมื่อวานที่หนูบอกว่า...ไม่อยากแพ้พี่” ฉันกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง “ไม่ใช่เพราะหนูอยากเอาชนะ” ฉันยิ้มพลางขยับใบหน้าเบา ๆ เพื่อรับไออุ่นมากขึ้น “แต่หนูอยากให้พี่เห็นว่า หนูก็พร้อมมอบความรักให้พี่เช่นกันค่ะ”เขาขยับตัวเล็กน้อย มือที่กอดฉันไว้กระชับแน่นขึ้น ทำฉันสะดุ้งจนกระตุกวูบ“แกล้งหลับอยู่ใช่ไหมคะ...” ฉันแหงนหน้ามอ
ฉันยังชันเข่าอยู่ตรงหน้าเขาแบบนั้น แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่แค่นั่งเฉย ๆ อีกต่อไป สองเราลูบไล้และทอดนัยน์ตายั่วยวนกันและกัน โดยไม่มีใครยอมใครมือฉันแนบอยู่บนอกแกร่ง มือเขาแนบอยู่ที่แผ่นหลังฉัน พลางไล้นิ้วไปตามสันหลังก่อนจะหยุดตรงกลางหลังแล้วพยายามเร่งโน้มตัวฉันลงไปอีก แต่ฉันไม่ยอมหรอก“จะรีบร้อนทำไมคะ” ฉันกระซิบแหบพร่า พร้อมกดมือบนอกแกร่งเขาเบา ๆ จงใจถ่วงเวลาไว้พี่แทนยิ้มแฝงด้วยจิตวิญญาณนักล่าที่รู้ว่าคนตรงข้ามอย่างฉันกำลังเล่นเกมด้วยความรู้สึกเดียวกัน“ไม่ได้รีบร้อน แค่รู้สึกว่าถ้าพี่ปล่อยให้หนูคุมเกมมากกว่านี้ พี่อาจจะหมดแรงก่อนได้เริ่มจริง”“แปลว่าเริ่มกลัวหนูแล้วสินะ”“ไม่ได้กลัว...แค่ไม่ประมาทครับ” ฉันยกยิ้มมุมปากโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใช้เรียวลิ้นร้อนไล้เลียไปตามแนวหลังใบหู สันกรามเบา ๆ ขณะที่มือฉันเริ่มเคลื่อนไปตามอารมณ์สอดเข้าในเรือนผมของเขาพลางขยุ้มเบา ๆเขาชะงักเล็กน้อยกับสัมผัสบางเบานี้“ถ้าเล่นแรงแบบนี้ พี่คงต้องเอาจริงแล้วนะครับ” ฉันยิ้มมุมปาก ขณะใช้มืออีกข้างลูบไปตามแนวแขนแกร่งเขา“ก็รออยู่นี่ไงคะ จะเอายังไงก็เชิญ พร้อมรับแรงกระแทกเสมอ” สิ้นคำสิ่งที่เขาตอบกลับมาคือการกดจูบอีก
“โอเคครับ กล้องพร้อม! ไฟพร้อม! แอคชั่น!” เสียงผู้กำกับดังขึ้นท่ามกลางกองถ่ายบ้านหรูปลีกวิเวกที่แสนสงบ เราสวมชุดนักแสดงเต็มยศ ฉันอยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีฟ้าอ่อน พี่แทนอยู่ในชุดเชิ้ตขาวพับแขนกับกางเกงสแล็คเข้ารูปบรรกาศโดยรอบเงียบลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของตน...ฉากที่เรากำลังจะถ่ายกันคือ ‘ฉากจูบแรก’ ของพระเอกและนางเอกในละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลัก โดยก่อนหน้านี้มีแต่การปะทะอารมณ์และเข้าใจผิดมาโดยตลอด ‘ในการถ่ายทำชื่อตัวละครในเรื่อง คือชื่อพวกเราเลย แต่ในเมื่อคนเขียนบทอย่างพี่แทนเขียนมาแบบนั้น ฉันก็เออออไปตามนั้นแหละ’และตอนนี้ พี่แทนกำลังจะจูบฉัน“มิ้น...” เสียงเขาเรียกเบา ๆ ขณะยืนห่างฉันไม่ถึงฝ่ามือ นัยน์ตามีความลังเลปนกับความรู้สึกบางอย่าง“มิ้นรู้ไหม ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน พี่ไม่เคยหันไปมองใครอีกเลย” บทละครบอกให้ฉันต้องนิ่ง น้ำตาคลอ ตัวสั่นนิด ๆ และปล่อยให้เขาโน้มตัวเข้ามาช้า ๆ ฉันทำตามบททุกอย่างอย่างมืออาชีพ และที่สำคัญฉันใส่หัวใจตัวเองลงไปเล่นด้วยริมฝีปากของพี่แทนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันได้กลิ่นหอมจาง ๆ จา
หลังกลับมาจากการพักผ่อน ชีวิตนักแสดงสาวก็เข้าสู่วังวนการทำงานที่คุ้นเคย ตอนนี้ชื่อเสียงของฉันทวีคูณมากขึ้น ตั้งแต่ฉันเปิดใจว่าจะรับบท ‘นางเอก’ ก็มีผู้ผลิตละครหลายเจ้ายื่นเสนอมาให้พิจารณาบทเป็นกอง แต่...เรื่องพวกนั้นเอาไว้ทีหลังก่อน เพราะการกลับมาเล่นบทนำในครั้งนี้ ยังไงซะฉันก็ตัดสินใจจะเล่นให้กับละครที่แฟนของฉันเขียนขึ้นมาก่อนวันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดงนำของละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง อย่างเป็นทางการ ฉันมาในชุดเดรสสีดำ ผมชมพูฟาร่าลอนสวย ชนิดที่เดินผ่านคนไหนก็ต้องเหลียวหันมามอง อาจเป็นเพราะก่อนหน้าฉันรับแต่บทตัวประกอบเวลามีงานแถลงข่าวก็ไม่ได้ถูกเชิญขึ้น“พี่กรีน พี่พอรู้รึเปล่าว่าเรื่องนี้ ใครรับบทพระเอก” ฉันหันไปถามผู้จัดการส่วนตัว เอาจริงนะ ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าใครแสดงบ้าง บทจริงยังไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่เพราะมั่นใจในตัวพี่แทน ฉันเลยไม่ได้ซีเรียสอะไร“ไม่รู้สิ ผู้ผลิตเขาไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติมมาเลย ลึกลับมาก”“งั้นเหรอคะ” ฉันเลิกคิ้ว แต่สุดท้ายก็เลิกที่จะสนใจมันไปไม่นานนัก มีทีมงานเรียกให้ฉันเตรียมพร้อมรอขึ้นเวทีอยู่ด้านข้าง“เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน กรุณาเตรียมกล้องให้พร้อมนะครับ เ
เสียงนกร้องเบา ๆ จากยอดไม้ข้างนอกดังลอดเข้ามาในเต็นท์ ทำให้เปลือกตาฉันที่หลับสนิทค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา วินาทีแรกที่ได้กลิ่นไอดินปะปนกับกลิ่นหญ้าเปียกหลังฝนจางเมื่อคืนที่ผ่านมา ความสดชื่นก็แผ่ไปทั่วร่างร่างฉันยังซุกแนบอยู่ในอ้อมกอดพี่แทน ใบหน้าแนบชิดกับอกแกร่งอย่างเคยใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ฉันรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่รินรดบนหัว เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าหลับสนิทมากเพียงใดฉันขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าเปลี่ยนท่าทางมาก เพราะกลัวจะรบกวนการนอนของเขา แต่ก็ได้แค่คิด...“หนาวเหรอ?” เสียงทุ้มงัวเงียกระซิบชิดข้างหูฉัน ฉันเงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้าเล็ก ๆ แล้วตอบกลับเบา ๆ“เปล่าค่ะ...แค่ยังไม่ชินปกตินอนคนเดียวมาตลอด” พี่แทนขยับตัวเล็กน้อยสองแขนกอดรัดฉันแน่นขึ้น“ก็ทำให้ชินสิครับ” เขาขยับหัวมาแนบแก้มนุ่มฉัน ริมฝีปากแตะหน้าผากอย่างแผ่วเบาก่อนพึมพำต่อ “ถ้าเราตื่นมาแบบนี้พร้อมกันทุกวันก็ได้นะ ถ้าหนูไม่เบื่อ”ฉันยิ้มมองใบหน้าคมที่ปรือตามองฉันเพราะเพิ่งตื่นนอน“หนูไม่เบื่อหรอกค่ะ แต่กลัวว่าจะเป็นพี่มากกว่าที่เบื่อก่อนหนูก็ได้” ฉันพูดจบเขาก็ลากนิ้วไล้กรอบหน้า ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากฉัน“ทั้งที่เพิ่







