หลังจากนั้นทั้งสามคนต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนมาถึงเรื่องที่อวี้หลันได้ออกจากตระกูลไป๋แล้วพร้อมทั้งยังตัดขาดจากทางนั้นจนถึงขนาดออกหนังสือตัดขาดกัน
ทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองนั้นมีสีหน้ามืดครึ้มเป็นอย่างมากที่บุรุษสารเลวผู้นั้นกระทำการเช่นนี้กับบุตรสาวและหลานสาวของตนจนซ่งเฉิงป๋อนั้นอยากจะไปทำลายจวนแห่งนั้นให้ย่อยยับให้สาสมกับสิ่งที่บุรุษสารเลวนั้นได้ทำให้ไว้
“ฮึ! ไอ้คนสารเลวนั้นมันสมควรที่จะโดนข้าจับถลกหนังเลาะกระดูกออกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งนัก”
ชายชราเอ่ยด้วยโทสะที่อัดแน่นอยู่ภายในอกของเขาจนมันแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
“นั่นสิเจ้าคะท่านพี่ น้องเองก็คิดว่าเราคงจะใจดีกับคนสารเลวเช่นนั้นเกินไปจนทำให้มันหลงลืมไปแล้วว่าเหมยเอ๋อร์นั้นคือดวงใจของพวกเราหาใช่สตรีชาวบ้านสามัญไม่!”
ซ่งฮูหยินเองก็เอ่ยสำทับกับความคิดของสามีตนเองและยังรู้สึกโกรธแค้นที่อีกฝ่ายทำกับบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนถึงเพียงนี้
“ท่านตาท่านยายอย่าได้โกรธไปเลยนะเจ้าคะเดี๋ยวจะทำให้ความดันขึ้นเสียเปล่า ๆ อีกอย่างตอนนี้หลานก็ได้หลุดพ้นจากคนผู้นั้นมาอย่างปลอดภัยดีก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการตอบแทนคุณในฐานะบุตรสาวแล้วเจ้าค่ะ”
อวี้หลันที่เห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองโมโหจนหน้าดำหน้าแดงก็เป็นห่วงสุขภาพของทั้งสองจึงได้รีบเอ่ยปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
“ฮึ! ถือว่าครั้งนี้ตาเห็นแก่เจ้านะตาจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป”
นายท่านซ่งเอ่ยบอกหลานสาวด้วยท่าทางไม่ค่อยจะยินยอมเสียเท่าไหร่
“เจ้าค่ะท่านตา หลานขอบคุณท่านตากับท่านยายมากเลยเจ้าค่ะ” อวี้หลันเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางเบา
“เช่นนั้นตอนนี้หลานพักอยู่ที่ใดกัน มาอยู่กับตายายที่จวนแห่งนี้ดีหรือไม่?”
ซ่งฮูหยินเอ่ยถามหลานสาวหลังจากที่ได้รับฟังความจริงทั้งหมดจากปากของหลานสาวตนเอง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านยาย ตอนนี้หลานได้ไปอาศัยอยู่ที่จวนที่ท่านแม่เคยซื้อเก็บเอาไว้ เพียงแต่จวนหลังนั้นมันค่อนข้างที่จะเก่ามาก”
“ดังนั้นวันนี้ที่หลานมาหาพวกท่านทั้งสองส่วนหนึ่งก็เพื่อมาเยี่ยมและอีกส่วนก็คือหลานอยากจะมาขอหยิบยืมเงินจากท่านตาเพื่อไปสร้างจวนใหม่พร้อมกับหลานอยากจะทำกิจการบางอย่างด้วยเจ้าค่ะ”
อวี้หลันเห็นถึงความห่วงใยจากทั้งสองท่านก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นภายในใจที่ด้านชาของตน แต่นางก็ยังคงมีความคิดเป็นชองตัวเองจึงได้เอ่ยปฏิเสธอย่างนุ่มนวลพร้อมทั้งบอกกล่าวถึงแผนการที่จำทำในอนาคตข้างหน้าให้กับพวกท่านทั้งสองรับรู้เพื่อคลายความกังวลในใจของพวกท่านลง
“เพ้ย!! เจ้าเป็นถึงหลานสาวเพียงคนเดียวของตาผู้นี้เหตุใดยังต้องเกรงใจเป็นคนอื่นไปได้ เพียงแค่ตำลึงเงินไหนเลยจะมอบให้หลานสาวไม่ได้ หลันเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องขอยืมตาหรอกเดี๋ยวตามอบให้เจ้าเองถือเป็นของขวัญพบหน้าจากตาผู้นี้เข้าใจหรือไม่”
ซ่งเฉิงป๋อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดังเมื่อหลานสาวทำเหมือนว่าเขานั้นเป็นคนอื่นคนไกลเสียอย่างนั้น
“แต่ว่า....”
“ไม่มีแต่แล้วหลันเอ๋อร์หรือว่าเจ้าคิดว่าพวกเราทั้งสองนั้นเป็นคนอื่นอย่างนั้นรึ?”
ซ่งฮูหยินเอ่ยขัดหลานสาวขึ้นอีกคนเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าเตรียมจะเอ่ยปฏิเสธผู้เป็นสามี
“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นนะเจ้าคะ หลานเพียงแค่เกรงใจที่มารบกวนท่านตากับท่านยายเพียงเท่านั้น”
“แต่หลานไม่เคยคิดว่าพวกท่านเป็นคนอื่นเลยนะเจ้าคะ หลานนั้นรักและเคารพท่านตาท่านยายอยู่เสมอ ถ้าเช่นนั้นหลานก็ขอรับของขวัญของท่านตาอย่างไม่เกรงใจแล้วกันนะเจ้าคะ”
อวี้หลันที่รู้สึกตัวว่าทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองรู้สึกไม่สบายใจมามากพอแล้วจึงได้ยอมรับน้ำใจจากทั้งสองท่านเพื่อเอาใจคนแก่
หลังจากจบคำตอบของหญิงสาวแล้วนั้นใบหน้าของสองสามีภรรยาก็ประดับด้วยรอยยิ้มดีใจขึ้น จนอวี้หลันอดที่จะยิ้มตามอย่างไม่อาจห้ามได้เช่นกัน
เพราะว่านางสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใย และความเมตตาจากทั้งสองที่มีให้กับนางโดยที่นางไม่ต้องดิ้นรนหรือพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้รับรอยยิ้มนั้น
ต่างจากชีวิตก่อนที่นางต้องพยายาม ดิ้นรน ต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะได้รับความรักความเอ็นดูจากผู้เป็นตาและบิดาของตน ในชีวิตก่อนนั้นตระกูลของหญิงสาวเป็นตระกูลทหารที่มีอำนาจมากพอมาย
ส่วนมากคนในตระกูลนั้นจะให้ความสำคัญกับหลานชายมากกว่าหลานสาวอย่างนาง จึงทำให้นางได้รับการปฏิบัติที่ไม่ค่อยจะดีนัก
ผิดกับพี่ชายอีกสองคนของนางที่ทั้งได้รับการเลี้ยงดู เอาใจใส่ ตามใจและได้รับความสนใจจากบิดาและท่านตาเป็นอย่างมาก แถมพี่ชายทั้งสองของนางยังมองนางราวกับคนรับใช้ในบ้าน
ที่มีความสำคัญเพียงแค่ตอนที่ต้องการให้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ ดังนั้นนางจึงต้องดิ้นรนจนสามารถคว้าอันดับหนึ่งของชั้นปีและได้เลื่อนขั้นไวกว่าเพื่อที่อายุรุ่นเดียวกัน
จึงพอทำให้ความสำคัญในบ้านของนางนั้นดีขึ้นจากแต่ก่อนเพียงแต่นางยังคงไม่ได้รับความรักจากบุรุษทั้งสี่ของบ้านอยู่เช่นเดิม ดังนั้นในตอนที่รู้ว่าตนเองจะต้องตายอวี้หลันก็ไม่ได้รู้สึกอาลัยในชีวิตของตนเองสักเท่าไหร่
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คงไม่ได้รู้สึกเสียใจมากมายถึงเพียงนั้นเมื่อรับรู้ว่าหลานสาวและลูกสาวของตนได้ตายจากไปแล้ว
แต่มันไม่ใช่สำหรับในชีวิตชาตินี้ที่นางกลับได้รับสิ่งที่โหยหามาตลอดทั้งชีวิตโดยไม่ต้องดิ้นรนไล่ตามจนเหนื่อย ซึ่งนางบอกได้เลยว่าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรนางก็จะต้องปกป้องพวกท่านทั้งสองให้ปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ในภายภาคหน้าให้จงได้ ต่อให้นางต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกก็ตาม
“ท่าน...พี่...”เสียงเอ่ยเรียกของภรรยารองนั้นยิ่งทำให้โทสะของไป๋ฮุ่ยหมิงปะทุขึ้นจนเอ่ยตะคอกอีกฝ่ายด้วยความเกรี้ยวกราด“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเสีย! เสียแรงที่ข้านั้นรักและเอ็นดูเจ้ามาตลออด แต่เจ้ากลับกล้าหักหลังข้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”“ไม่เพียงแค่หลอกลวงข้าเรื่องหลินเอ๋อร์ แต่เจ้ายังวางยาฮูหยินเอกจนนางต้องตายจากไป เจ้าทำเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันหา!”คำถามมากมายที่หลุดออกจากปากผู้เป็นสามีนั้นช่างบาดลึกลงไปในจิตใจของเป่าลี่อินเป็นอย่างมาก จริงอยู่ที่ในตอนแรกนางนั้นเข้าหาเขาเพียงเพราะต้องทำตามแผนของบุรุษชั่วช้าผู้นั้น แต่เมื่อได้ใกล้ชิดและได้รับความรัก เอาใจใส่ดูแลจากอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้กับนางจึงทำให้นางเริ่มที่จะหึงหวงและอยากครอบครองไม่อยากให้เขาไปมอบความรักให้กับสตรีอื่น นางจึงได้วางแผนการทุกอย่างเพื่อที่จะใส่ร้ายฮูหยินเอกสตรีอีกหนึ่งคนที่เขารัก ด้วยการใส่ความต่าง ๆ จนในที่สุดนางก็สามารถทำสำเร็จและในขณะที่สตรีผู้นั้นตรอมใจนางจึงใช้โอกาสนี้ให้คนวางยาจนในที่สุดสตรีนางนั้นก็
“ท่านอ๋องเพคะ”อวี้หลันเอ่ยเรียกชายหนุ่มด้วยคำเรียกที่จริงจังจนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มต้องหันกลับมามองยังหญิงสาวที่ในตอนนี้กำลังยืนจ้องมองมาที่ตนเอง“พี่บอกแล้วใช่หรือไม่ว่าให้เรียกพี่ว่าอย่างไร”ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับวงแขนแกร่งเองก็คว้าเอาเอวบางเข้ามานั่งลงบนตักของตัวเองอย่างต้องการทำโทษ“พี่ชายท่านหลอกกินเต้าหู้ข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ”อวี้หลันเอ็ดชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีไม่จริงจังนักคล้ายว่านางเองก็เริ่มที่จะชินกับนิสัยมือไวของอีกฝ่ายเสียแล้ว“ก็ใครกันเล่าที่ทำให้พี่ต้องเป็นแบบนี้”ร่างสูงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาของตนเองที่ตั้งแต่วันงานเลี้ยงจบลงนางก็ไม่เห็นว่าเขาจะยอมสวมใส่หน้ากากเช่นที่ข่าวลือบอกแม้แต่น้อยเข้ามาใกล้ใบหน้าของหญิงสาวอย่างต้องการหยอกล้ออีกฝ่ายให้เขินอาย“เป็นพี่ชายเองมากกว่าที่คิดมากไปเองเจ้าคะ แต่ก็ช่างเรื่องนั้นก่อนเถิดข้าในตอนนี้ต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องสมรสพระราชทานที่ฝ่าบาททรงมอบให้เมื่อเช้านี้มากกว่า”หญิงสาวเองก็ไม่ได้คิดที่จะผ
ในที่สุดก็มาถึงสมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องกับคุณหนูซ่งอวี้หลัน งานแต่งงานในครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะมีกำหนดการที่กระชั้นชิดไปหน่อยแต่ว่างานทุกอย่างนั้นก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติของว่าที่พระชายาของชินอ๋อง โดยงานในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่ตำหนักส่วนตัวของชินอ๋องที่ผู้คนรู้จัก เพียงแต่นั้นเป็นแค่ฉากบังหน้าเพราะอวี้หลันได้พูดคุยตกลงกับชายหนุ่มเอาไว้แล้วว่าหลังจากแต่งงานเสร็จตนเองจะไปอยู่ที่จวนข้าง ๆ จวนของนาง ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่คิดที่จะคัดค้าน เพราะเขานั้นตามใจหญิงสาวอยู่แล้ว ขอเพียงนางอยู่แล้วมีความสุขไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ล้วนแต่ยินดีทั้งสิ้นวันนี้ในเมืองหลวงต่างก็เต็มไปด้วยขบวนเจ้าบ่าวที่ในตอนนี้ร่างสูงสง่างามสวมชุดสีแดงสดนั่งสง่าอยู่บนหลังอาชาสีขาวตัวโปรดกำลังมุ่งหน้าไปยังจวนของว่าที่พระชายาที่เพียงแค่ขบวนสินสอดก็ยาวไปจนแทบจะสุดประตูเมือง ด้วยเกวียนขนหีบกว่าสามร้อยหีบไหนจะมีสิ้นเดิมของเจ้าสาวที่เหล่าท่านตาท่านลุงของนางนั้นมอบให้อีกกว่าสองร้อยกว่าหีบอีกเล่า เรียกได้ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ของทั้งสองคนนั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเหล่าชาวบ้านและเหล่าคุณหนูต่าง
ในที่สุดก็มาถึงวันนัดส่งมอบสินค้าของชาวหัวแดงกับกลุ่มของผู้ช่วยเผิงเจียง โดยพวกมันนั้นได้นัดพบกันที่แนวชายป่าใกล้ ๆ กับเมืองท่าที่พวกมันมักจะใช้เป็นจุดนัดพบส่งของกันอยู่บ่อยครั้งนั่นเองซึ่งข่าวเรื่องสถานที่ในการนัดพบของพวกมันนั้นเป็นชินอ๋องที่ส่งหน่วยองครักษ์ลับไปสืบข่าวมาจนได้รู้สถานที่ชัดเจนในครั้งนี้ ดังนั้นในวันนี้กลุ่มของนายท่านซ่งกับบุตรชายจึงได้เดินทางมายังสถานที่นัดพบกันในครั้งนี้กลุ่มของซ่งเฉิงป๋อนั้นทราบถึงกำหนดการจัดส่งสินค้าของพวกมันนั้นคือเวลายามซื่อของวันนี้และในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะถึงกำหนดเวลานัดของพวกมันแล้วเมื่อกลุ่มของซ่งเฉิงป๋อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้วทั้งสามคนพ่อลูกรวมทั้งเหล่าองครักษ์อีกกว่ายี่สิบนายต่างก็ซุ่มอยู่ในที่กำบังอย่างเงียบเชียบไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มก็ได้ยินเสียงของรถม้าหลายคันกำลังวิ่งตรงมายังทิศทางที่พวกเขารออยู่เมื่อรถม้าทั้งสามคันจอสนิทลงที่จุดนัดพบก็เป็นเวลาเดียวกันกับเกวียนวัวของพวกกลุ่มพ่อค้าชาวหัวแดงเองก็มาถึงยังสถานที่นัดหมายเช่นเดียวกันหลังจากที่รถม้าจอดสนิทดีแล้วนั้นไม่นานก็มีบ
“คุณหนูซ่งรับราชโองการ....เนื่องด้วยคุณหนูซ่งอวี้หลันนั้นเป็นสตรีที่มากความสามารถอีกทั้งยังเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาทอ่อนหวานเรียบร้อย จึงประทานสมรสพระราชทานให้แต่งเป็นพระชายาเอกในชินอ๋องจวินซีฮันในอีก 7 วันต่อจากนี้จบราชโองการ.....”จบราชโองการทั่วทั้งจวนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบไม่เว้นแต่หญิงสาวเองที่ตั้งตัวไม่ทันว่าตนเองจะต้องแต่งงานให้กับชายหนุ่มในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี่เองในตอนนี้หญิงสาวจึงได้ยังคงก้มหน้าเงียบจนเสี่ยวอิงต้องสะกิดเพื่อให้คุณหนูของตนรีบตอบรับราชโองการโดยไว“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี เพคะ”จบคำของหญิงสาวกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ก็ยื่นราชโองการสีเหลืองทองมาตรงหน้าของหญิงสาวจากนั้นมือบางจึงได้ยื่นไปรับมาถือไว้พร้อมกับเอ่ยขอบใจกงกงชราตรงหน้า“ลำบากท่านหม่ากงกงแล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวอิงเจ้าจงตามไปส่งท่านหม่ากงกงให้ข้าด้วยนะ”ประโยคแรกนั้นหญิงสาวเอ่ยกับกงกงชราตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนที่หญิงสาวจะหันไปเอ่ยกำชับกับสาวใช้คนสนิทอีกทั้งยังกำชับให้อีกฝ่ายมอ
ความเงียบยังคงปกคลุมไปทั่วชายป่าที่พวกเขายืนอยู่ หลังจากเอ่ยกับผู้เป็นตาเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นอวี้หลันจึงได้หันหน้าไปมองยังก็ผิงซานคุนก่อนที่ริมฝีปากบางของนางจะเริ่มเอ่ยวาจาออกมา“นายท่านเผิงกล่าวมาเมื่อครู่นี้ข้าเองก็เห็นด้วยกับพวกท่านนะเจ้าคะ คนทำผิดคิดชั่วย่อมสมควรได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม แต่ที่ข้าไม่เห็นด้วยก็คงจะเป็นคนที่ต้องโทษคิดกบฏนั้นหาใช่ตระกูลซ่งของข้า แต่เป็นตระกูลเผิงของพวกท่านต่างหากเล่า”“ท่านอย่าได้คิดจะเอ่ยปากแก้ตัวเพราะข้ากับท่านอ๋องนั้นต่างก็เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ที่พวกท่านมาถึงจนพูดคุยตกลงเกี่ยวกับการค้าในครั้งนี้จนไปถึงการส่งมอบสิ่งของพร้อมกับเงินทองเพื่อแลกเปลี่ยนกันแล้วอย่างไรเล่า”“นี่คงจะเพียงพอที่จะเอาผิดพวกท่านได้แล้วกระมัง แล้วไหนจะยังมีหัวหน้านายกองที่รับสินบนทั้งยังทำงานให้กับท่านมิใช่ให้กับฝ่าบาทเพียงเท่านี้ข้าคิดว่าโทษของตระกูลท่านก็คงจะมีหัวไม่พอให้ประหารชดใช้ความผิดแล้วละ”คำพูดของหญิงสาวทุกคำที่เอ่ยออกมานั้นช่างราวกับคมมีดที่กรีดลึกลงไปสุดขั้วหัวใจของคนฟังยิ่งนัก ไหนจะยังสามารถแจกแจงความผ