บนทางเดินหน้าเรือนหอ
เหอหย่งหมิงพาร่างสูงในชุดเจ้าบ่าวของตนเองเดินมาเรื่อยๆ เพื่อระงับอารมณ์เดือดดาล มิให้ตนเองพลั้งมือทำร้ายสตรีผู้เป็นเจ้าสาว ถึงแม้ว่าเขาจักฆ่าศัตรูโดยไม่ต้องคิด หากแต่การทำร้ายนางในคืนแต่งงานคงมิใช่เรื่องดีแน่
และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ การแต่งงานกับลี่เหยาถิงนั้น ถูกรับสั่งคล้ายกลั่นแกล้งกันว่าให้นางอยู่เรือนหลักของเขา ซึ่งห้องหนังสือของเขาก็อยู่ติดกัน ทำให้เขาต้องเดินออกมาอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้
ชั่วจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเดินอย่างหงุดหงิดจากห้องหอ เบื้องหน้าพลันปรากฏเงาร่างอรชรของคนคุ้นตา
นางมีโครงหน้าธรรมดา มิใช่สตรีงดงามโดดเด่น
ทว่าท่าทางอ่อนโยน น้ำเสียงอ่อนหวานของนาง ทำให้เขาพึงใจได้ไม่ยากเย็น
เพ่ยจี...
เหอหย่งหมิงเรียกหญิงคนรักอยู่ในใจ รู้สึกผิดจนมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาใดได้
หานเพ่ยจี คือคนรักของเหอหย่งหมิง
ชายหนุ่มได้เจอกับหญิงสาวครั้งแรกที่ตลาด นางกำลังเดินซื้อของอย่างเพลิดเพลินกระทั่งเดินมาชนกับเขาที่บังเอิญเดินผ่านพอดี
อีกครั้งก็ตอนที่นางได้รับบาดเจ็บที่มือขวา ขอให้เขาทำแผลให้ ถึงแม้ว่าเขามิได้คิดอะไร แต่น้ำใจเล็กน้อยเช่นนั้น เขาไม่คิดที่จะหวงแหนแต่อย่างใด
ทว่าครั้งสุดท้ายที่บังเอิญเจอกันอีกคราที่เชิงเขางดงามแห่งหนึ่ง ก็คือเมื่อครั้งที่นางกับเขาเจอกับโจรป่า
เขาเกิดพลาดท่าเสียทีโจรป่ากลุ่มหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บสิ้นสติสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงได้เจอนางที่ไม่หนีหาย นางคอยดูแลใส่ใจอยู่ข้างกาย
หลังจากนั้นทั้งสองก็คบหากันมาได้ระยะหนึ่ง
ทว่าเพียงไม่นาน พระราชโองการมอบสมรสพระราชทานพลันบังเกิด
เหอหย่งหมิงต้องแต่งงานกับสตรีนามว่าลี่เหยาถิง
สตรีที่มักจะปรากฏตัวทุกครั้งที่เหอหย่งหมิงอยู่กับเพ่ยจี ไม่ว่าจะในตลาด โรงน้ำชา เหลาอาหาร งานประจำปี
ทุกที่ที่ชายหนุ่มไปกับเพ่ยจี ก็จะมีลี่เหยาถิงปรากฏกายคอยเป็นมารความรักของเขาอยู่ร่ำไป
จากที่เขามิใคร่จะใส่ใจ กลับรู้สึกขัดเคืองใจขึ้นมา กระทั่งถึงวันแต่งงาน และค่ำคืนแห่งการเข้าหอนี้ ที่เหอหย่งหมิงหลุดกิริยาสุขุมเยือกเย็นที่เคยมี สะบัดชายผ้าเดินจากมา
“ท่านแต่งงานแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่อาจไม่มาหาท่าน” เสียงแว่วหวานสั่นเครือของเพ่ยจีเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบที่กำลังโรยตัวโอบล้อมร่างสูงในอาภรณ์เจ้าบ่าว
หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องหอ ใบหน้าขาวผ่องมีแต่คราบน้ำตา นางเงยหน้ามองร่างสูงในชุดแดง ดวงตาของนางสะท้อนความขมขื่นเต็มไปหมด
เหอหย่งหมิงยังคงยืนนิ่ง มองคนรักอยู่เงียบๆ ทั่วร่างสง่าแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบตลอดเวลา แม้จะรู้สึกผิดมาก หากแต่ก็ไม่อาจแก้ต่างอันใด นอกเสียจากการยอมรับความจริง
“ข้าจะแต่งเจ้าเป็นภรรยารอง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา ทว่าหนักแน่นยิ่งนัก
เพ่ยจีส่ายหน้าไปมา นางกลับตาลงปล่อยน้ำสีใสให้ไหลกลิ้งไปตามพวงแก้มแลดูน่าเวทนานัก เส้นเสียงเบาหวิวเอ่ยตัดพ้อไม่คิดยอมความ “ท่านสัญญากับข้า ว่าจะมีข้าเพียงคนเดียว”
ร่างสูงนิ่งเงียบไป รู้สึกสำนึกผิดอยู่ลึกๆ ไร้ซึ่งคำพูดโต้แย้ง
ใบหน้าซีดเซียวของเพ่ยจีเต็มไปด้วยความข่มขื่น นางยังกล่าวต่ออีกว่า “ชั่วชีวิตของข้า หานเพ่ยจี สาบานเอาไว้แล้วว่า จะไม่ยอมเป็นภรรยารองใคร และจะไม่ใช่สามีร่วมกับใครทั้งนั้น”
ใบหน้าหล่อเหลาแข็งกระด้างในชั่วพริบตา รู้สึกปวดใจดั่งถูกบีบเค้น เขาเอ่ยเสียงเย็นออกมา “ข้าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว ส่วนภรรยาสมรสพระราชทาน ข้าจะไม่แตะต้องนาง”
แต่เพ่ยจียังคงส่ายหน้าน้อยๆ ร่ำไห้ไม่หยุด เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแว่วหวานสั่นเครือว่า “ถึงแม้ข้าจะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ทว่าข้าไม่ต้องการตำแหน่งภรรยารองของใครทั้งนั้น”
กล่าวจบก็ผินหน้าหนีแล้วหมุนตัวเตรียมเดินผละจาก ทว่าวงแขนแข็งแกร่งกลับตวัดรัดร่างนางเอาไว้
“เพ่ยจี” เสียงแหบพร่าของเหอหย่งหมิงดังขึ้นที่ข้างหูนาง “ข้ายอมเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังดื้อดึง ทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยต้องยอมใคร นิสัยของข้าหยิ่งทะนงเพียงใด เจ้าย่อมรู้ดี คนอย่างข้ามิใคร่ต้องคอยตามเอาใจอิสตรีเสมือนคนไร้ศักดิ์ศรี หากเจ้าไม่คิดฟังความกัน เช่นนั้นก็ควรสะบั้นรักข้าให้ขาดเสีย อย่าได้มาหลั่งน้ำตาต่อหน้าข้าเยี่ยงนี้”
สิ้นประโยคยาวเหยียดนั้น ร่างบางในอ้อมแขนพลันชะงักนิ่งแข็งทื่อ แต่เพียงอึดใจก็สั่นเทาเล็กน้อย แล้วค่อยๆ หันหน้าเข้าหาร่างสูง
นางเงยหน้ามองเขาอย่างเจ็บปวด ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยความข่มขื่น ก่อนจะซุกซบแผงอกอุ่นยอมสยบในที่สุด แต่กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม คล้ายกับไม่คิดจะน้ำตาเหือดแห้งหมดไปจากสองดวงตาที่บัดนี้ฉ่ำชื้นจนน่าสงสาร สองแก้มนวลผ่องแกงก่ำไปหมด
เพ่ยจีสร้างสถานการณ์ทำทีบังเอิญเจอกับเหอหย่งหมิงบ่อยๆ ใช้ความอ่อนโยนอ่อนหวานกิริยางดงามเข้ามัดใจ แม้แต่ความอ่อนแอเพื่อให้บุรุษปกป้อง นางก็นำมาใช้ชายชาตินักรบที่มีนิสัยหยาบกระด้างเติบโตมากับค่ายทหารจนอายุยี่สิบปี ไม่เคยได้สัมผัสมารยาแห่งสตรีวังหลังอย่างเหอหย่งหมิงจึงหลงกลโดยง่ายกระทั่งไม้ตายที่จักทำให้เขากลายเป็นคนรักนางก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นเพ่ยจีทำตัวเองให้บาดเจ็บและอยู่ในภาวะอ่อนแอเพื่อให้เหอหย่งหมิงเข้าช่วยเหลือโดยบังเอิญ ก่อเกิดสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าคนคุ้นเคยกัน เนื่องจากบังเอิญเจอกันบ่อยเหลือเกินต่อมาหญิงสาวยังว่าจ้างอันธพาลที่เห็นแก่เงินให้ติดต่อกับโจรป่าเข้ามาทำร้ายเหอหย่งหมิง ยามที่นางกับเขาได้เจอกันตรงเชิงเขาอันมีทิวทัศน์งดงามในแผนนั้นนางแสร้งทำเป็นตัวถ่วงให้เขา ด้วยการกระโดดกอดขาเขา กอดแขนเขา ยามที่เขากำลังต่อสู้จนกระทั่งเขาพลาดท่าแล้วบาดเจ็บ นางก็ดูแลเขาอย่างดี ไม่ทิ้งกันไปที่ใดจนเขาซาบซึ้งใจ นางจึงบอกรักเขาและขอคบหาเพื่อดูใจอย่างเปิดเผยเรื่องนี้หากไม่บอกต่อก็ไม่สนุก!เพ่ยจีจึงได้บอกกล่าวกับลี่เหยาถิงทุกเรื่องราวหลังจากที่ได้คบหากับเหอหย่งหมิงแล้วเป็นที่เรียบร้อยเป
บนเชิงเขาที่กำลังมีหญิงสาวสองคนยืนจ้องหน้ากันด้วยสายตาดุเดือดปะทะกันกลางอากาศหนึ่งคือสตรีรูปโฉมงดงามมั่นใจในตนเอง ท่าทางสูงส่งไม่เคยลงให้ใคร กับอีกหนึ่งเป็นเพียงสตรีรูปร่างธรรมดาแต่ท่าทางอ่อนหวานแลดูอ่อนโยนจริงใจทั้งสองยืนมองกันด้วยประกายตาคล้ายมีขุมพายุโหมกระหน่ำที่บ่งบอกได้ว่าเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนานเหตุที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากทั้งสองเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กในพระตำหนักของไทเฮา และยิ่งสนิทสนมเมื่ออยู่นอกเขตพระราชฐาน ยามดำเนินมายังวังข้างนอกเพื่อไหว้พระและเชิงเขาแห่งนี้ พวกนางก็เคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเพ่ยจีเป็นบุตรสาวของนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาที่พระนางทรงรักดั่งน้องสาว พระนางจึงมอบพระเมตตาให้มารดาของเพ่ยจีแต่งงานกับชายคนรักได้อย่างใจกว้างเมื่อถึงวัยเพียงยี่สิบปีซึ่งเดิมทีตามกฎแล้วนางกำนัลจักได้ออกไปแต่งงานได้นั้น ต้องอายุยี่สิบห้าปีแต่กระนั้นชีวิตคู่กลับไม่ราบรื่น มารดาของเพ่ยจีถูกชายคนรักนอกใจทิ้งกันไปหลงใหลเพียงภรรยาใหม่ หลายวันที่หายหน้าเขากลับมาพร้อมหญิงแพศยา ทั้งๆ ที่สามารถรับเป็นอนุหรือภรรยารอง หากแต่นังนั่นกลับไม่พอใจ ต่อมาสามียังรวมหัวกับภรรยาใหม่คิดไม่ซื่อต
พระราชพิธีพระศพของไทเฮาผ่านพ้นไปแล้วจนสิ้นหากแต่ลี่เหยาถิงยังคงเศร้าสลดไม่เจือจาง นางยังคงโหยหาท่านยายทุกวัน ครั้นนึกขึ้นได้ว่าชีวิตมิได้มีเพียงเท่านี้ นางจึงพาร่างของตนเองมายืนทอดอารมณ์คิดคำนึงถึงบุคคลสำคัญในชีวิตยังเชิงเขาชายป่านอกเมือง ที่ซึ่งนางมักจะแอบหนีมาเล่นซน จนท่านยายทนไม่ไหวต้องลอบเสด็จตามมาเที่ยวด้วยกันหลายปีมาแล้วที่เชิงเขาแห่งนี้ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือตัวบุคคลที่โรยราตามวัยส่วนตัวนางที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อย ก็เติบใหญ่เป็นสาวงามสะพรั่งประโยคนี้ล้วนเป็นท่านยายที่พูดให้นางฟังท่านยายบอกว่า ยามที่นางยังเป็นเด็ก นางมีส่วนคล้ายท่านพ่อ แต่เมื่อโตขึ้นจนอายุสิบห้านางกลับเหมือนท่านแม่ความงดงามที่ล้ำเลิศนี้ ทำบุรุษมากหน้าต่างหมายปอง แต่ทว่าด้วยใจที่ยึดติดไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด จึงทำให้นางเฝ้ารอเหอหย่งหมิงมาโดยตลอดลี่เหยาถิงไม่เคยคิดว่าตนเองทำผิด ที่นางปักใจรักใคร่ชายผู้นี้ตั้งแต่นางจำความได้และรับรู้เรื่องราวของลุงเหอผ่านท่านยายที่เล่าให้ฟัง นางก็ฝังใจมาโดยตลอดว่าเหอหย่งหมิงย่อมเหมือนกับลุงเหอผู้เป็นบิดาของเขาแม้จะยังไม่เคยพบหน้าแต่ทว่านางก็ยังรอคอยที่จะไ
เหอหย่งหมิงอาศัยอยู่กับมารดาอีกเมืองหนึ่ง ส่วนลุงเหอ พ่อของเขาเป็นทหารประจำกองทัพให้กับหุบเขาเชื่อมใจกระทั่งมารดาของเขาตาย บิดาของเขาจึงพาเข้าเมืองหลวง และเลี้ยงดูในค่ายทหาร กระทั่งบิดาของเขาตายในสนามรบเพื่อปกป้ององค์เหนือหัว คงเหลือเขาที่แสดงฝีมือแทนบิดาสืบมาจนได้เป็นแม่ทัพและได้นางเป็นรางวัลนี่ล่ะนางยังจำได้ว่าครั้งแรกที่นางเจอเหอหย่งหมิง ยามนั้นนางในวัยเด็กแปดหนาว เขาอายุสิบสามนางได้เจอเขาที่ไปร่วมงานในพระราชวังกับบิดาของเขา นางวิ่งเล่นลับตาบ่าวรับใช้จนข้อเท้าแพลงเดินไม่ได้ เขาเห็นเข้าก็เลยช่วยนางไว้เขาให้นางขี่หลังจนกลับมาถึงตำหนักไทเฮา จากนั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่ได้เจอเขาอีกทว่าข่าวคราวของเขาก็มาถึงนางโดยตลอด เป็นนางที่ขอให้ท่านยายส่งคนไปสืบมา ไม่ว่าเขาจักไปประจำยังชายแดนฝั่งใดของแว่นแคว้น ล้วนไม่เกินสายลับของท่านยายเรียกได้ว่า นางแอบหลงรักเขาเพราะบิดาของเขานั่นล่ะแต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ทุกข่าวของเขาและการกระทำที่กล้าหาญต่างๆ ของเขา ยิ่งทำให้นางมีรักปักใจนี่คือนิสัยของลี่เหยาถิง ซึ่งไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาและบิดาเลยสักนิดนอกจากดื้อรั้นเอาแต่ใจ นางยังเป็นสตรีที่เที่ยงตรงและเ
หนึ่งเดือนต่อมา...สตรีร่างระหงของสาวสะพรั่งวัยสิบหกหนาวในอาภรณ์หรูหราสมฐานะฮูหยินหนึ่งเดียวแห่งจวนแม่ทัพเหอ นางยังคงนั่งจิบชาอยู่ริมหน้าต่างในห้องส่วนตัวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่สร่างซา ใบหน้างดงามราวเทพธิดาบึ้งตึงตลอดเวลา ประกายในดวงตาราวดวงดาราบนฟากฟ้าก็เผยเพียงความแค้นเคืองไร้ที่สิ้นสุดฝ่ามือเรียวเล็กปัดกาน้ำชาบนโต๊ะทิ้งอย่างแรง ยังผลน้ำชาอุ่นหกกระเซ็นไปทั่วบ่าวไพร่ที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้องได้ยินเสียงแตกของกระเบื้องเคลือบดังลั่นเช่นนั้น ก็ได้แต่ยืนตัวสั่น ไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งเรียกหา พวกนางย่อมไม่กล้าเปิดประตูเสนอหน้าทั้งนั้นลี่เหยาถิงกำมือแน่นทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรงหมายระบายโทสะที่มันแน่นจนคับอกนางโกรธเหอหย่งหมิงจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรนางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงชอบแต่เพ่ยจี สตรีนางนั้นมีดีที่ใด และยิ่งไม่เข้าใจยิ่งกว่า ก็คือเขาทิ้งนางไปหลังจากแต่งงานกันนับตั้งแต่คืนเข้าหอจนกระทั่งถึงวันนี้ เขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในค่ายทหารถึงแม้ไม่กี่วันหลังจากแต่งงาน เขาจะกลับมารับตัวนางไปยกน้ำชาตามประเพณี ทว่านางกลับมองไม่เห็นอะไรเลยในสายตาคมดำของเขานอกจาก
แสงตะวันเบิกฟ้าเสียดแทงหมู่เมฆาลงมาจนเบื้องล่างนภาสว่างจ้าไปทั่ว เหล่าสกุณาขับขานร้องรับกันดังไกลเป็นทอดๆบนเตียงนอนกว้างใหญ่ภายในห้องหอที่เกิดเหตุการณ์ร้อนแรงเมื่อยามค่ำคืน บัดนี้คงเหลือเพียงความยับเยินให้ได้เห็นเหอหย่งหมิงลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายที่ยังคงนอนหลับใหลในสภาพเปลือยเปล่าร่างสง่าที่ไร้อาภรณ์เช่นกันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเพื่อดึงสติของตนเองให้กลับมาสายตาคมปลาบเหลือบไปมองคนข้างกายกัน เห็นนางยังคงหลับตาพริ้มไร้วี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเนื้อตัวขาวผ่องนวลเนียนของนางบัดนี้มีแต่ริ้วรอยเป็นจ้ำเต็มไปหมด เนื้อนุ่มอิ่มน้ำหลายจุดมีรอยฟันขบกัดไม่ไกลกันมีร่องรอยของผ้าปูเตียงที่ยับย่น อันเกิดจากการพัวพันระหว่างเขากับนาง ทั้งยังมีคราบเลือดสีแดงฉานเป็นด่างเป็นดวงปะปนกับคราบน้ำขาวขุ่นไปทั่ว กลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั้งห้องชายหนุ่มจำได้ดี ว่าเขาเข้าหอกับนางได้ร้อนเร่าปานใด และร้อนแรงแค่ไหนเดิมทีเขามิใช่บุรุษหยาบช้าหรือเป็นชายกักขฬะ ที่ทำการร่วมรักกับสตรีรุนแรงเช่นนี้และยิ่งไม่เคยเสียการควบคุมตัวตนเลยสักคราแต่ทว่าเมื่อคืน เขากลับเกิดอาการกระสันจนเกินยับยั้ง ทั้งยังหลุดการควบคุมอารมณ์กำหนัดข