LOGINสิ้นเสียงสะบัดอาภรณ์สีแดงสดของเจ้าบ่าว
ร่างระหงในอาภรณ์สีเดียวกันของเจ้าสาวพลันนิ่งงัน ความยียวนบนหน้ามลายหายไปจนสิ้น คงเหลือเพียงดวงตาที่ยังทอประกายความร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง
คล้อยหลังร่างสูงที่เดินปึงปังจากไป ลี่เหยาถิงยืนนิ่งมองประตูห้องหอที่ยังเปิดอ้าค้าง ฝ่ามือเล็กในชายเสื้อสีแดงกำเข้าหากันแน่น นางอารมณ์เสียไปหมด รู้สึกเครียดตึงไปทุกสัดส่วน
นางเห็นเหอหย่งหมิงเดินไปไม่เหลียวหลัง อึดใจก็มีร่างระหงอ้อนแอ้นของสตรีนางหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันนิ่งนาน พูดจาใส่กันอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงก็เริ่มร่ำไห้ ตัดพ้อฝ่ายชายเสียงหวาน ครู่หนึ่งก็ทำท่าจะเดินผละจาก หากแต่ยังมิทันได้ก้าวเท้า คนร่างสูงก็ฉุดรั้งเอาไว้
ยื้อยุดกันเล็กน้อย คนตัวเล็กก็หันหน้ามาซบอกแกร่ง ก่อนจะพากันเดินหายไปท่ามกลางความมืดยังเรือนแห่งหนึ่ง
ดวงตาหงส์หรี่มองอย่างนึกขัดเคือง จนแผงขนตายาวงอนกระเพื่อมไหว ฝ่ามือสั่นระริกยิ่งจิกเล็บเข้าเนื้อจนมีเลือดซึม
วันนี้เป็นวันแต่งงานของนางกับเขา และคืนนี้ก็เป็นคืนเข้าหอของเรา
สตรีนางใดก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น!
หญิงสาวมักจะมีนิสัยเถรตรง ไม่เคยลงให้ใครทั้งสิ้น และยิ่งไม่มีการยอมความใดๆ หากว่าเป็นเรื่องของเหอหย่งหมิง บุรุษที่นางมีรักปักใจต่อเขามาเนิ่นนาน
นานจนตัวนางเองก็จำมิได้แล้ว ว่ารักเขาตั้งแต่เมื่อใด
ลี่เหยาถิงเป็นบุตรสาวของพระราชธิดาคนแรกของราชวงศ์เจี้ยนแห่งต้าเจี้ยน นามว่าเจี้ยนหยางจี ซึ่งเป็นถึงพระเชษฐภคินี[1]แห่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ทว่าพระนางยอมละทิ้งฐานันดรถูกถอดพระยศจากองค์หญิงเป็นสามัญชน เพราะไปผูกสมัครรักใคร่กับพ่อค้าหนุ่มคนธรรมดาที่ไร้ความคิดกระทั่งจะสอบบัณฑิตเป็นข้าราชการ นามว่า ลี่เทียนโยว่
เพื่อความรักแล้ว พวกเขาไม่เห็นสิ่งใดสำคัญกว่าทั้งนั้น
ทั้งสองคิดแต่จะอยู่กับธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรจึงหนีตามกันไปไม่สนใจใคร จนเป็นที่ครหาไปทั่วแผ่นดินต้าเจี้ยน
ทว่าต่อมา...คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งหรือบรรพชนทนมิได้ก็สุดจะหยั่งรู้
อดีตองค์หญิงเจี้ยนหยางจีคลอดลี่เหยาถิงออกมาได้เดือนเดียวก็ตายไป ลี่เทียนโยว่ที่รักนางมากจึงตรอมตรมอยู่เนิ่นนานจุดท้ายก็ตรอมใจตายตามภรรยาสุดที่รักไปอีกคน
เด็กทารกน้อยลี่เหยาถิงที่เหลือตัวคนเดียวจึงได้รับพระเมตตาจากองค์ไทเฮา พระนางรับลี่เหยาถิงเข้าวังมาเลี้ยงดูด้วยองค์เอง พระนางทรงรักและทะนุถนอมลี่เหยาถิงมาก
ถึงแม้ว่าหลานคนนี้จะมิได้รับการอวยพระยศให้เป็นองค์หญิงด้วยการกระทำของมารดาแต่เก่าก่อนส่งผลให้ถูกคัดค้านจากเหล่าขุนนางที่คร่ำเคร่งกฎมณเฑียรบาล แม้แต่อำนาจของโอรสสวรรค์ก็มิอาจต้านทาน ด้วยกฎนี้ศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือบรรพชน เพื่อมิให้เกิดข้อพิพาทจนกลายเป็นครหาให้วุ่นวาย ไทเฮาจึงทรงปล่อยไปตามนั้น ทว่าน้ำหนักความรักในพระทัยของไทเฮาที่มีต่อลี่เหยาถิงนั้นย่อมเหนือกว่าใครทั้งหมด
ลี่เหยาถิงจึงเป็นหลานสาวคนโปรดที่ไทเฮารักใคร่ยิ่งกว่าองค์หญิงอื่นๆ ในจักรพรรดิเจี้ยนหยางฉีเสียอีก สาเหตุก็มาจากในครั้งอดีตนั้น ไทเฮาทรงรักพระราชธิดาองค์นี้มาก
และลี่เทียนโยว่ก็เป็นบุรุษที่ดี รักเจี้ยนหยางจีจากใจจริง กระทั่งลาภยศเงินทองอันใดเขาก็ไม่สนใจ
เขาใส่ใจเพียงเจี้ยนหยางจีเท่านั้น
ทั้งสองรักกันอย่างสุดซึ้ง
ไทเฮาทรงเข้าใจดีกว่าผู้ใด ว่าการมีชายที่รักยิ่งและอยู่ด้วยกันเป็นผัวเดียวเมียเดียวจนแก่เฒ่านั้น มีค่ายิ่งกว่าการมียศถาบรรดาศักดิ์มากโข ไทเฮาจึงทรงปิดตาข้างหนึ่งในเรื่องความรักของเจี้ยนหยางจีมาโดยตลอด จะว่าให้ท้ายกันก็ไม่เชิง
กระทั่งทั้งสองได้อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนอย่างเป็นสุข ใช้ชีวิตสมถะไร้การแก่งแย่งชิงดีแห่งราชสำนัก ทรัพย์สินเงินทองล้วนปฏิเสธโดยสิ้น ทำตัวเป็นเพียงชาวป่าชาวเขาธรรมดา หากินกับธรรมชาติอย่างสงบ
แต่ใครไหนเลยจักคาดคิดว่า ชีวิตคู่ของพวกเขาจะกลายเป็นเช่นนี้
จบลงเยี่ยงนี้…
ลี่เหยาถิงจึงเป็นเด็กน้อยที่อยู่ในความคุ้มครองดูแลของไทเฮาอย่างประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในหิน ประหนึ่งนางเป็นเพียงใยเปราะบางของเส้นไหมทองคำล้ำค่า
แม้แต่ฮ่องเต้เจี้ยนหยางฉียังต้องทรงเห็นดีเห็นงามในทุกการกระทำของนาง ไม่เคยบ่นว่า ด้วยไม่ต้องการขัดใจพระมารดา และอีกหนึ่งประการก็คือ ราชวงศ์เจี้ยนในอดีต ที่มีไทเฮายามนั้นเป็นฮองเฮาแห่งแผ่นดิน ทรงมีพระราชธิดาและพระโอรสเพียงเท่านี้ ก็คือเจี้ยนหยางฉีและเจี้ยนหยางจี นอกนั้นก็คือโอรสและธิดาของสนมคนอื่นจนสิ้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็คือเจี้ยนหยางฉี จึงทรงมีพระเชษฐภคินีร่วมอุทรเพียงหนึ่งเดียวก็คือเจี้ยนหยางจีนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ลี่เหยาถิงจึงเติบโตมาเป็นสตรีที่มีนิสัยดื้อรั้น มีความคิดเป็นของตนเอง เรียกได้ว่าแม้ไร้ยศศักดิ์แต่กลับหยิ่งผยองเพราะมีคนถือหาง ทั้งยังหยิ่งทะนงเที่ยงตรงไม่เคยลงให้ใครและเอาแต่ใจมากล้น อยากได้อะไรก็ต้องได้ รวมทั้งบุรุษที่นางมีรักปักใจ
เหอหย่งหมิง!
[1] พระเชษฐภคินี หมายถึงพี่สาว
หลังจากผ่านค่ำคืนร่ำลาด้วยสุราหลายไหยามเช้าย่ำรุ่งผ่านเข้ามาจึงถึงเวลาเอ่ยคำลาที่แท้จริงท่านหมอซุนยังคงเอ่ยสำทับอีก หากว่ามาเยี่ยมเยือนกันคราวหน้า ให้มีลูกเล็กมาด้วยจึงจะดีลี่เหยาถิงได้ฟังก็หน้าแดงหูแดงก้มหน้ารับคำพึมพำ ในขณะที่เหอหย่งหมิงสบประสานสายตากับท่านหมอแน่วนิ่งด้วยความหมายที่รู้กันเฉพาะพวกเขาว่าท่านหมอบำรุงนางอยู่สองปีเพื่อการนี้…เนื่องจากลี่เหยาถิงเคยตกเลือดจนอวัยวะภายในช้ำหนัก การมีลูกอีกคราเกรงว่าจะยากนัก ท่านหมอจึงปรุงยาบำรุงให้นางมาโดยตลอด และยังมอบให้เหอหย่งหมิงทั้งหมด จากนี้ความสามารถเรื่องทายาทก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นสามีแล้วเหอหย่งหมิงพาลี่เหยาถิงเดินทางออกมาจากหมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวงมาถึงเมืองหลวงในหลายวันถัดมาชายหนุ่มตัดสินใจพาหญิงสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซึ่งนับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก ที่เหอหย่งหมิงยังไม่ตายยิ่งกว่านั้น หลานสาวของพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่สวรรค์!แล้วศพเหล่านั้นคืออันใด?ดวงพระเนตรหรี่มองตลอดเวลาอย่างไม่อยากเชื่อถือว่าจะเป็นไปได้ “โชคดีเหลือเกินที่เรายังมิได้เรียกคืนจวนแม่ทัพแล้วส่งต่อ
ผ่านไปอีกสองวันสองคืน ในที่สุดการแข่งขันก็รู้ผลผู้ชนะสูงสุดของการประลองคือเหอหย่งหมิงที่สามารถกำชัยคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักเหอเสียงคนใหม่เอาไว้ได้ตามประสงค์หลังงานเลี้ยงแต่งตั้งเจ้าสำนักจบลง เหอหย่งหมิงที่ใช้นามว่าฉางยวนก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในการจัดการสำนักให้อยู่ในที่ในทางเหอหย่งหมิงที่เป็นถึงแม่ทัพดูแลทหารในอาณัติแห่งราชสำนักนับสิบหมื่น จึงมิใช่เรื่องยากหากฉางยวนจะดูแลสมุนในอาณัติของเหอเสียง เปลี่ยนรูปแบบของเหอเสียงแห่งโจรป่าเป็นสำนักคุ้มภัยในใต้หล้าเรื่องนี้ชายหนุ่มได้รับวาจาเห็นชอบจากเจ้าแห่งยุทธภพที่ควบคุมเหนือพิภพด้วยตนเอง จึงง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือยามบ่ายฟ้าใสไร้เมฆบดบังแสงตะวันพาให้สายลมอุ่นร้อนโชยผ่านผืนป่าเขียวขจีระลอกแล้วระลอกเล่าจากเดือนหนึ่งล่วงเลยไปอีกเดือนหนึ่งเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดท่านหมอเทวดาก็เดินทางกลับมาจากหาสมุนไพรในป่าใหญ่เหนือหุบเขายอดเมฆาท่านหมอผู้นี้มีนามว่า ซุนผินเขาเป็นชายวัยกลางคน รักสันโดษแต่ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยวิชาแพทย์ที่มีเหนือสามัญหากเปรียบเป็นนักพรต เขาย่อมเป็นนักพรตที่ตบะสูง หากเปรียบเป็นชาวยุทธ์ คงไม่แคล้วเป็นรองเพียงเจ้ายุทธภพ
ท้องฟ้าแจ่มใสหมู่เมฆเคลื่อนหายเหล่านกกาบินขับขาน ยามใดที่มีเทศกาลในหมู่บ้าน ทั้งสี่คนก็มักจะจับจูงมือกันเป็นคู่ๆ ไปเที่ยวชมงานวันนี้ก็เช่นกัน หมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวง กำลังมีงานครื้นเครงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสำนักเหอเสียงแห่งยุทธภพกำลังขาดผู้นำสูงสุด เพราะเจ้าสำนักคนเก่าหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าสำนักคนใหม่นามว่าเฉิงอู่ก็ครองตำแหน่งได้เพียงสามวันพลันจบชีวิตลงอย่างปริศนา อีกทั้งสำนักเหอเสียงแห่งเดิมก็โดนถล่มจนพินาศย่อยยับไม่เหลือซาก ต่อมาเจ้ายุทธภพที่ควบคุมทุกสำนักในใต้หล้าจึงได้ก่อตั้งสำนักเหอเสียงขึ้นมาใหม่ให้อยู่ในอาณาเขตหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติอดีตจอมกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นและจัดงานประชันผู้กล้าขึ้นมา เพื่อคัดเลือกนายเหนือหัวแห่งเหอเสียงคนใหม่ เพื่อเป็นหลักให้ลูกสมุนที่ไร้หัวเหลือแต่หางงานนี้เซียนเซียนจึงส่งเหวินเต๋อร์เข้าประลอง เผื่อว่าจะได้นั่งในตำแหน่งนายหญิงของเจ้าสำนักเหอเสียงแต่ทว่า...หญิงสาวได้หลงลืมไป ว่าสามีตนมิใช่ยอดฝีมือ งานนี้จึงได้เห็นสามีพ่ายแพ้ยับเยิน เซียนเซียนจึงได้แต่ปลอบใจ ว่าไม่เป็นไร ที่บ้านใกล้หมอและมียา หากเหวินเต๋อร์ตายไปก็จะหาสามีใหม่เ
นางกล่าวเสียงเข้มแม้พวงแก้มจะแดงก่ำไปทั่วถึงลำคอเหอหย่งหมิงได้แต่เหม่อมองริมฝีปากนาง ด้วยดวงตาทอประกายร้อนแรงแห่งเพลิงปรารถนากระทั่งถูกฝ่ามือเล็กเอื้อมมาปิดตานั่นล่ะ เขาถึงได้สติกลับมาจากการถูกปีศาจราคะครอบงำ เห็นคนงามส่งค้อนวงใหญ่ใบหน้างอง้ำ จึงตีท่าทางเคร่งขรึมนั่งนิ่งให้นางทายากว่าจะได้กินข้าว ก็หยอกเย้ากันในห้องครัวจนไฟแทบลุกเผาไหม้เครื่องเรือนอยู่เป็นนานหลังมื้ออาหารตามด้วยดื่มยาจนหมดเทียบตามคำสั่งเฉียบขาดของภรรยา เหอหย่งหมิงจึงได้เอ่ยคำอีกครั้ง“เราควรกลับบ้านกันได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ลี่เหยาถิงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะกลับไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางมีสามีพากลับบ้าน ย่อมแตกต่างจากการที่นางรอนแรมกลับไปเพียงลำพัง“รอท่านหมอกลับมาจากหาสมุนไพรก่อนเถิด แล้วเราค่อยลาท่านจากไปพร้อมกัน”หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่ม ชายหนุ่มยกยิ้มตอบรับ“ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านหมอเป็นผู้มีพระคุณต่อเราสอง ท่านช่วยชีวิตเจ้าและข้าเอาไว้”เหอหย่งหมิงพอจะจำได้เลือนราง ว่ายามที่เขาตกหน้าผาลงมา มีท่านหมอวัยกลางคนผู้หนึ่งช่วยต่อลมหายใจให้เขาย่างเข้าเดือนสี่ อากาศร้อนกำลังดีเซียนเ
เสียงหายใจหอบกระชั้นสั่นระรัวดังผสานกรุ่นกลิ่นอายวสันต์ เร่าร้อนตลบอบอวลกายแนบกาย ใจชิดใกล้ไม่คิดห่างหายแม้เสี้ยวเวลาเดียว…ถึงแม้เหอหย่งหมิงยังคงนึกหวาดหวั่นว่านางจะจำได้ขึ้นมา ว่าเขาได้ทำพลาดมากมายปานใดแต่ทว่า...ขอเพียงแค่ได้นางคืนมา ได้ยื้อเวลาเพื่อให้นางไม่จากไปไหน จะให้เขาทำอะไร เขายอมทั้งนั้นหวังเพียงอยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีนางให้รักต่อไป ยืดเวลาให้เขาได้พิสูจน์หัวใจต่อนางได้อีกครา ก่อนที่วันหนึ่งความทรงจำนางจักกลับมา แล้วเกลียดเขาวันนั้นอาจจะเป็นวันที่สองเราเชื่อมกายใจผูกพันลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ยากถอนคืนเขาหวังแค่เท่านั้น มีนางเป็นดวงใจตลอดกาล...ยามรุ่งเช้าเข้าวันใหม่ แสงแดดสาดส่องทอประกายไปทั่วใต้นภาในครัวหลังน้อยมีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยวนไปทั่วในอากาศผสมผสานกลิ่นยาขมฝาดแสบจมูก ที่ตั่งตรงโต๊ะในครัวมีสามีภรรยาดูแลเอาใจใส่กันและกันไม่ห่าง“สามีข้า นอกจากงามสง่า ยังกร้าวแกร่งยิ่งนัก”เสียงกังวานของลี่เหยาถิงที่ดังออกมาแฝงไปด้วยแววหยอกเย้าและติติงประชดประชัน ยามนั่งดูบาดแผลให้ชายผู้เป็นสามีที่บัดนี้ปริแตกไปทั่วเนื้อตัว จนนางต้องจัดยาสมุนไพรห้ามเลือดและสมานแผลมาพันให้“เป็
ย่ำรุ่งที่เท่าไหร่มิอาจนับยามต้องนั่งเหม่อมองอย่างไร้ตัวตน ย่ำพลบค่ำที่เท่าไหร่แล้วที่เดียวดายหลั่งน้ำตาถามตนเองซ้ำๆ ว่านางเป็นใครในห้องหับอันโดดเดี่ยวอ้างว้าง นางเฝ้าครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย เฝ้ารอคอยใครบางคนด้วยความทุกข์ระทมไร้ขอบเขตไร้เหตุผลนานเท่าไหร่แล้วที่คาดหวังว่าใครบางคนจักมองมากี่คราแล้วที่หัวใจดวงนี้เพรียกหาเพียงเขาให้เห็นนางด้วยหัวใจอย่างแท้จริงเหอหย่งหมิง...นั่นคือถ้อยประโยควาจาที่ดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงนิทราลี่เหยาถิงสะดุ้งตื่นอย่างตกใจจนร่างอรชรสั่นเทามิอาจควบคุม“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามทันใดเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างระหงในอ้อมกอดที่สั่นไหว นางคล้ายกับตกใจในบางสิ่งหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ จ้องมองฝ่าความมืดสลัวในห้องนอน ที่ยามนี้เปลี่ยนจากทิวาเป็นราตรีมานานแล้ว“หย่งหมิง” ลี่เหยาถิงตะเบ็งเรียกนามเจ้าของอ้อมแขน พร้อมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วเอื้อมมือกุมสันกรามเขา“อันใด?” ชายหนุ่มนึกฉงนระคนหวาดหวั่นพลันระแวง“เป็นท่าน” หญิงสาวกล่าวเสียงดังเหอหย่งหมิงตั้งใจฟังด้วยอาการตัวเกร็ง“อะไร? จำอะไรได้หรือไร?” เกรงกลัวเหลือเกินว่านางจะจำเรื่องราวเลวร้ายได้ แล้วเกลียดเขาเสียงแหล







