เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยตื่นมาด้วยความหอมกลิ่นกรุ่น เหมือนจะเป็นไก่ย่างที่ลอยเข้ามาปลุกนางในยามเช้า จากนั้นนางก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งแล้วมองไปทุกที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ทำอาหารที่ไหนเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไป ท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ส่องกระทบกระต๊อบเล็กหลังนี้ ที่ตั้งอยู่กลางสวนเขียวชอุ่ม กระต๊อบไม้เรียบง่ายมุงหลังคาฟางดูอบอุ่นดั่งอ้อมกอดของธรรมชาติหน้ากระต๊อบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งกุหลาบสีแดงสด ดอกเดซี่สีขาวสะอาด ดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว และดอกไม้ป่าหลากสีที่ชูช่อรับแสงตะวัน เกสรเล็ก ๆ พลิ้วตามลมบางเบา กลิ่นหอมอ่อนหวานลอยเคล้าไปกับเสียงนกร้อง เสมือนบทเพลงที่ต้อนรับวันใหม่ เด็หน้อยสูดหายใจเย็นเข้าไป หยดน้ำค้างที่เกาะบนกลีบดอกส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีเล็ก ๆ แสงอาทิตย์อุ่นละมุนตกกระทบผนังไม้ของกระต๊อบ ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและความสดใสของรุ่งอรุณ เด็กน้อยยืนชมความงามได้สักพักก็จำได้ว่าตัวเองนั้นตามกลิ่นของไก่ย่างออกไปพอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีไก่ย่างเลย
"เด็กน้อยเจ้าตื่นแล้วจะฝึกเลยหรือ ไม่กินอ่ะไรก่อนหรือ" เสียงชายชรากล่าวขึ้น เสียงเขานั้นดังมาจากข้างบนเด็กน้อยจึงออกไปนอกกระต๊อบแล้วมองขึ้นไปก็พบว่าชายชรากำลังนั่งอยู่ข้างบน กลิ่นไก่ย่างก็อยู่บนนั้นเองและกลิ่นหอมของใบชาอ่อนๆนั้นก็ลอยมาจากด้านบน ชายชราผู้นั้นชี้มือไปทางยังด้านหลังของตัวกระต๊อบเด็กน้อยจึงเดินตามและเห็นทางขึ้นเป็นบันไดขนาดเล็กที่ตีติดไว้กับผนังของกระต๊อบซึ่งเดินขึ้นอย่างยากลำบากเด็กน้อยพยายามปีนขึ้นไปด้านบน ก็ต้องตกตลึงอีกครั้งในชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนตอบที่มองว่าหลังเล็กนั้นข้างบนยังมีอีก 1 ชั้นซึ่งเป็นหลังคาฟางที่มุมออกมาประมาณครึ่งของอะตอมแล้วข้างล่างจะเป็นพื้นร่องมองเข้าไปยังใต้ฝั่งนั้นจะมีประตูที่แท้ผู้เฒ่าผู้นี้ก็นอนอยู่ชั้นนี้นี่เองข้างๆยังมีที่วางอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนอีกด้วย และชายชราผู้นั้นก็นั่งอยู่ตรงกลาง โต๊ะข้างหน้าของเขาก็มีนกย่างประมาณสามตัวที่หั่นเป็นชิ้นแล้ว มีถ้วยผักหลายหลายชนิดที่ดองไว้ และในจานนั้นก็เหมือนกับผัดอะไรสักอย่าง แต่ในมือของชายชราคือถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมลงไปด้านล่างนั่นเอง ที่แท้กระต๊อบเล็กๆของชายชราไม่ได้เล็กเลย แอบมีสองชั้น และชั้นบนมองดูแล้วก็น่าอยู่ไม่แพ้ด้านล่างเลย มีของที่ครบครัน เด็กน้อยมองดูขอใช้ในครัวเรือนทีมีพร้อม หม้อต้มยังอยู่บนเตาไฟที่ไฟนั้นกับแล้ว เด็กน้อยจึงคิดถึงเห็ดที่นางเห็นตอนเดินทางมาแต่นางไม่ได้เก็บเพราะว่านางไม่สามารถก่อไฟได้ นางมองดูแล้วอยากอยู่ที่นี่ หากอยู่ที่นี่ได้ตลอดก็คงจะดีถึงแม้ว่าไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธแต่ถ้ามีชีวิตดีเพียบพร้อมแบบนี้แล้ว และไม่มีใครอื่นนอกจากเขาและชายชราก็คงจะดี "เจ้าคิดอะไรละเด็กน้อย ข้าวอยู่บนเตาไปตักมากิน สถานที่นี้ให้เจ้าอยู่ชั่วคราวเท่านั้นและอย่าพึ่งอินไปกับมันมากนัก ตั้งแต่เจ้ามาเข้าก็เหมือนจะชอบมันมากแล้ว แต่ชีวิตของคนเราต้องเดินไปข้างหน้าเจ้าต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ในการที่อยู่แบบนี้มันไม่ได้ปลอดภัยกับเจ้าไปตลอดหรอก ณ เวลานี้มีข้าอยู่ที่แห่งนี้มันคือที่ปลอดภัย แต่ถ้าหากวันใดที่ข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เรามากินข้าวกันก่อนเดี๋ยวถ้าจะแนะนำและสอนเจ้าหุงหาอาหารเองด้วย" ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็เดินเข้ามาแวะหาถ้วยและตักข้าวอย่างว่าง่าย นางตกมาสองถ้วยเพราะว่าตรงหน้าของชายฉลาดพวกนั้นไม่ได้มีถ้วยข้าวแต่มีเพียงแค่น้ำชาเท่านั้น เมื่อนางวางข้าวไว้ต่อหน้าชายชราและหน้าของตัวเองนั้นก็นั่งลง "ท่านตาเจ้าคะข้างบนนี้ก็สวยงามทำไมท่านตาไม่ให้ข้ามาอยู่ข้างบนนี้ละเจ้าคะในเมื่อท่านตาก็แก่ชราในการปีนขึ้นมาก็ลำบาก" เด็กน้อยกล่าวขึ้น "จะให้เจ้ามาอยู่ข้างบนนี้ได้อย่างไรกันล่ะเจ้าจะอยู่เหนือผู้ใหญ่และอีกอย่างนะข้างบนนี้ยามร้อนก็ร้อนยามหนาวก็หนาว ส่วนตัวเจ้าเองยังไม่สามารถทนอุณหภูมิพวกนี้ได้ หากเจ้าอยู่ข้างในนั้นยามหนาวเจ้าก็ยังมีเตาผิงไฟ ส่วนข้าเจ้าก็รู้ว่าข้ามีวรยุทสามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิได้ และเวลาขึ้นเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้าขนาดนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องปีนบันใดเลยก็ได้เจ้าก็คงจะดูดี" ชายชรากล่าวขึ้นและครีบเนื้อไก่หนึ่งชิ้นไปใส่ในชามของเด็กน้อย เด็กน้อยมองไปยังรอบข้าง ต้นไม้เล็กใหญ่มากหน้าหลายตา บางต้นถูกปกคลุมไปด้วยเถาของไม้เลื่อยและออกดอกบานสะพรั่ง มองดูหลังคาที่ยื่นออกมาจากห้องที่ท่านผู้เฒ่านอนแต่ไม่สุดกับพื้นที่ข้างบนตัวบ้าน "แล้วหลังคายื่นไม่สุดแบบนี้เวลาฝนตกจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะท่านตา" เด็กน้อยถามด่วยความสงสัย พลางชี้ไปยังพื้นที่ที่ไม่มีหลังคาปกคลุม "หากฝนตกก็เปียกสิ ตรงนั้นเป็นจุดใช้สำหรับฝึกยุทที่เจ้าขึ้นมานั่นเห็นไหม ที่ตรงนั้นจะเป็นที่ของเจ้าใช้เส้นยืดสายในเวลาเช้าของทุกๆวัน แต่หลังจากที่เจ้าตื่นนอน เจ้าก็ต้องปีนขึ้นมาแล้วทำอาหารสำหรับตัวเองและข้าด้วย เมื่อทำเสร็จเจ้าก็ต้องไปยืดเส้นยืดสาย รอข้าลุกขึ้นมากินข้าว" ชายชรากล่าวขึ้น หลินซือหยาก็คีบอาหารเข้าปากและเคียวไปหนึ่งคำ "ท่านตาเจ้าค่ะในการทำอาหาร ข้าเองยังไม่รู้วิธีจุดไฟด้วยซ้ำแล้วข้าจะทำได้เช่นไรเจ้าค่ะ" เด็กน้อยถามขึ้น "5555ทุกอย่างมันอยู่ในตำรา หนูน้อยเจ้าต้องได้เรียนก่อนถึงที่จะรู้ว่าทำได้อย่างไร ในตำราของข้ามันมีทั้งวิธีพุงหาอาหาร วิธีล่าสัตว์ขนาดเล็กมาทำอาหาร เจ้าของจะอ่านหนังสือได้ใช่หรือไม่" ชายชราถามขึ้น "ข้าก็เพิ่งจะเริ่มหัดอ่านเริ่มหัดเขียนจ๊ะท่านตา ยังไม่ค่อยเก่งสักเท่าไร" เด็กน้อยตอบชายชรา "ของทุกอย่างมันต้องเรียนรู้ดังนั้นก่อนที่จะฝึกอย่างอื่นเจ้าก็ต้องฝึกมันเขียนให้ได้เสียก่อนและทำกับข้าวข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง" ชายชรากล่าวขึ้นทั้งสองก็กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เตรียมพร้อมที่จะร่ำเรียนกัน ชายชรากลับมากระต๊อบครั้งนี้น่าจะอยู่ได้นานเพราะเขาต้องสอนให้เด็กผู้นี้ใช้ชีวิตให้ได้เสียก่อน เด็กน้อยวัยห้าหนาวจะประสีประสาอะไรเอาเข้าจริงๆเมื่อไหร่จะเริ่มเข้าบทเรียนคัมภีก็คงจะสอนให้นางรู้ในหลายๆอย่างแล้วอาจจะเป็นปีหรือสองปีก็ได้เด็กน้อยหลินซือหยาเมื่อเห็นชายชรานั้นยิ้มตอบ ตนก็รู้แล้วว่าตนตอบคำถามได้ถูกต้องตามที่ชายชราปรารถนา เด็กน้อยคุกเข่าลงและคำนับท่านผู้เฒ่าสามครั้ง "ข้าขอกราบท่านตาเป็นอาจารย์นะเจ้าคะ เพราะในตำราบอกว่าถ้ามีอาจารย์จะทำให้ข้าเข้าใจในบทความทุกบทความได้เร็วขึ้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาไม่ใช่แค่จดบทกวีและดูความหมายของมันเท่านั้น เขายังมองไปดูหน้าอื่นๆเผื่อหน้าอื่นๆจะซ่อนความหมายของบทกวีนี้ และหนังสือหน้าอื่นๆก็แสดงให้เรารู้เพียงว่าหากเป็นศิษย์มีครูย่อมประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น เด็กน้อยผู้นี้ก็นับถือชายชราผู้นี้อยู่แล้ว ยกให้เขาเป็นครูได้เลย"เจ้าเด็กผู้นี้รู้จักพูดดีนัก ได้ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียว555 มาข้าจะตีความหมายแต่ละตอนให้ฟัง วันนี้คำตอบของเจ้านั้นโดนใจและตรงใจและตรงประเด็นมาก"บทแรก ลมพัดหวนผ่านฟ้าเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ส่องกลางธารามืดมิดมักก็คือบรรยากาศแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า สะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ หรือความไม่แน่นอน แต่ยังมีแสงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความจริง และความสว่าง ที่คอยนำทางบทที่สองเงาดาบหนึ่งฟาดสะท้านส
หลังจากกินข้าวเสร็จชายชราก็พาเด็กน้อยลงไปด้านล่างเพื่อที่จะไปหาหนังสือตำหรับตำราเขาหยิบหนังสือออกมา แล้วไสคืนที่ ชายชราเดินหยิบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้ตำรามาสองเล่มและสมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่ม ก่อนที่จะเดินหาผู้กันและหมึก"ได้ของครบแล้วป่ะขึ้นไปเรียนด้านบนกันเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้นและพาเด็กน้อยขึ้นไปด้านบน เขาโบกมือหนึ่งครั้งทำให้โต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นไหลมาอยู่ตรงริมจุดที่เด็กน้อยปีนขึ้นมา ชายชราไม่ได้ปีนขึ้นมาดั่งที่ตัวเองพูด เผลอแป๊บเดียวเขาก็ขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เด็กน้อยหลินซือหยาได้แต่คิดในใจอีกสักกี่ปีนะ นางถึงจะสามารถเหาะขึ้นมาข้างบนได้แบบนี้"มานั่งเถอะ ข้าต้องสอนหนังสือให้เจ้าก่อนให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้รู้ตัวหนังสือแล้วเจ้าจะได้ศึกษาตำราด้วยตัวเอง"ชายชรากล่าวขึ้น"แบบนั้นท่านตาให้ข้าเขียนให้ดูก็ได้นะเจ้าคะเพราะว่านั้นก็ได้ร่ำเรียนมาด้วยตัวเองบ้าง ข้าเคยเอาตำราของพี่ชายของข้ามาฝึกฝน การเขียนอักษรบ้างแล้ว การเริ่มเขียนนั้นน่าจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ข้าอาจจะเขียนคำยากๆไม่ได้ และไม่รู้ความหมายของมันเท่านั้นเจ้าค่ะ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราจึงนำสมุดเปล่าและก็นำหมึกมาวางให้นางลองเ
เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยตื่นมาด้วยความหอมกลิ่นกรุ่น เหมือนจะเป็นไก่ย่างที่ลอยเข้ามาปลุกนางในยามเช้า จากนั้นนางก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งแล้วมองไปทุกที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ทำอาหารที่ไหนเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไป ท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ส่องกระทบกระต๊อบเล็กหลังนี้ ที่ตั้งอยู่กลางสวนเขียวชอุ่ม กระต๊อบไม้เรียบง่ายมุงหลังคาฟางดูอบอุ่นดั่งอ้อมกอดของธรรมชาติหน้ากระต๊อบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งกุหลาบสีแดงสด ดอกเดซี่สีขาวสะอาด ดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว และดอกไม้ป่าหลากสีที่ชูช่อรับแสงตะวัน เกสรเล็ก ๆ พลิ้วตามลมบางเบา กลิ่นหอมอ่อนหวานลอยเคล้าไปกับเสียงนกร้อง เสมือนบทเพลงที่ต้อนรับวันใหม่ เด็หน้อยสูดหายใจเย็นเข้าไป หยดน้ำค้างที่เกาะบนกลีบดอกส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีเล็ก ๆ แสงอาทิตย์อุ่นละมุนตกกระทบผนังไม้ของกระต๊อบ ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและความสดใสของรุ่งอรุณ เด็กน้อยยืนชมความงามได้สักพักก็จำได้ว่าตัวเองนั้นตามกลิ่นของไก่ย่างออกไปพอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีไก่ย่างเลย"เด็กน้อยเจ้าตื่นแล้วจะฝึกเลยหรือ
พวกเขาทั้สองเดินไปเรื่อยๆ เสียงก้าวเดินแผ่วเบาดังก้องไปพร้อมกับเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้สูงตกลงใส่พื้นอย่างแผ่วพร่า บางคราวมีเสียงนกประหลาดร้องยาวคล้ายท่วงทำนองสวดสรรเสริญ ก้องสะท้อนในหุบเขา ละม้ายเสียงเพลงจากโลกอื่น ทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดฟังราวกับถูกสะกด เสียงนั้นพาให้ใจว่างเปล่า ลอยคว้างอยู่ในภวังค์ เด็กน้อยซือหยาหยุดเดินเป็นช่วงๆคอยฟังเสียงต่างๆ "เจ้าเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างมากมายนะ รอให้เจ้าฝึกฝนให้ได้เสียก่อน ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินผจญภัยในป่าแห่งนี้ บอกเลยว่าสนุกเลยทีเดียว ป่าแห่งนี้มีทั้งสมุนไพรมากมาย แถมมีของหายากอีกเยอะแยะ แล้วยังมีสัตว์วิเศษที่รอให้เจ้าเป็นเจ้าของอยู่ แต่มันต้องรอให้ถึงเวลาของมันเสียก่อน"ชายชรากล่าวขึ้น เพราะเห็นเด็กผู้นี้เดินไปด้วยหยุดไปด้วยและบางครั้งก็เหมือนกับนางอินกับเสียงนกร้องเสียงกา"จริงเหรอจ๊ะท่านตาข้าจะได้มาเที่ยวในป่านี้อีกครั้งด้วยหรือ แต่เราสองคนจะเดินนานแค่ไหนล่ะถึงจะถึงที่ที่ท่านตาอยู่"เด็กหลินซือหยากล่าวขึ้น"ก็เดินทั้งวันแหละวันนี้พอตกค่ำปุ๊บก็ถึงที่พักของข้าทันทีเจ้านิใจร้อนไปได้ ทีเดินป่ามาตั้ง เจ็ดแปดวันยังไม่เห็นจะรีบร้อนเลย"
ขนาดพวกเขาใช้ใบไม้ยักษ์ในการเดินทางยังใช้เวลาไปตั้งนาน แรกๆหลินซือหยายังมองไปข้างล่างอย่างสนใจ เด็กน้อยตื่นเต้นมากต้นไม้ใบสีเขียวแก่เขียวอ่อนสลับกันไป บางต้นก็มีดอกมีผลด้วย นางมองด้วยความเสียดายถ้าใบไม้นี้บินต่ำกว่านี้ก็คงจะเก็บผลไม้มาไว้กินได้ ผลไม้แล้วผลไม้เล่าผ่านใต้ท้องพวกเขาไปอย่างนาเสียดาย หลินซือหยาชะเง้อไปมองผลไม้ที่ผ่านไป"ผลไม้ในป่านี้ตอนนี้มันลูกเล็กอยู่ถ้าหากอยู่ใกล้ๆบนเขานู้นจะลูกใหญ่กว่านี้ หรือว่าเจ้าหิวแล้วหรือถึงมองผลไม้ขนาดนั้น"ชายชรากล่าวถาม"ผลไม้มีลูกใหญ่กว่านี้อีกหรือจ๊ะท่านตา ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นนักยุทธพเนจรแล้วทำไมรู้จักสถานที่นี้ดีจังเลยนะท่านตา"เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้หรอกหรือที่ที่อยูห่างไกลผู้คนนั่นแหละที่จะมีอะไรดีๆเด็ดๆ และที่ข้าบอกว่านักยุทธพเนจรก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนี่เจ้ายังเด็กมากนัก สถานที่นี้ก็ได้มาบำเพ็ญแล้วไม่ต่ำกว่าห้าครั้งทุกๆสี่ห้าปีข้าก็จะมาหนึ่งครั้ง เพราะข้างบนนั้นมันมีไอวิเศษที่เข้มข้นเหมาะกับการฝึกยุท"ชายชรากล่าวขึ้น "จริงหรือจ๊ะท่านตา แล้วท่านว่าบิดาของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้างบนนี้มีไอวิเศษเข้มข้น"เด็กหลิ
เมื่อชายชราผู้นี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นเด็กสาวผู้นี้นอนอยู่ ตอนนี้พลังของเขากลับมาเหมือนเดิมแล้ว พิษที่ได้รับก็หายไปหมดแล้ว สมุนไพรในป่านี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน ตั้งนานเด็กน้อยผู้นั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองชายชรานั่งอยู่ใกล้ๆแล้วก็รู้สึกอับอายที่ตัวเองนั้นเผลอหลับไป"เด็กน้อยเจ้ามีความเป็นมาอย่างไรทำไมถึงมาอยู่ในป่าลึกคนเดียวแบบนี้"ชายชราถามขึ้น หลินซือหยาไม่รู้ว่าจะพูดออกมาได้ไหม หากว่าพูดว่าตัวเองถูกไล่จากหมู่บ้านเพราะว่าไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธก็กลัวว่าชายชราผู้นี้จะรังเกียจตน แต่คิดไปคิดมาหากชายชราผู้นี้จะรังเกียจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกๆคนในหมู่บ้านก็รู้ว่านางไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ อาจจะมีคนรู้เพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรกะมัง"ท่านตาเจ้าค่ะข้ามันคนไร้ค่า ข้าถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะว่าข้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้มีสีได้ คนในหมู่บ้านบอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าและไม่อยากให้ข้าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องมาอยู่ในป่าแห่งนี้ และทิศทางที่ข้าจะไปนั้นก็คือภูเขาเจ้าคะข้าต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขานั้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น"โธ่เด็กน้อยแล้วเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ แล้ว