Share

ผจญป่าฝึกใจ

Author: Sanassetong
last update Last Updated: 2025-10-05 22:30:02

แสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อน

เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขา

หนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า

“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”

ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัว

บางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขา

บางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิต

สายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณ

และในที่สุด นางก็เข้าใจว่า

“วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”

ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์

กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝน

มือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่

พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดาว

เพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านม่านหมอกบางๆ ทาบบนพื้นดินชื้นน้ำค้าง หลินซือหยานั่งสมาธิอยู่ริมธาร ลมหายใจราบเรียบดุจผืนน้ำ แต่ในความสงบนั้น กลับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดของพงไม้หนาทึบ

“กรรรรรร...”

เสียงต่ำลึกดังขึ้นจากด้านหลัง

พื้นดินสั่นสะเทือนเบาๆ ก่อนที่สายตาคมของนางจะเห็นแววตาคู่หนึ่ง สีแดงเรืองราวเปลวเพลิงกลางราตรี มันคือ

“หมาป่าทมิฬอสูร โอ้หมาป่าอีกแล้วหรือเมื่อวานเขาก็เจอหมาป่าโลหิต คืนนี้เจอหมาป่าทมิฬอีกแล้ว หรือที่แห่งนี้ที่ท่านอาจารย์ให้นางมาฝึกฝนอาจจะเป็นพวกหมาป่าอย่างเดียวก็เป็นได้ห้อง”

สัตว์วิญญาณที่สิงสถิตในป่าแห่งนี้มานับร้อยปี

ลมหายใจของมันร้อนระอุจนไอหมอกระเหย

เพียงก้าวเท้าหนึ่ง ก็ทำให้ใบไม้ปลิวกระจายราวมีพายุ หลินซือหยาค่อยๆ ลุกขึ้น มือกำดาบไม้แน่น สายตาสงบนิ่ง

“หากใจข้าหวั่นไหว แม้แต่เงาตัวเองก็ฆ่าข้าได้”

นางรำลึกคำอาจารย์อีกครั้ง

หมาป่าทมิฬคำราม ลำตัวพุ่งทะยานราวลูกศรดำ หลินซือหยาเหวี่ยงดาบไม้ต้านแรงปะทะ

“ปัง!”

เสียงดังสะท้อนหุบเขา แรงมหาศาลผลักร่างนางถอยหลังหลายก้าว จนส้นเท้าแหวกพื้นหญ้าเป็นทางยาว เลือดที่มุมปากไหลซึม แต่ในดวงตาไม่มีความกลัว

มีเพียงเปลวไฟแห่งการเรียนรู้กำลังลุกโชน นางสูดลมหายใจยาว หมุนลมปราณจาก “เส้นจิตกลาง” ลงสู่ “ตันเถียน”

เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่หนักแน่น ราวเสียงพายุที่สะสมก่อนระเบิด เมื่อหมาป่าทมิฬอสูรโจนเข้ามาอีกครั้ง หลินซือหยาหมุนตัวหลบอย่างอ่อนช้อย ฝ่ามือซัดออก

“ปั้ง”

เสียงพลังลมปราณแผ่กระจายดั่งคลื่นน้ำ

ร่างอสูรถูกผลักกระเด็นไปชนต้นไม้ใหญ่จนสะเทือน เงียบงันครู่หนึ่ง หมาป่าทมิฬจ้องนางด้วยสายตาคม ก่อนค่อยๆ ก้มหัวลง แสงสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นรอบกายมัน แล้วสลายกลายเป็นหมอก หลินซือหยายืนนิ่ง มองดูหมอกนั้นหายไปกับสายลม

“อสูรป่ามิได้มาทำร้าย แต่เพื่อทดสอบว่า ใจเรายังสั่นไหวอยู่หรือไม่...”

ยามรุ่งสาง นางนั่งสงบอีกครั้งใต้ต้นไม้ใหญ่

ดาบไม้ในมือเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเพราะซึมซับลมปราณจากการต่อสู้ ดวงตาคู่นั้น… ไม่ใช่ดวงตาของศิษย์ผู้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว

แต่นั่นคือ สายตาของนักยุทธ์ผู้กำลังก้าวสู่หนทางแท้จริงของยุทธภพ สองวันสองคืนแล้วที่หญิงสาวได้อยู่ในป่า บททดสอบยังมาไม่ขาดสาย เหลือเวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้นที่ท่านอาจารย์จะมารับ แต่นางลืมถามท่านอาจารย์ว่าจะให้นางไปรอที่ใดกัน หรือว่ารอจุดที่ท่านอาจารย์ให้นางเดินเขามากันนะ เสียงลมพัดผ่านยอดไม้สูง เสียงใบไม้เสียดสีกันดั่งคลื่นในห้วงทะเลสีเขียว หลินซือหยาสะพายกระบี่เดินลึกเข้าไปในหุบเขา แสงอาทิตย์ลอดผ่านหมอกบาง ทาบเป็นลวดลายเหนือพื้นดินเปียกชื้น ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยกลิ่นดิน กลิ่นมอส และความเงียบที่ทำให้หัวใจได้ยินเสียงของตนเอง

“อาจารย์เคยว่า — ผู้ใดไม่อาจอยู่กับความเงียบ ผู้นั้นไม่คู่ควรกับพลังภายใน”

เธอหยุดพักใต้ต้นสนใหญ่ น้ำค้างยามเช้ายังจับบนปลายใบ หลิวซือหยานั่งลง หลับตา ปล่อยให้เสียงของป่าคลี่คลายความฟุ้งซ่านในใจ

เสียงธารน้ำไหลเบาๆ กลายเป็นจังหวะลมหายใจเสียงนกในพงไม้กลายเป็นทำนองแห่งลมปราณ เมื่อเข้าสู่สมาธิ นางเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นไหวบางอย่างในร่าง ลมปราณที่เคยกระจัดกระจายกลับค่อยๆ รวมตัวไหลเวียนตามเส้นชีพจรจากกลางอกสู่ปลายนิ้ว ราวสายน้ำในธารหิน ทันใดนั้น เสียงแตกของกิ่งไม้ดังขึ้นทางซ้าย สายตานางเปิดขึ้นเฉียบพลัน มือจับกระบี่แน่น ในพุ่มไม้ เงาดำรูปร่างประหลาดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางเยือกเย็น แต่หัวใจนิ่ง นางเคลื่อนกายราวเงา ลื่นไหลไร้เสียง ก่อนจะกระโจนขึ้นบนกิ่งไม้สูง สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าไม่ใช่ศัตรู

แต่เป็น หมาป่าขนเงิน สัตว์ป่าผู้โดดเดี่ยว

มันเงยหน้าขึ้นมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะหมอบลงแล้วหันหลังกลับเข้าป่า หลินซือหยายืนนิ่ง มองตามมันจนลับตา

“สัตว์ยังรู้จักสงบเมื่อไม่จำเป็นต้องต่อสู้…

แล้วเหตุใดใจมนุษย์จึงไม่อาจสงบได้เช่นนั้น?”

นางเก็บกระบี่เข้าฝัก แล้วเดินต่อไปตามเส้นทางในหุบเขา บางช่วงต้องปีนผ่านหน้าผาหิน บางช่วงต้องข้ามธารน้ำเชี่ยวทุกก้าวทดสอบทั้งกายและใจ แต่ในความเหนื่อยล้า นางกลับรู้สึกว่าจิตใจเบาสบาย ราวกับแต่ละลมหายใจได้ชำระความกลัวออกไปทีละน้อย ยามอาทิตย์ลับฟ้า นางก่อกองไฟเล็กๆ กลางป่า

แสงไฟสะท้อนเงาเธอบนผนังหิน คืนนี้ ไม่มีเสียงศัตรู ไม่มีบทเรียนจากอาจารย์

มีเพียงเสียงลมหายใจ และหัวใจที่เติบโตขึ้นอีกขั้นหนึ่ง สายหมอกยามรุ่งสางค่อยๆ สลาย

แสงอาทิตย์ลอดผ่านยอดไม้ เสียงนกเริ่มร้องรับแสงอรุณ กระแสลมพัดอ่อน เงาใบไม้สั่นไหวราวสรรเสริญต่อผู้รอดชีวิตจากความตาย

“ในความกลัว... ข้าเห็นความนิ่ง

ในความเจ็บ... ข้าได้ยินเสียงหัวใจตนเอง”

หลินซือหยาพึมพำเบาๆ แล้วเริ่มเข้าสมาธิ ลมหายใจช้าแต่มั่นคง นางปล่อยให้ความทรงจำการต่อสู้ไหลย้อนกลับเข้ามา เสียงมีดเฉียดผิว เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำ ทุกภาพ กลับกลายเป็น แรงสั่นสะเทือนภายใน ลมปราณที่นิ่งเริ่มหมุนวนอย่างชัดเจนขึ้น จากตันเถียน สู่เส้นชีพจรทั่วร่าง ร่างกายนางสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนพลังจากภายในเริ่มลุกโชนขึ้น พลังนั้นไม่กระจัดกระจายอีกต่อไป กลับรวมเป็นหนึ่งเดียว แน่นแน่ว — สงบและเฉียบในเวลาเดียวกัน ไม่นานชายชราก็ปรากฎกาย

"เจ้าฝึกสำเร็จอีกขึ้นแล้ว"

ชายชรากล่าวขึ้นและพาร่างของหญิงสาวหายตัวไป

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ผจญป่าฝึกใจ

    แสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ก้าวแรกสู่ความกล้า

    เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ปักปิ่น

    ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ตื่นแล้ว

    ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   เลือกดวงดาว

    เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   จิตนาการ

    "ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status