LOGINพวกเขาทั้สองเดินไปเรื่อยๆ เสียงก้าวเดินแผ่วเบาดังก้องไปพร้อมกับเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้สูงตกลงใส่พื้นอย่างแผ่วพร่า บางคราวมีเสียงนกประหลาดร้องยาวคล้ายท่วงทำนองสวดสรรเสริญ ก้องสะท้อนในหุบเขา ละม้ายเสียงเพลงจากโลกอื่น ทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดฟังราวกับถูกสะกด เสียงนั้นพาให้ใจว่างเปล่า ลอยคว้างอยู่ในภวังค์ เด็กน้อยซือหยาหยุดเดินเป็นช่วงๆคอยฟังเสียงต่างๆ
"เจ้าเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างมากมายนะ รอให้เจ้าฝึกฝนให้ได้เสียก่อน ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินผจญภัยในป่าแห่งนี้ บอกเลยว่าสนุกเลยทีเดียว ป่าแห่งนี้มีทั้งสมุนไพรมากมาย แถมมีของหายากอีกเยอะแยะ แล้วยังมีสัตว์วิเศษที่รอให้เจ้าเป็นเจ้าของอยู่ แต่มันต้องรอให้ถึงเวลาของมันเสียก่อน" ชายชรากล่าวขึ้น เพราะเห็นเด็กผู้นี้เดินไปด้วยหยุดไปด้วยและบางครั้งก็เหมือนกับนางอินกับเสียงนกร้องเสียงกา "จริงเหรอจ๊ะท่านตาข้าจะได้มาเที่ยวในป่านี้อีกครั้งด้วยหรือ แต่เราสองคนจะเดินนานแค่ไหนล่ะถึงจะถึงที่ที่ท่านตาอยู่" เด็กหลินซือหยากล่าวขึ้น "ก็เดินทั้งวันแหละวันนี้พอตกค่ำปุ๊บก็ถึงที่พักของข้าทันทีเจ้านิใจร้อนไปได้ ทีเดินป่ามาตั้ง เจ็ดแปดวันยังไม่เห็นจะรีบร้อนเลย" ชายชรากล่าวขึ้น "แต่ก่อนจะให้ข้ารีบร้อนได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ข้าไม่มีจุดหมายที่จะไป แต่ตอนนี้จุดหมายของข้าก็คือเรือนของท่านตาไง" เด็กน้อยซือหยาพูดอย่างน่าเอ็นดู "เจ้านี้ก็รู้จักพูดเอาใจคนแก่ดี ป่ะเดินต่อเถอะป่าแถบนี้มันไม่น่าหยุดอยู่กับที่นานหรอก สัตว์อสูร สัตว์วิเศษพวกนี้ไม่ได้เป็นมิตรกับใคร เราต้องรีบเดิน" ชายชรากล่าวขึ้น ทั้งสองก็ตั้งใจเดินอีกครั้ง เด็กน้องซือหยาเงียหูฟังสายลมพัดผ่าน ได้ยินเสียงกิ่งไม้สูงที่ส่งเสียงดังก้องคล้ายบทสวดโบราณประสานเสียง เสียงนั้นกังวานสลับกันกับเสียงน้ำไหลจากธารเล็กบรรยากาศให้รีบเดิน แต่ที่แปลกคือท่านตาที่แก่ชรานั้นเดินเหมือนไม่รู้ถึงความเหน็ดเหนื่อย ซือหยาเองก็ล่วงผลไม้ในถุงผ้าออกมากินและยื่นให้ชายชรา "เจ้าหิวเจ้าก็กินเถอะ แต่อดทนหน่อยนะเราจะไม่พักกันที่นี้ เราต้องเดินให้ถึงกับต๊อบของข้าเลย เจ้าอดทนได้หรือไม่" ชายชรากล่าวขึ้น "อดทนได้สิจ๊ะแค่นี้เอง หากถึงค่ำปุ๊บก็ถึงทันทีใช่หรือไม่จ๊ะท่านตา" เด็กสาวกินไปถามไป "ใช้แล้วละถ้าหากว่าเจ้าก้าวขาให้ยาวกว่านี้และเดินให้ไวกว่านี้นะ" ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยพยายามสับขาให้เร็วขึ้นคิดว่าจะเดินเร็วกว่าคนชราแต่แล้วเมื่อเขาเพิ่มความเร็วชายชราผู้นั้นก็เหมือนเพิ่มความเร็วเพื่อที่จะเดินก่อนนาง พอนางเริ่มผ่อนแรงเดินชายชราผู้นั้นก็เหมือนเดินช้าลง พอเด็กน้อยเร่งความเร็วขึ้นชายชราก็เดินเร็วขึ้น เหมือนชายชราผู้นั้นแกล้งเด็กน้อยไม่มีผิด "ท่านตาที่ท่านเดินเร็วนั้นเกี่ยวกับวรยุทธด้วยหรือจ๊ะ คนมีวรยุทจะเดินเร็วมากๆเลย" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย "คนมีวรยุทธจะเคลื่อนที่ได้เร็วตามที่ใจต้องการหากมีวรยุทสูงมากๆก็จะเคลื่อนที่ได้เร็วมากด้วย" ชายชรากล่าวขึ้น "แล้วถ้าท่านตาจะพาข้าเดินเร็วๆไม่ได้หรือจ๊ะ" เด็กน้อยถามขึ้น "5555ไม่ใช้ว่าเจ้าขี้เกียจแล้วหรือ หากข้าพาเจ้าไปได้ ข้าก็ให้เจ้าใบไม้วิเศษนั้นพาเจ้าไปแล้วล่ะ เพราะในการเดินในป่าแห่งนี้มันต้องใช้ความพยายามของเจ้าเองไงก็บอกแล้วหากเป็นข้าเพียงวันเดียวก็ถึงแล้ว แต่เป็นตัวเจ้าที่ไม่มีวรยุทมันจึงช้า" ชายชราพูดขึ้นเด็กน้อยก็เข้าใจในคำพูดของเขา นางถึงลองเร่งอีกครั้ง นางเริ่มออกวิ่งและร่างของชายชราก็เร็วกว่านางอยู่ดู เป็นดังที่ชายชราผู้นี้กล่าวจริงๆด้วย ชายชราได้แต่สายศรีษะด้วยความที่เขารู้แล้วว่า อนาคตต้องรับกับศึกหนักแน่แน่ เด็กน้อยผู้นี้เป็นคนที่ดื้อดึงเอาการ และยังไม่เชื่อใครง่ายๆอีก นางต้องลองด้วยตัวเอง แต่แล้วไงล่ะเพราะเด็กน้อยผู้นี้ช่วยชีวิตเขาและเขาก็ถูกชะตากับนางอีกด้วย คนแบบนางนี้แหละที่จะแกร่งเขาดูคนไม่ผิด วิ่งไปได้สักพักใหญ่ๆเหงื่อโคตรท่วมตัวของเด็กสาวแต่เด็กน้อยก็ไม่ย่อท้อวิ่งต่อไปเรื่อยๆ "อ้าใกล้ถึงแล้วล่ะ ช้าช้าหน่อยก็ได้ยังไม่มืดง่ายหรอก ไม่ต้องวิ่งจนเหนื่อยขนาดนี้ด้วย" ชายชราผู้ขึ้น "ท่านตาเหนื่อยแล้วล่ะสิถึงให้ข้าช้าหน่อย" เด็กน้องพูดอย่างหอบๆ และเดินช้าลง แต่ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อ "555ดูเจ้าพูดเข้าสิยังกับเจ้าไม่เหมือนยังไงอย่างนั้นแต่ดูเนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อแล้วนะ สวัสดีค่ะบอกว่าเราต้องถึงบ้านตอนค่ำนั้นน่ะตอนนี้เราถึงก่อนค่ำเสียอีกเพราะเจ้าเร่งวิ่งนี่แหละ โน้นไงกระต๊อบของข้า" ชายชราพูดขึ้น พลางชี้มือไปข้างหน้า เด็กน้อยมองออกไปเห็นกระต๊อบไม้หลังเล็ก ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี หลังคามุงด้วยฟางสีทองอ่อนที่สะท้อนแดดยามเย็นอย่างอบอุ่น รอบ ๆ กระต๊อบเต็มไปด้วย ดอกไม้หลากสี—กุหลาบป่าที่บานสะพรั่ง ดอกเดซี่สีขาวที่โยกไหวตามลมอ่อน และดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วอากาศ ประตูไม้บานเล็กมีเถาไม้เลื้อยพันขึ้นสูง ดอกสีม่วงและชมพูแข่งกันผลิดอก สร้างเงาโปรยระบายอยู่บนพื้นดินที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ร่วงหล่น กลีบดอกไม้ปลิวลอยกลางอากาศเหมือนเศษละอองแห่งเวทมนตร์ ทำให้กระต๊อบหลังน้อยดูราวกับถูกห่อหุ้มด้วยมนตร์เสน่ห์ช่างอบอุ่น อ่อนโยน และงดงามอย่างเหนือจริง เด็กน้อยได้แต่มองและอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง "ท่านตาข้าไปดูข้างในได้ไหมจ๊ะ" เด็กซือหยาถามขึ้น "ไปดูสิ ที่นี่และที่เจ้าจะพักอยู่จนกว่าจะฝึกยุทธ์ได้สำเหร็จ" ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็เดินเข้าไป ภายในกระต๊อบเล็ก ๆ แห่งนี้อบอวลไปด้วย กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ จากผนังและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้สน ขนาดกะทัดรัดแต่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบและอบอุ่น หน้าต่างบานเล็กที่ประดับด้วยผ้าม่านลูกไม้สีขาวอ่อน มุมหนึ่งมี เตาผิงก่ออิฐเล็ก ๆ ด้านบนแขวนกระถางดอกไม้แห้งและสมุนไพรหอมที่เก็บมาจากป่า ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดชื่นและกลิ่นละมุนละไม โต๊ะไม้กลมเล็ก ๆ ตรงกลางห้องมีแจกันว่างปล่าววางอยู่ บนเตียงไม้เล็ก ๆ ที่ปูด้วยผ้าห่มผืนเก่า รอบ ๆ ห้องมีชั้นวางหนังสือเก่าเรียงรายไปด้วยหนังสือตำราต่างๆ "กระต๊อบนี้มีที่นอนเดียวหรือจ๊ะท่านตา ถ้าท่านตานอนที่นี่แล้วจะให้ข้าไปนอนที่ใดละจ๊ะ" เด็กน้อยผู้ด้วยสีหน้าหงอยๆ "โน้นไงข้านอนที่โน้น" ชายชราชี้ไปข้างบนที่มีเหมือนประตูอยู่หนึ่งบาน เด็กน้อยพึ่งสังเกตุเห็นบันใดเล็กที่อยู่หลังชั้นวางหนังสือนั้น "ค่ำแล้วไปอาบน้ำนอนเถอะ" ชายชรากล่าวขึ้นและไต่ขึ้นบันใดไปแสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา
เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง
ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ
ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก
เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล
"ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง







