Share

ไปกันเถอะ...

last update Last Updated: 2025-09-24 18:58:51

เลี่ยหยางเอาเสื้อขาวที่พกมาด้วยโยนให้เยว่หลิง

"ใส่ซะ! ขืนยังแก้ผ้าแบบนี้ สาวๆคงไม่เหลือมาหาข้า!"

เยว่หลิงรับเสื้อมาสวมใส่เรียบร้อย เป็นเสื้อสีขาวที่เขาชอบใส่ไปร้านตีเหล็กประจำนั่นเอง แต่ไม่ใช่ชุดเก่าของเขา เป็นเสื้อใหม่ที่เลี่ยหยางแอบสั่งตัดให้

"เอ้า! เจ้าคงขาดสิ่งนี้ไม่ได้" เลี่ยหยางยื่นกระบี่คมวาววับให้เยว่หลิง ๆ รับถือไว้ในมือมั่น

ก่อนที่ไป๋เยว่หลิงและเลี่ยหยางจะออกไปทางหน้าต่าง เลี่ยหยางเกาศรีษะแล้วหันมาพูดกับองค์หญิง

"เอ่อ...ข้ามันคนเรียนมาน้อย แต่...องค์หญิง หากทุกปัญหาต้องให้คนอื่นแก้แทน แล้วต่างอะไรกับเด็กที่ยังหัดเดินพะยะค่ะ?”

“การตัดสินใจคือกระบี่เล่มแรกของชีวิต พระองค์จะกล้าใช้มันหรือจะปล่อยให้ขึ้นสนิมอยู่ในฝัก ก็อยู่ที่ตัวพระองค์เองนะ”

องค์หญิงฟังทุกคำที่เลี่ยหยางพูดด้วยแววตาที่ซึมซับอะไรบางอย่างเข้าในจิตใจตัวเอง แล้วเลี่ยหยางและเยว่หลิงก็กระโจนหน้าต่างออกไป

ห้องหออยู่ด้านบนสุด ทำให้ทั้งคู่ตอนนี้อยู่บนหลังคาสูงสุดของตำหนักรับรอง

"ท่านจะไปไหนค่ำคืนส่งตัว? ราชบุตรเขย!"

เสียงเล็กแหลมก้องชัดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือขันทีชราในชุดหม่นใบหน้าซีดนั่นเอง

"อ้าว นังสุ่น! เผือกเรื่องผัวคนอื่น แก่แล้วหาผัวไม่ได้ชิมิ" เลี่ยหยางพูดด้วยท่าทางยียวน

ขันทีเฒ่าฉุน เขากวักมือเรียกกองทหารอาวุธครบมือนับร้อยนายก็ล้อมตำหนักไว้ด้านล่าง  หลายสิบนายง้างธนูพร้อมยิงอีกด้วย

"จะกลับเข้าไป หรือจะตายอยู่ตรงนั้น!" ขันทีเฒ่าพูดเสียงจริงจัง

"แล้วสหายข้าล่ะ?" เยว่หลิงถาม

"ไอ้ปากดีนี่ บุกตำหนักเจ้าเมือง ทำร้ายราชบุตรเขยและองค์หญิง โทษประหารตายสถานเดียว" ขันทีพูดและยิ้มเยาะ เลี่ยหยางแววตาโมโหความกวนตีนของอีกระเทยแก่นางนี้ อยากเข้าไปเตะปากมันสักป๊าบจริง ๆ

"งั้นข้ามีคำตอบให้ท่านแล้ว..."

เยว่หลิงยกกระบี่ขึ้นมาเล็กน้อยและหลับตา **เพลงกระบี่จันทรา!** ...เลี่ยหยางรีบย่างเท้าถอยหลังเพราะรู้ดีถึงอันตรายของกระบวนท่านี้

แต่....คราวนี้ไม่ธรรมดา ทหารหลายร้อยนายแม้แต่พลธนูต่างยืนอึ้งในปราณกระบี่ที่เห็นได้ชัดเจนราวกับเป็นรูปธรรมจับต้องได้

เป็นปราณสีขาวคล้ายฝุ่นละอองน้ำ ไป่เยว่หลิงยกขาขึ้นข้างหนึ่ง ราวกับการร่ายรำงิ้ว นี่เป็นท่วงท่ากระบี่จันทราที่แม้แต่เลี่ยหยางก็ไม่เคยเห็น

ด้านล่างเกิดหมอกปริศนามากมายเริ่มหมุนวน ทหารทุกคนยืนทื่อ อ้าปากค้าง ราวกับถูกสะกดจิต ในความงดงามของสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

แล้ว! ทหารทุกคนก็ล้มลง! บริเวณคอมีรอยบาดแผลเล็กๆเฉือนคอตายหมดทั้งร้อยกว่านาย!

เลี่ยหยางและขันทีตกตะลึง แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพลงกระบี่จันทรายังไม่สิ้นสุด เมื่อกระบี่หมุนวนจากมือขวามาที่มือซ้ายอย่างช้า ๆ แล้ว เยว่หลิงใช้ 2 มือจับมันและฟาดไปข้างหน้าเต็มแรง

ตูมมม!!!

เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งจวน ไม่สิ! ทั้งเมือง!

ขันทีเฒ่าหันไปดูด้านหลัง ไม่จริง!เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ตำหนักสูงใหญ่ที่เคยโอ่อ่าดุจภูผา แลดูสง่าด้วยยอดหลังคาทรงโค้งสูงชะลูด บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นภาพสยดสยอง กำแพงศิลาอันหนาทึบและเสาสลักมังกรทองถูกแรงมหาศาลเฉือนผ่าเป็นแนวตรงจากยอดจรดฐาน ราวกับสวรรค์ใช้กระบี่ทิพย์เส้นหนึ่งกรีดลงมากลางอากาศ

เศษไม้แกะสลักและกระเบื้องมุงหลังคาแตกกระจายลงมาเป็นสายฝนหิน เศษอิฐหล่นโครมครามราวฟ้าร้อง เสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วลานด้านหน้า 

อึ่ก! 

เขาจับที่อกตัวเองทำไมมันรู้สึกเหมือนว่าข้างซ้ายและข้างขวาของร่างกายมันแปลกๆ

แค่ไม่ถึง 3 วินาทีร่างขันทีก็ขาดครึ่งซีก แบะออกร่วงลงกับพื้นคนละทาง แต่กว่าจะมีเลือดไหลก็ 1 นาทีหลังจากร่างขาดจากกันแล้ว

เลี่ยหยางขาสั่นปากสั่น ตาเบิกโพลง

"มะ...ไม่ใช่มนุษย์แล้ว..." เขาตะลึงกับสิ่งที่เห็นอย่าว่าแต่ในเมืองนี้เลย ในอาณาจักรนี้ ไม่สิ! นี่มันฝีมือระดับปรมาจารย์ในนิยายที่เขาอ่านตอนเด็ก!!!

กระบี่ในมือละเอียดเป็นฝุ่นผงเหลือแค่ด้ามดาบที่จับ เยว่หลิงถอนลมหายใจ มือสั่นหมดแรง ยืนโอนเอนหมดแรง เลี่ยหยางรีบเข้าไปประคองให้เยว่หลิงซบไหล่เขา

"นี่เจ้ามีหางมีปีกหรือเปล่าเนี่ย หลิงหลิงเจ้าทำได้ไง??"

"อย่าเสียงดัง..." มือเยว่หลิงหยิกที่แขนเลี่ยหยาง "โอ๊ย!"

"จ๊ะ ๆ เงียบแล้วจ๊ะ พักผ่อนนะคนดี" เลี่ยหยางเอามือโอบเย่วหลิงและพวกเขาทรุดตัวนั่งอยู่บนหลังคานั้น ให้เยว่หลิงนอนบนตักแทน

ก๊อกๆ

เลี่ยหยางชะโงกหน้าลงมาดู เห็นเป็นองค์หญิงกำลังยื่นตราอะไรสักอย่างให้

"นี่คือป้ายอาญาสิทธิ์ของปฐมกษัตริย์ที่เสด็จปู่มอบให้เรา พวกท่านเอาไป!"

เลี่ยหยางใช้กระบี่คล้องขึ้นมาค่อยๆ เพราะกลัวเยว่หลิงจะตื่น

"พวกท่านรีบไปเถอะ เดี๋ยวที่นี่เราจัดการให้เอง" องค์หญิงกล่าว

เลี่ยหยางยิ้มพยักหน้า เขาแอบมองอกใหญ่ของเจ้าหญิงด้วยสายตาซุกซน แล้วอุ้มร่างเยว่หลิงกระโดดออกไปจากตำหนักเจ้าเมือง

รุ่งขึ้นองค์หญิงเรียกเจ้าเมืองเข้าพบและบอกว่าราชบุตรเขยออกไปภาระกิจลับ ส่วนเหตุการณ์เมื่อคืนให้รายงานกลับวังหลวงว่าเกิดจากกลุ่มนักฆ่าแคว้นศัตรูบุกเข้ามาลอบทำร้าย

เจ้าเมืองไม่กล้าถามมาก เพราะนางส่งสาส์นถึงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ชายแดนผู้มีศักดิ์เป็นกั๋วจิ่ว(น้องแม่)ของนาง และแม่ทัพได้ส่งทหารเกราะเหล็กฝีมือดีมา 500 นายเพื่อคุ้มครองนาง ขุนนางใดกล้าสงสัยสืบความจะถูกฆ่าทันที เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วองค์หญิงก็เสด็จไปประทับที่บ้านสกุลไป๋พร้อมเหล่านางกำนัลรับใช้เพื่อรอคลอดบุตรที่นั่น

....ณ กระท่อมเล็กๆ ใบป่าด้านหลังเมือง เยว่หลิงกำลังย่างไก่อยูที่ครัวด้านหลัง เมนูวันนี้คือไก่ฟ้าทองย่างสมุนไพร เขาหมักด้วยเครื่องสมุนไพรหอมเข้มข้น ได้แก่ ขิงอ่อน กระเทียม กานพลู อบเชย และเปลือกส้มแห้ง กลิ่นอบอวลเข้าเนื้อจนซึมลึกไปทุกเส้นใย เมื่อนำไปย่างบนถ่านไม้หอม ไฟแดงพลุ่งพล่าน กลิ่นสมุนไพรลอยคลุ้งผสมกับความหอมมันของหนังที่ค่อย ๆ สุกจนเป็นสีทองกรอบ

 กลิ่นหอมนั้นโชยไปถึงด้านหน้าทำเอาเลี่ยหยางที่ถอดเสื้อผ่าฟืนอยู่นำลายสอจนอดไม่ได้รีบวางขวานแล้ววิ่งมาด้านหลัง

"อื้อหือ! วาสนาปากข้าจริงๆ ท่านเซียนพ่อครัวสวรรค์หลิงหลิง" เลี่ยหยางเอื้อมมือจะไปหยิบไก่ย่าง

เพี๊ยะ! เยว่หลิงตีมือเบาๆ

"รอก่อน! ข้าต้องย่างเคลือบน้ำผึ้งอีก เพิ่มรสหวานหอม หนังเป็นประกายสีทองสวย"

"คร้าบ ๆ ท่านเซียน นี่ท่านจะทำถวายฮ่องเต้หรืออย่างไร?"

"เจ้าไง ฮ่องเต้!" เยว่หลินพูดโดยไม่มองเลี่ยหยาง เขาง่วนอยู่กับการเอาน้ำผึ้งทาไก่ย่างอย่างพิถีพิถัน

เมื่อไก่สุกแล้วทั้งคู่ก็มานั่งรับประทานด้วยกันที่โต๊ะไม้เก่าๆด้านในกระท่อม เลี่ยหยางกัดเข้าไปลึกถึงเนื้อด้านในไก่ มันยังคงความชุ่มฉ่ำ ฟันที่กดลึกลงไปในเนื้อสัมผัสถึงน้ำซุปใส ๆ ที่ซึมมาจากไขมันธรรมชาติ รสชาติแรกที่สัมผัสปลายลิ้นคือความหวานมันจากเนื้อแท้ ตามมาด้วยความหอมซ่อนลึกของสมุนไพรที่เข้ากับเนื้ออันละเอียดนุ่ม ทุกคำที่กัดเข้าไป ให้รสเข้มละมุน ทั้งความเผ็ดอ่อนจากขิง ความหอมหวานจากอบเชย และรสกลมกล่อมจากซีอิ๊วเก่าที่เคลือบผิวหนังจนกรอบเป็นประกาย

เลี่ยหยางกินอย่างเอร็ดอร่อยและมูมมามไม่มีมารยาทเช่นเคย 

"ข้าอยากไปเที่ยว...." เยว่หลิงพูดและมองตาเลี่ยอยางด้วยแววตาออดอ้อน

เลี่ยหยางเคี้ยวไก่ไปด้วยพลางนึกสักพักแล้วพูดว่า

"เจ้าใส่ใจเรื่องอาหารขนาดนี้ งั้นเราไปตระเวนกินกันดีไหม? ข้ามี 5 เมืองให้เจ้าเลือก

1. ฉางอัน อาหารขึ้นชื่อคือ เนื้อแพะตุ๋น, เส้นบะหมี่ซานซี และพวกของหวานและขนมอบจากตะวันตก ที่นี่เจ้าจะลิ้มรสอาหารหลากชาติพันธุ์

2. หางโจว ที่นั่นมีปลามังกรน้ำใสตุ๋น, เนื้อหมูตงพอ และชาหลงจิ่ง  ถ้าเจ้าอยากสัมผัสอาหารบรรยากาศแบบกวีนะ

3. ลั่วหยาง มีซุปน้ำแกง, งานเลี้ยงแบบโบราณที่เสิร์ฟอาหารกว่า 20 อย่างในรูปแบบน้ำ และอาหารดอกโบตั๋น (ใช้ดอกไม้ในอาหาร) เป็นเมืองแห่งงานเลี้ยงน้ำสุดยิ่งใหญ่

4. เฉิงตู อาหารขึ้นชื่อจะเป็นพวกอาหารต้นตำรับอาหารเสฉวน เผ็ด ชา รสจัดจ้าน เช่น เต้าหู้เสฉวน เหมาะกับคนชอบอาหารรสเข้ม เผ็ด ซ่า และมีสมุนไพรหอม ๆ

5. กว่างโจว เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางทะเล ที่นี่อาหารกวางตุ้ง ที่เน้นความสด หอม เบา เช่นติ่มซำ, เป็ดอบ และน้ำซุปใสหอมหวาน ถ้าเจ้าชอบอาหารทะเลหรูหราหลากชนิด ต้องที่นี่"

"เจ้ารู้เยอะจัง" 

"ก็อาชีพข้าต้องรู้ข้อมูลเรื่องพวกนี้"

"อาชีพฆ่าคน?"

เลี่ยหยางสะอึก 

"ใช่! ฆ่าคน"

ก่อนที่เลี่ยหยางจะพูดอะไรต่อ เยว่หลิงก็ยื่นไก่ใส่ปากเขา

"กินให้หมด ข้าอิ่มแล้ว" เยว่หลิงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เพื่อไปล้างมือด้านหน้า แต่ก่อนออกไปเขาหันมาบอกเลี่ยหยางว่า

"เรื่องไปที่ไหน ข้าขอคิดสักหน่อย"

เลี่ยหยางพยักหน้าและกินก่ฟ้าทองย่างสมุนไพรที่เยว่หลิงทำต่อจนหมด...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   (ภาคกว่างโจว) ก็รอ 5 วันมันไม่มีอะไรทำนี่

    .....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   รอยแผล

    ....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   กลับบ้าน

    ....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   ปรมาจารย์ทั้ง 2 ยุค

    .....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   กลิ่นเลือด

    .....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   งานประลองยุทธ2

    .....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status