LOGIN(1 เดือนผ่านไป)
.....ณ ร้านตีเหล็กในตลาด เลี่ยหยางกลับมาทำงานได้ปกติแล้ว ป้าร้านขายหมูเดินมาตีก้นเลี่ยหยางดังเพี๊ยะ!
"เดี๋ยวนี้ก้นนิ่มจังเลยนะ! โน่น! คุณชายหน้าหล่อเอาอาหารมาให้เจ้าแล้ว"
เลี่ยหยางเงยหน้ามองเห็นเยว่หลิงเดินมาแต่ไกล คุณชายในชุดขาวบริสุทธิ์ร่างสูงผมสีดำหน้าตาหล่อดุจเซียนจากสวรรค์ เขาช่างโดดเด่นกว่าทุกๆคน มองกี่ครั้งเลี่ยหยางก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ เมื่อเยว่หลิงมาถึงหน้าร้านเขาจ้องมองหน้าของเลี่ยหยาง แม้ใบหน้าจะเย็นชา แต่แววตานั้นกลับดูสดใสมีความสุข
"วันนี้วาสนาปากข้าจะเป็นสิ่งใดหนอ?" เลี่ยหยางทักทายแบบกวนๆ
เยว่หลิงเปิดปิ่นโตออกมา เป็นอาหาร 2 อย่าง
1. ข้าวต้มทรงเครื่องราชสำนัก ประกอบด้วย ข้าวเหนียว, ถั่ว, ธัญพืช และผลไม้อบ ซึ่งปกติแล้วจัดเสริฟเฉพาะโต๊ะอาหารในคฤหาสน์ขุนนางขึ้นไปเท่านั้น
2. ปลาต้มไท่จื่อ เป็นปลาสดทั้งตัว นึ่งกับขิง, ต้นหอม และซอสพิเศษ วัตถุดิบหายาก ปรุงละเอียดเพื่อคงรสชาติเนื้อปลา เป็นสัญลักษณ์ถึงความสง่างามและยศศักดิ์ของพวกขุนนางขึ้นไป
"โอ้โห! หลิงหลิง อาหารล้ำค่าเช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าเป็นมหาเสนาบดีหรือไง?"
"ข้าทำเอง..." ไป๋เยวหลิงพูดเบาๆ
เลี่ยหยางไม่รอช้ารีบใช้ตะเกียบกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่มูมมาม ไม่มีมารยาทผู้ดีเลย
"เจ้าก็กินด้วยสิ หลิงหลิง ข้ากินคนเดียไม่หมดหรอก"
เยว่หลิงจับหยิบตะเกียบอีกอันที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อมานั่งกินร่วมกับเขา (ตั้งใจเตรียมตะเกียบมา 2 อันแต่แรกแล้ว ร้ายใช่เล่นนะคุณชายเย็นชา)
ทั้งคู่รับประทานอาหารไปสักพัก ทันใดนั้นทหารเกราะเหล็กมากมายก็มายืนออเต็มหน้าร้านตีเหล็ก
ป้าร้านขายหมูรีบเรียกลุงผ่าฟืน เจ้าของร้านซาลาเปา และคนอื่นๆในตลาด เตรียมจะหยิบอาวุธมาช่วยเลี่ยหยาง
แต่ทันใดนั้นก็มีชายร่างเล็กแทรกขึ้นมายืนด้านหน้า ผิวขาวซีดไร้ชีวิตชีวา ดวงตาแฝงความเจ้าเล่ห์และความเศร้า เสื้อคลุมของเขาเป็นผ้าสีหม่น ดำสนิท มีลวดลายประดับ เป็นชุดขันทีในวังหลวง เขาคือขันทีอาวุโสสุ่นนั่นเอง
"ไป๋เยว่หลิงรับราชโอการ!"
เยว่หลิงรีบนั่งคุกเข่า เลี่ยหยางมีอาการรเงอะงะเยว่หลิงจึงรีบดึงขากางเกงให้คุกเข่าลงตาม เมื่อทั้งสองคุกเข่าแล้วขันทีก็อ่านราชโองการ
"คุณชายไป๋เยว่หลิง พร้อมสรรพด้วยความรู้ความสามารถและสง่างาม เรารู้สึกเสียใจกับเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเจ้า เพื่อปลอบโยน เราจึงปรึกษากับผู้นำตระกูลไป๋แล้วเห็นควรแต่งตั้งให้เจ้าเป็นราชบุตรเขยอภิเสกสมรสกับองค์หญิงลำดับที่ 14 โดยให้จัดพิธีที่จวนเจ้าเมือง"
ไป๋เยว่หลิงมีแววตาจมลึกอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่แสดงอาการอะไร ขันทีสุ่นยื่นม้วนราชโอกงการให้เยว่หลิง
"ขอแสดงความยินดับกับคุณชายไป๋ ไม่สิ! ท่านราชบุตรเขย บัดนี้องค์หญิงลำดับที่ 14 ได้เสด็จมาพำนักที่เรือนรับรองเจ้าเมืองแล้ว อีก 3 วันให้แต่งงานได้เลย ท่านไปเตรียมตัวเถอะ"
ไป๋เยว่หลิงยังคงนิ่ง ขันทีสุ่นจึงพูดซ้ำอีกครั้ง
"คุณชายไป๋ กรุณารับราชโองการด้วย!"
ไป๋เยว่หลิงยังคงนิ่ง
"ไป๋เยว่หลิง! เจ้าคิดจะขัดราชโองการหรืออย่างไร!"
เลี่ยหยางจองมองไปที่ขันที่สุ่นด้วยแววตาโกรธ
"เจ้า...พวกเจ้า!"
ไป๋เยว่หลิงเห็นท่าไม่ดี จึงยื่นมือไปรับม้วนราชโองการ แล้วขันทีสุ่นและกองทหารก็เดินจากไปทันที
เลี่ยหยาง เก็บความรู้สึกในใจ แล้วเข้ามากอดคอแสดงความดีใจด้วย
"ดีใจด้วยหลิงหลิง นี่ข้าจะได้เป็นสหายกับท่านราชบุตรเขยผู้สูงส่งแล้ว ฮ่า ๆ"
"เจ้าต้องการแบบนี้หรือ?" เยว่หลิงหันมามองเลี่ยหยางด้วยเวลาตาจริงจัง
"เอ่อ...ข...ข้า...."
เยว่หลิงไม่รอคำตอบ เขาลุกขึ้น ถือม้วนราชโองการแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปเกาะบนยอดต้นไม้ใหญ่ ทำเอาผู้คนในตลาดมากมายร้องว้าวทึ่งในความสามารถ แล้วเขาก็ใช้วิชาตัวเบาลอยหายไปไกล ราวกับเทพเซียนเหาะกลับสวรรค์ ทิ้งไว้แต่เลี่ยยางที่มองตามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
(3 วันผ่านไป)
.....คืนนี้จวนเจ้าเมืองประดับตกแต่งไฟสวยงาม โคมแดงผ้าแดงมากมาย ชนชั้นสูงทั้งขุนนางและเศรษฐีมากมายเดินเข้ามาในงานแต่ง
ร่างสูงโปร่งสมบูรณ์แบบของไป๋เยว่หลิงถูกห่อหุ้มด้วยชุดเจ้าบ่าวสีแดงเพลิง ทอลวดลายมังกรทองเลื้อยพันผ้าอย่างวิจิตร ด้ายทองเมื่อสะท้อนกับแสงโคมไฟในห้องพิธี ยิ่งทำให้เขาดูคล้ายบุรุษเหนือโลกา ดวงตาคมกริบราวคมกระบี่จ้องมองตรงไปข้างหน้า ไม่หวั่นไหวต่อเสียงซุบซิบหรือสายตาผู้คน ผมยาวสีดำถูกรวบเกล้าสูง ประดับด้วยปิ่นหยกมันวาว ใบหน้าคมสันให้เด่นสง่า ไม่ใช่แค่คุณหนูต่างๆ แม้แต่ภรรยาขุนนาง,เศรษฐีก็จ้องมองไป๋เยว่หลิงตาเป็นมัน ทำไมเขาช่างหล่อได้ขนาดนี้ ราวกับไม่ใช่บุรุษที่มีอยู่จริงบนโลกนี้
แต่ในแววตานั้น… มิได้มีเพียงความงดงามของเจ้าบ่าวในพิธีสมรส หากแต่ยังแฝง แรงกดดัน อันตราย และความโศกเงียบงันบางอย่าง ที่ทำให้ผู้มองไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
และแล้วองค์หญิงก็เสด็จมาถึง ทุกคนในงานแม้แต่เจ้าเมืองก็ต้องโค้งคำนับ ฉลองพระองค์เจ้าสาวสีแดงชาด ปักดิ้นทองเป็นรูปหงส์เหินร่ายรำรายล้อมด้วยดอกโบตั๋น เส้นไหมทองละเอียดจนแสงโคมไฟสะท้อนวูบวาบคล้ายเปลวเพลิง ผ้าแพรบางชั้นนอกคลุมไหล่ทิ้งชายยาวลากไปตามพื้นพรมแดง ศีรษะของนางประดับด้วยมงกุฎทำจากทองคำแท้ ประดับอัญมณีทับทิมและปีกนกกระเต็นน้ำเงินระยิบระยับ พู่ทองห้อยยาวเคลื่อนไหวทุกครั้งที่ก้าวเดิน ริมฝีปากแดงฉ่ำ ผ้าคลุมหน้าแดงสดทอลายหงส์คู่ปักดิ้นทอง ทุกการเคลื่อนไหวยังคงงดงามสง่า สมฐานะเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่ง
เสียงฆ้องมงคลดังสนั่นก้องทั่วโถงพิธี โคมไฟสีแดงพันด้วยแพรไหมแกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะ ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นกลางท้องฟ้า แต่ในสายตาของไป๋เยว่หลิงกลับไม่มีแสงใดเจิดจ้า มีเพียง ความเย็นชา เมื่อเข้าด้านในเพื่อเริ่มคำนับฟ้าดิน เยว่หลิงคุกเข่านิ่ง ไม่คำนับสิ่งใด
ขันทีชราในชุดหม่นใบหน้าซีด ก้าวออกมากลางโถง เสียงแหลมเล็กก้องชัด
“กองทหาร! บังคับให้มันคำนับตามพิธี!”
เสียงก้าวเท้าทหารหลายสิบคนเข้ามาพร้อมกัน กระบี่ยกขึ้นไขว้เป็นกำแพงเหล็กกดดันจากรอบทิศ แสงสะท้อนคมดาบแลบวูบวาบเข้าตาไป๋เยว่หลิงราวกับเตือนว่าหากขัดขืน จะสังหารทันที
"คำนับ 1 ฟ้าดิน เพื่อแสดงความเคารพต่อสวรรค์และผืนดิน" ขันทีสุ่นเสียงเล็กแหลมสั่ง
ไป๋เยว่หลิงถูกบังคับกดตัวลง เขาก้มศีรษะช้าๆ ต่อหน้าฟ้าดิน แต่แววตาคมดุจคมกระบี่ยังคงจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ยอมศิโรราบ
"คำนับ 2 คำนับผู้ใหญ่ฝ่ายทั้งสอง เพื่อแสดงความกตัญญู" เสียงสั่งอีกครั้ง (ทั้งคู่ไม่มีญาติผู้ใหญ่มา จึงถูกให้คำนับม้วนพระราชโองการแทน)
"คำนับ 3 เจ้าบ่าวเจ้าสาวหันหน้าเข้าหากัน แล้วคำนับกัน เพื่อยอมรับกันและกันเป็นสามีภรรยา"
เสียงขันทีพูดเสียงแหลมเล็กมาเป็นครั้งสุดท้าย ไป๋เยว่หลิงถูกบังคับให้หันไปเผชิญหน้าองค์หญิงในชุดเจ้าสาวสีแดงที่อยู่ข้าง ๆ
เขาไม่ยอมก้มหัว ขันทีชราเหลืออดจึงเรียกทหารทั้งหมดช่วยกันจับกดหัวเขาลงให้ได้
เมื่อเขาก้มศีรษะลง ดวงตาคมกริบยังตรึงอยู่บนใบหน้าขององค์หญิง ราวกับไม่ใช่การคำนับของคู่บ่าวสาว แต่คือ คำประกาศกร้าวเงียบๆ ว่า แม้ในพันธะที่ถูกบังคับ เขาก็ยังคงเป็นกระบี่ที่ไม่เคยหักโค้งงอ
เมื่อคำนับเสร็จ ขันทีสั่งทหารกระชากเสื้อผ้าไป๋เยว่หลิงออกเหลือแค่กางเกงขาวบางๆ ตัวเดียว เอาเชือกมามัดเยว่หลิงไว้ แล้วลากส่งตัวทั้งคู่เขาห้องหอทันที
....แสงตะเกียงน้ำมันสาดเงาสีแดงชาดไปทั่วห้อง ผ้าม่านแพรสีแดงเข้มปักลายหงส์และมังกรโอบล้อมเตียงหอขนาดใหญ่ กลิ่นกำยานหอมหวานแต่ขมลึก ลอยอ้อยอิ่งปกคลุมจนแทบหายใจไม่ออก เสียงกลองและขลุ่ยที่ดังมาทั้งวันเงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบวังเวงจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
องค์หญิง 14 นั่งบนขอบเตียง ผ้าคลุมหน้าแดงยังปิดบังดวงตา นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับ ราวกับกลายเป็นหุ่นในพิธีกรรม ด้านหน้ามีเพียงถ้วยเหล้าแต่งงานคู่ที่ยังไม่ถูกแตะต้อง
เพียงชั่วขณะนั้น องค์หญิงเปิดผ้าออก แววตาของนางเผยให้เห็นความตึงเครียดและความหวาดหวั่นที่ซ่อนอยู่ลึก ดวงตาคู่งามสั่นไหว
ภายในห้องหอเงียบจนแม้แต่เสียงไหม้ของไส้ตะเกียงก็ได้ยินชัด ทว่าในความเงียบนั้นกลับแฝงความน่าหวาดหวั่น… นี่ไม่ใช่คืนแห่งความรัก แต่คือการผูกพันด้วยโซ่ตรวนที่หลีกหนีไม่ได้
"ข้าขอโทษ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว" องค์หญิงร้องไห้
"ข้า....ข้าทำให้ท่านต้องมาพลอยลำบากไปด้วย ข้าขอโทษ"
"ข....ข้าท้อง!"
ไป๋เยว่หลิงในเงาสลัว ใบหน้างามดุจหยกเจียรไน เมื่อไร้เสื้อผ้า เผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่ต้องแสงจันทร์สว่างไสว แม้จะดูผอมไปหน่อย แต่อกเอวหน้าท้องนั่นช่างดูเย้ายวนใจยิ่งนัก หากเป็นหญิงอื่น อยู่เพียงลำพังกับเขาแบบนี้ คงอดใจไม่ได้ที่จะสนองราคะทั้งคืนเป็นแน่
แต่องค์หญิงกลับก้มหน้าร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจที่อัดอ้้นมานาน เยว่หลิงไม่ได้มององค์หญิงแต่เขามองออกไปนอกหน้าต่างราวกับรอใครสักคนอยู่
องค์หญิงไม่ได้สนใจเยว่หลิง นางเพียงอยากระบายสิ่งที่กดดันนางมาตลอด แม้ฟังไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ แต่ก็พอจับใจความได้ว่านางถูกฮ่องเต้ซึ่งเป็นพ่อแท้ ๆ เมาแล้วข่มขืนนางจนท้อง ลูกที่ออกมาต้องมีปัญหาแน่ ๆ นี่เป็นเหตุให้ฮ่องเต้และผู้นำตระกูลไป๋รวมหัวกันรีบโยนนางมาให้เศษสวะปลายแถวอย่างไป๋เยว่หลิงรับผิดชอบแทน
ขณะที่นางพร่ำบ่นระบายทุกข์อยู่นั้นลมเย็นๆ พัดจนผ้าม่านหน้าต่างพริ้ว ทำให้แสงจันทร์ลอดเข้ามา เผยให้เห็นกระบี่เงาคมวาววับจ่อที่คอองค์หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย!
กระบี่นี้อยู่ในมือชายชุดดำสนิทร่างสูงสง่า ผมยาวถึงไหล่ ผ้าปิดใบหน้าท่อนล่าง แต่เห็นแววตาเฉียบคมราวงกับราชสีห์พร้อมตระครุบเหยื่อ
เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่มีใครสังเกตุเห็นเลย เงียบ...มาก เงียบยิ่งกว่าเสียงแมลงบินเสียอีก นิ่งจนไม่น่าเชื่อ รู้ชัดว่าชายผู้นี้คือนักฆ่าที่มีฝีมือสูงมาก
องค์หญิงนางกลัวจนน้ำตาหยุดไหล
"เจ้ามาแล้วหรือ?" เยว่หลิงพูดน้ำเสียงเรียบง่ายแต่แฝงความดีใจเป็นที่สุด
"อื้อ!" ชายชุดดำหลับตาข้างหนึ่งให้ มันคือสัญลักษณ์ยียวนการเล่นหูเล่นตาของเลี่ยหยางนั่นเอง
เลี่ยหยางอดใจไม่ได้ที่จะจ้องมองตั้งแต่คอ หน้าอก ลงไปถึงหน้าท้อง และผ้าขาวบางๆ ที่ปิดขาอ่อนไว้ จิตใจสับสน ผู้ชายอะไรทำไมผิวเนียนละเอียดยิ่งกว่าสาวงาม นี่ขนาดมีแค่แสงจันทร์ผิวยังขาวสว่างออร่าได้ขนาดนี้ อื้อหือ! เลี่ยหยางกลืนน้ำลายดังอึก
....ก่อนที่จะเพ้อไปมากกว่านี้ เยว่หลิงก็พูดขึ้นมา
"ไปกันเถอะ..." เยว่หยิงฝืนกระดูกข้อมือทีเดียวเชือกที่มัดอยู่ก็หลุด
"อ้าว! เจ้าหนีได้ทำไมไม่หนีเอง?"
ไป๋เยว่หลิงมองดวงตาเขาดวงความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
“ก็ข้าจะอยากให้เจ้ามาช่วย...”
.....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ
....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้
....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก
.....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า
.....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็
.....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว


![อุบัติรักฟีโรโมน [Omagaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




