Share

ราชบุตรเขย

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-24 18:58:23

(1 เดือนผ่านไป)

.....ณ ร้านตีเหล็กในตลาด เลี่ยหยางกลับมาทำงานได้ปกติแล้ว ป้าร้านขายหมูเดินมาตีก้นเลี่ยหยางดังเพี๊ยะ!

"เดี๋ยวนี้ก้นนิ่มจังเลยนะ! โน่น! คุณชายหน้าหล่อเอาอาหารมาให้เจ้าแล้ว"

เลี่ยหยางเงยหน้ามองเห็นเยว่หลิงเดินมาแต่ไกล คุณชายในชุดขาวบริสุทธิ์ร่างสูงผมสีดำหน้าตาหล่อดุจเซียนจากสวรรค์ เขาช่างโดดเด่นกว่าทุกๆคน มองกี่ครั้งเลี่ยหยางก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ เมื่อเยว่หลิงมาถึงหน้าร้านเขาจ้องมองหน้าของเลี่ยหยาง แม้ใบหน้าจะเย็นชา แต่แววตานั้นกลับดูสดใสมีความสุข

"วันนี้วาสนาปากข้าจะเป็นสิ่งใดหนอ?" เลี่ยหยางทักทายแบบกวนๆ

เยว่หลิงเปิดปิ่นโตออกมา เป็นอาหาร 2 อย่าง

1. ข้าวต้มทรงเครื่องราชสำนัก ประกอบด้วย ข้าวเหนียว, ถั่ว, ธัญพืช และผลไม้อบ ซึ่งปกติแล้วจัดเสริฟเฉพาะโต๊ะอาหารในคฤหาสน์ขุนนางขึ้นไปเท่านั้น

2. ปลาต้มไท่จื่อ เป็นปลาสดทั้งตัว นึ่งกับขิง, ต้นหอม และซอสพิเศษ วัตถุดิบหายาก ปรุงละเอียดเพื่อคงรสชาติเนื้อปลา เป็นสัญลักษณ์ถึงความสง่างามและยศศักดิ์ของพวกขุนนางขึ้นไป

"โอ้โห! หลิงหลิง อาหารล้ำค่าเช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าเป็นมหาเสนาบดีหรือไง?"

"ข้าทำเอง..." ไป๋เยวหลิงพูดเบาๆ

เลี่ยหยางไม่รอช้ารีบใช้ตะเกียบกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่มูมมาม ไม่มีมารยาทผู้ดีเลย

"เจ้าก็กินด้วยสิ หลิงหลิง ข้ากินคนเดียไม่หมดหรอก"

เยว่หลิงจับหยิบตะเกียบอีกอันที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อมานั่งกินร่วมกับเขา (ตั้งใจเตรียมตะเกียบมา 2 อันแต่แรกแล้ว ร้ายใช่เล่นนะคุณชายเย็นชา)

ทั้งคู่รับประทานอาหารไปสักพัก ทันใดนั้นทหารเกราะเหล็กมากมายก็มายืนออเต็มหน้าร้านตีเหล็ก

ป้าร้านขายหมูรีบเรียกลุงผ่าฟืน เจ้าของร้านซาลาเปา และคนอื่นๆในตลาด เตรียมจะหยิบอาวุธมาช่วยเลี่ยหยาง

แต่ทันใดนั้นก็มีชายร่างเล็กแทรกขึ้นมายืนด้านหน้า ผิวขาวซีดไร้ชีวิตชีวา ดวงตาแฝงความเจ้าเล่ห์และความเศร้า เสื้อคลุมของเขาเป็นผ้าสีหม่น ดำสนิท มีลวดลายประดับ เป็นชุดขันทีในวังหลวง เขาคือขันทีอาวุโสสุ่นนั่นเอง

"ไป๋เยว่หลิงรับราชโอการ!"

เยว่หลิงรีบนั่งคุกเข่า เลี่ยหยางมีอาการรเงอะงะเยว่หลิงจึงรีบดึงขากางเกงให้คุกเข่าลงตาม เมื่อทั้งสองคุกเข่าแล้วขันทีก็อ่านราชโองการ

"คุณชายไป๋เยว่หลิง พร้อมสรรพด้วยความรู้ความสามารถและสง่างาม เรารู้สึกเสียใจกับเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเจ้า เพื่อปลอบโยน เราจึงปรึกษากับผู้นำตระกูลไป๋แล้วเห็นควรแต่งตั้งให้เจ้าเป็นราชบุตรเขยอภิเสกสมรสกับองค์หญิงลำดับที่ 14 โดยให้จัดพิธีที่จวนเจ้าเมือง"

ไป๋เยว่หลิงมีแววตาจมลึกอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่แสดงอาการอะไร ขันทีสุ่นยื่นม้วนราชโอกงการให้เยว่หลิง

"ขอแสดงความยินดับกับคุณชายไป๋ ไม่สิ! ท่านราชบุตรเขย บัดนี้องค์หญิงลำดับที่ 14 ได้เสด็จมาพำนักที่เรือนรับรองเจ้าเมืองแล้ว อีก 3 วันให้แต่งงานได้เลย ท่านไปเตรียมตัวเถอะ"

ไป๋เยว่หลิงยังคงนิ่ง ขันทีสุ่นจึงพูดซ้ำอีกครั้ง

"คุณชายไป๋ กรุณารับราชโองการด้วย!"

ไป๋เยว่หลิงยังคงนิ่ง

"ไป๋เยว่หลิง! เจ้าคิดจะขัดราชโองการหรืออย่างไร!"

เลี่ยหยางจองมองไปที่ขันที่สุ่นด้วยแววตาโกรธ

"เจ้า...พวกเจ้า!"

ไป๋เยว่หลิงเห็นท่าไม่ดี จึงยื่นมือไปรับม้วนราชโองการ แล้วขันทีสุ่นและกองทหารก็เดินจากไปทันที

เลี่ยหยาง เก็บความรู้สึกในใจ แล้วเข้ามากอดคอแสดงความดีใจด้วย

"ดีใจด้วยหลิงหลิง นี่ข้าจะได้เป็นสหายกับท่านราชบุตรเขยผู้สูงส่งแล้ว ฮ่า ๆ"

"เจ้าต้องการแบบนี้หรือ?" เยว่หลิงหันมามองเลี่ยหยางด้วยเวลาตาจริงจัง

"เอ่อ...ข...ข้า...."

เยว่หลิงไม่รอคำตอบ เขาลุกขึ้น ถือม้วนราชโองการแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปเกาะบนยอดต้นไม้ใหญ่ ทำเอาผู้คนในตลาดมากมายร้องว้าวทึ่งในความสามารถ แล้วเขาก็ใช้วิชาตัวเบาลอยหายไปไกล ราวกับเทพเซียนเหาะกลับสวรรค์ ทิ้งไว้แต่เลี่ยยางที่มองตามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

(3 วันผ่านไป)

.....คืนนี้จวนเจ้าเมืองประดับตกแต่งไฟสวยงาม โคมแดงผ้าแดงมากมาย ชนชั้นสูงทั้งขุนนางและเศรษฐีมากมายเดินเข้ามาในงานแต่ง 

ร่างสูงโปร่งสมบูรณ์แบบของไป๋เยว่หลิงถูกห่อหุ้มด้วยชุดเจ้าบ่าวสีแดงเพลิง ทอลวดลายมังกรทองเลื้อยพันผ้าอย่างวิจิตร ด้ายทองเมื่อสะท้อนกับแสงโคมไฟในห้องพิธี ยิ่งทำให้เขาดูคล้ายบุรุษเหนือโลกา ดวงตาคมกริบราวคมกระบี่จ้องมองตรงไปข้างหน้า ไม่หวั่นไหวต่อเสียงซุบซิบหรือสายตาผู้คน ผมยาวสีดำถูกรวบเกล้าสูง ประดับด้วยปิ่นหยกมันวาว ใบหน้าคมสันให้เด่นสง่า ไม่ใช่แค่คุณหนูต่างๆ แม้แต่ภรรยาขุนนาง,เศรษฐีก็จ้องมองไป๋เยว่หลิงตาเป็นมัน ทำไมเขาช่างหล่อได้ขนาดนี้ ราวกับไม่ใช่บุรุษที่มีอยู่จริงบนโลกนี้

แต่ในแววตานั้น… มิได้มีเพียงความงดงามของเจ้าบ่าวในพิธีสมรส หากแต่ยังแฝง แรงกดดัน อันตราย และความโศกเงียบงันบางอย่าง ที่ทำให้ผู้มองไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

และแล้วองค์หญิงก็เสด็จมาถึง ทุกคนในงานแม้แต่เจ้าเมืองก็ต้องโค้งคำนับ ฉลองพระองค์เจ้าสาวสีแดงชาด ปักดิ้นทองเป็นรูปหงส์เหินร่ายรำรายล้อมด้วยดอกโบตั๋น เส้นไหมทองละเอียดจนแสงโคมไฟสะท้อนวูบวาบคล้ายเปลวเพลิง ผ้าแพรบางชั้นนอกคลุมไหล่ทิ้งชายยาวลากไปตามพื้นพรมแดง ศีรษะของนางประดับด้วยมงกุฎทำจากทองคำแท้ ประดับอัญมณีทับทิมและปีกนกกระเต็นน้ำเงินระยิบระยับ พู่ทองห้อยยาวเคลื่อนไหวทุกครั้งที่ก้าวเดิน ริมฝีปากแดงฉ่ำ ผ้าคลุมหน้าแดงสดทอลายหงส์คู่ปักดิ้นทอง ทุกการเคลื่อนไหวยังคงงดงามสง่า สมฐานะเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่ง

เสียงฆ้องมงคลดังสนั่นก้องทั่วโถงพิธี โคมไฟสีแดงพันด้วยแพรไหมแกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะ ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นกลางท้องฟ้า แต่ในสายตาของไป๋เยว่หลิงกลับไม่มีแสงใดเจิดจ้า มีเพียง ความเย็นชา เมื่อเข้าด้านในเพื่อเริ่มคำนับฟ้าดิน เยว่หลิงคุกเข่านิ่ง ไม่คำนับสิ่งใด

ขันทีชราในชุดหม่นใบหน้าซีด ก้าวออกมากลางโถง เสียงแหลมเล็กก้องชัด

“กองทหาร! บังคับให้มันคำนับตามพิธี!”

เมื่อเริ่มมีคนซุบซิบ ขันทีสุ่นจึงสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วเรียกทหารเข้ามา ปิดประตูห้อง

เสียงก้าวเท้าทหารหลายสิบคนเข้ามาพร้อมกัน กระบี่ยกขึ้นไขว้เป็นกำแพงเหล็กกดดันจากรอบทิศ แสงสะท้อนคมดาบแลบวูบวาบเข้าตาไป๋เยว่หลิงราวกับเตือนว่าหากขัดขืน จะสังหารทันที

"คำนับ 1 ฟ้าดิน เพื่อแสดงความเคารพต่อสวรรค์และผืนดิน" ขันทีสุ่นเสียงเล็กแหลมสั่ง

ไป๋เยว่หลิงถูกบังคับกดตัวลง เขาก้มศีรษะช้าๆ ต่อหน้าฟ้าดิน แต่แววตาคมดุจคมกระบี่ยังคงจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ยอมศิโรราบ

"คำนับ 2  คำนับผู้ใหญ่ฝ่ายทั้งสอง เพื่อแสดงความกตัญญู" เสียงสั่งอีกครั้ง (ทั้งคู่ไม่มีญาติผู้ใหญ่มา จึงถูกให้คำนับม้วนพระราชโองการแทน)

ทหารกดบ่าเขาอย่างรุนแรง บังคับให้คำนับม้วนราชโองการ แววตาไป๋เยว่หลิงแข็งกร้าวราวกับเหล็กหลอม นี่มิใช่การคำนับด้วยศรัทธา หากแต่คือการบังคับให้ เทพกระบี่ก้มศีรษะดั่งเชลยศึก

"คำนับ 3 เจ้าบ่าวเจ้าสาวหันหน้าเข้าหากัน แล้วคำนับกัน เพื่อยอมรับกันและกันเป็นสามีภรรยา"

เสียงขันทีพูดเสียงแหลมเล็กมาเป็นครั้งสุดท้าย ไป๋เยว่หลิงถูกบังคับให้หันไปเผชิญหน้าองค์หญิงในชุดเจ้าสาวสีแดงที่อยู่ข้าง ๆ 

เขาไม่ยอมก้มหัว ขันทีชราเหลืออดจึงเรียกทหารทั้งหมดช่วยกันจับกดหัวเขาลงให้ได้

เมื่อเขาก้มศีรษะลง ดวงตาคมกริบยังตรึงอยู่บนใบหน้าขององค์หญิง ราวกับไม่ใช่การคำนับของคู่บ่าวสาว แต่คือ คำประกาศกร้าวเงียบๆ ว่า แม้ในพันธะที่ถูกบังคับ เขาก็ยังคงเป็นกระบี่ที่ไม่เคยหักโค้งงอ

เมื่อคำนับเสร็จ ขันทีสั่งทหารกระชากเสื้อผ้าไป๋เยว่หลิงออกเหลือแค่กางเกงขาวบางๆ ตัวเดียว เอาเชือกมามัดเยว่หลิงไว้  แล้วลากส่งตัวทั้งคู่เขาห้องหอทันที

....แสงตะเกียงน้ำมันสาดเงาสีแดงชาดไปทั่วห้อง ผ้าม่านแพรสีแดงเข้มปักลายหงส์และมังกรโอบล้อมเตียงหอขนาดใหญ่ กลิ่นกำยานหอมหวานแต่ขมลึก ลอยอ้อยอิ่งปกคลุมจนแทบหายใจไม่ออก เสียงกลองและขลุ่ยที่ดังมาทั้งวันเงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบวังเวงจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

องค์หญิง 14 นั่งบนขอบเตียง ผ้าคลุมหน้าแดงยังปิดบังดวงตา นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับ ราวกับกลายเป็นหุ่นในพิธีกรรม ด้านหน้ามีเพียงถ้วยเหล้าแต่งงานคู่ที่ยังไม่ถูกแตะต้อง

เพียงชั่วขณะนั้น องค์หญิงเปิดผ้าออก แววตาของนางเผยให้เห็นความตึงเครียดและความหวาดหวั่นที่ซ่อนอยู่ลึก ดวงตาคู่งามสั่นไหว 

ภายในห้องหอเงียบจนแม้แต่เสียงไหม้ของไส้ตะเกียงก็ได้ยินชัด ทว่าในความเงียบนั้นกลับแฝงความน่าหวาดหวั่น… นี่ไม่ใช่คืนแห่งความรัก แต่คือการผูกพันด้วยโซ่ตรวนที่หลีกหนีไม่ได้

"ข้าขอโทษ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว" องค์หญิงร้องไห้

"ข้า....ข้าทำให้ท่านต้องมาพลอยลำบากไปด้วย ข้าขอโทษ"

"ข....ข้าท้อง!"

ไป๋เยว่หลิงในเงาสลัว ใบหน้างามดุจหยกเจียรไน เมื่อไร้เสื้อผ้า เผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่ต้องแสงจันทร์สว่างไสว แม้จะดูผอมไปหน่อย แต่อกเอวหน้าท้องนั่นช่างดูเย้ายวนใจยิ่งนัก หากเป็นหญิงอื่น อยู่เพียงลำพังกับเขาแบบนี้ คงอดใจไม่ได้ที่จะสนองราคะทั้งคืนเป็นแน่

แต่องค์หญิงกลับก้มหน้าร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจที่อัดอ้้นมานาน เยว่หลิงไม่ได้มององค์หญิงแต่เขามองออกไปนอกหน้าต่างราวกับรอใครสักคนอยู่

องค์หญิงไม่ได้สนใจเยว่หลิง นางเพียงอยากระบายสิ่งที่กดดันนางมาตลอด แม้ฟังไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ แต่ก็พอจับใจความได้ว่านางถูกฮ่องเต้ซึ่งเป็นพ่อแท้ ๆ  เมาแล้วข่มขืนนางจนท้อง ลูกที่ออกมาต้องมีปัญหาแน่ ๆ นี่เป็นเหตุให้ฮ่องเต้และผู้นำตระกูลไป๋รวมหัวกันรีบโยนนางมาให้เศษสวะปลายแถวอย่างไป๋เยว่หลิงรับผิดชอบแทน

ขณะที่นางพร่ำบ่นระบายทุกข์อยู่นั้นลมเย็นๆ พัดจนผ้าม่านหน้าต่างพริ้ว ทำให้แสงจันทร์ลอดเข้ามา เผยให้เห็นกระบี่เงาคมวาววับจ่อที่คอองค์หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย!

กระบี่นี้อยู่ในมือชายชุดดำสนิทร่างสูงสง่า ผมยาวถึงไหล่ ผ้าปิดใบหน้าท่อนล่าง แต่เห็นแววตาเฉียบคมราวงกับราชสีห์พร้อมตระครุบเหยื่อ

เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่มีใครสังเกตุเห็นเลย เงียบ...มาก เงียบยิ่งกว่าเสียงแมลงบินเสียอีก นิ่งจนไม่น่าเชื่อ รู้ชัดว่าชายผู้นี้คือนักฆ่าที่มีฝีมือสูงมาก

องค์หญิงนางกลัวจนน้ำตาหยุดไหล

"เจ้ามาแล้วหรือ?" เยว่หลิงพูดน้ำเสียงเรียบง่ายแต่แฝงความดีใจเป็นที่สุด

"อื้อ!" ชายชุดดำหลับตาข้างหนึ่งให้ มันคือสัญลักษณ์ยียวนการเล่นหูเล่นตาของเลี่ยหยางนั่นเอง

เลี่ยหยางอดใจไม่ได้ที่จะจ้องมองตั้งแต่คอ หน้าอก ลงไปถึงหน้าท้อง และผ้าขาวบางๆ ที่ปิดขาอ่อนไว้ จิตใจสับสน ผู้ชายอะไรทำไมผิวเนียนละเอียดยิ่งกว่าสาวงาม  นี่ขนาดมีแค่แสงจันทร์ผิวยังขาวสว่างออร่าได้ขนาดนี้ อื้อหือ! เลี่ยหยางกลืนน้ำลายดังอึก

....ก่อนที่จะเพ้อไปมากกว่านี้ เยว่หลิงก็พูดขึ้นมา

"ไปกันเถอะ..." เยว่หยิงฝืนกระดูกข้อมือทีเดียวเชือกที่มัดอยู่ก็หลุด

"อ้าว! เจ้าหนีได้ทำไมไม่หนีเอง?"

ไป๋เยว่หลิงมองดวงตาเขาดวงความรู้สึกที่ลึกซึ้ง

“ก็ข้าจะอยากให้เจ้ามาช่วย...”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   ออกเดินทาง

    ......เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก้าวย่างเดินออกจากประตูเมืองทางตะวันออก พอพ้นมาได้นิดเดียวเยว่หลิงก็หันหน้ามามองเลี่ยหยาง "กว่างโจวไปทางไหน?"เลี่ยหยางเกาหัวแกร่กๆ "ก็ต้องลงใต้ ถ้าจะเดินทางบนบกจากตรงนี้ก็ต้องไปลั่วหยางก่อน แล้วผ่านลงไปเรื่อยๆถึงเมืองฉางซา เลยไปอีกก็ถึงกว่างโจวละ""แต่...ถ้าเจ้าอยากไปทางน้ำเราอาจต้องอ้อมหน่อยไปทางตะวันออกเพื่อขึ้นเรือที่ท่าเรือหางโจวแล้วจึงลงใต้"เยว่หลิงมองหน้าอย่างเฉยชา เลี่ยหยางคิดในใจ "ให้ตรูตัดสินใจแทนอีกแล้วชิมิ""ถ้าเจ้าอยากกินซุปน้ำแกงและอาหารดอกโบตั๋น (ใช้ดอกไม้ในอาหาร) รวมถึงงานเลี้ยงรื่นเริงที่เสิร์ฟอาหารเยอะๆ 10-20 อย่าง ก็ลั่วหยาง""แต่...ถ้าเจ้าอยากกินปลามังกรน้ำใสตุ๋น, เนื้อหมูตงพอ และชาหลงจิ่ง และเจอพวกนักกลอนกวีเยอะๆ ก็ต้องหางโจว"เลี่ยอยางเอามือแตะที่ท้องบางๆของเยว่หลิง "ถามทาเถี่ย(สัตว์ในตำนานยุคโบราณ)ในท้องเจ้าดูว่ามันอยากกินอะไร?"เยว่หลิงมองหน้าอย่างเฉยชาเช่นเดิม เลี่ยหยางถอนหายใจแรง"งั้นก็ไปลั่วหยาง! เฮฮาดี ข้าเกลียดพวกกวีตุ๊งติ้ง" ว่าแล้วเลี่ยหยางก็เดินนำเลย โดยมีเยว่หลิงเดินตามหลังต้อยๆ.....เดินทางมาสักพักทั้งคู่ก็มาถึงที่ราบกว้า

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   (ภาคฉางอัน) ค่ำคืนสุดท้ายที่ฉางอัน...

    ...คืนนี้เรือนพักเงียบสงบ มีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องวูบวาบไหวบนโต๊ะไม้ แสงนั้นทอดลงบนหน้าอกแน่นๆของเลี่ยหยาง เขาร้อนมากจึงถอดเสื้อออก เปลือยเปล่าท่อนบน กล้ามเนื้อไหล่และเแผ่นอกตึงแน่นมองเห็นได้ชัดเจน มีเหงื่อบางๆไหลซึมตามผิวอก และกล้ามท้องซิกแพ็คแน่น ๆ ของเขาเยว่หลิงอดไม่ได้ที่จะแอบดูรูปร่างอันเซ็กซี่นั้น จนเลี่ยหยางสังเกตุเห็น"อากาศว่าร้อนแล้ว แต่สายนั้นของเจ้าร้อนยิ่งกว่าอีกนะ หลิงหลิง"เลี่ยหยางยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาเยว่หลิง ใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจประสานกัน ริมฝีปากแทบจะแตะต้องกัน เยว่หลิงถอยไปจนพิงขอบประตู"หลิงหลิงเจ้าก็ถอดบ้างสิ ร้อนซะขนาดนี้"เลี่ยหยางใช้มือขวาแกะเสื้อเยว่หลิงออก จนเสื้อแหวกออกทำให้เห็นหน้าอกแล้วซิกแพ็คลีนๆของเยว่หลิง ผิวที่ขาวเนี่ยนละเอียดนั่นพอต้องแสงตะเกียงแล้วมันช่างสว่างในที่มืดเสียจริง ราวกับปุยนุ่น เลี่ยหยางกลืนน้ำลายดังอึ่ก เขาอดใจไม่ได้ที่จะใชเปลายนิ้วสัมผัสผิวขาวออร่านั้น เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสค่อยๆไล่จากหน้าอกลงมาถึงใต้สะดือนิดหน่อย"ผิวเจ้านี่นุ่มดีจัง มีกลิ่นหอมนิดๆด้วย" เขาเผลอพูดออกไป เยว่หลิงเอามือจับหน้าอกแน่นๆของเลี่ยหยางคืน "อกเจ้าก็ชุ

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   (ภาคฉางอัน) คำอธิษฐานแห่งดวงดาว

    .....เช้าวันนี้เลี่ยหยางชวนเยว่หลิงไปไหว้ศาลเจ้าเทพแห่งดาวดาวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของนครฉางอัน ศาลแห่งนี้สูงสง่า ประตูไม้ทาสีดำสนิท สลักลายกลุ่มดาวนับพัน เสมือนจักรวาลทั้งปวงถูกรวมไว้ในบานประตูเดียว ภายในศาลเจ้า เงียบสงัด มีเพียงกลิ่นธูปลอยคลุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า บนเพดานมีการวาดดาวฤกษ์เป็นจุดแสงทองคำ เมื่อจุดตะเกียงน้ำมันยามค่ำคืน จะระยิบระยับราวกับท้องฟ้าแท้จริงผู้คนเชื่อว่า หากมากราบไหว้จะได้รับการปกปักคุ้มครองจากเทพเจ้าแห่งดวงดาว ให้เดินทางปลอดภัย และชะตาชีวิตรุ่งเรืองทั้งสองประนมมือไหว้ แล้วเดินชมรอบ ๆ เลี่ยหยางชวยเยว่หลิงเขียนป้ายคำอธิษฐานแขวนไว้ในศาลเจ้า(ฉีหย่วนไผ๋)เหมือนคนอื่น ๆ ที่เขียนหอยแขวนไว้มากมายหลายพันชิ้น เยว่หลิงไม่ได้สนใจแต่ไม่อยากขัดเลี่ยอยางจึงนำแผ่นไม้หอมมาเขียนคำอธิษฐานโดยเลี่ยหยางไปเชื่อนักพรตในศาลเจ้าจ่ายเงินซื้อหยดหมึกผสมน้ำฟ้า(หมึกพิเศษผสมแร่เงิน) ซึ่งจะทำให้แสงจันทร์สะท้อนเป็นประกายเงิน คล้ายป้ายเรืองแสงยามราตรีได้ เสร็จแล้วทั้งคู่ก็นำไปแขวนไว้ที่เสาศิลาแกะสลักรูปดาว"เราใช้หมึกพิเศษ พอตกกลางคืนเมื่อแสงตะเกียงและแสงดาวตกกระทบ ป้ายพวกเราจะสะท้อนแสงวิบวับราวกับ

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   (ภาคฉางอัน) ในคืนจันทร์เพ็ญ

    ....คืนนั้นแสงจันทร์สาดส่องลงมาบน สวนดอกท้อของโรงแรม ดอกสีชมพูอ่อนร่วงโปรยปรายตามทางเดิน เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ประสานกับเสียงน้ำในสระเล็กที่ถูกลมเย็นๆพัดจนเกิดเป็นระลอกคลื่นจาง ๆ สร้างบรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติกเยว่หลิงและเลี่ยหยาง นั่งบนก้อนหินที่วางอยู่ใต้ต้นท้อ โต๊ะเล็กวางไหสุราเสียน กลิ่นหอมของข้าวหมักผสมสมุนไพรลอยอบอวลในอากาศเลี่ยหยางรินสุราลงจอก ดวงตาเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์บนกลีบดอกท้อ เขายกจอกขึ้นจิบ รสเข้มขมแรกแต่กลับหวานนุ่มลึกในลำคอ ส่วนเยว่หลิงแก้มเดาเพราะเมาสุราเล็กน้อย เขาเป่าขลุ่ยเสียงช่างไฟเราะแก่ผู้ฟังยิ่งนัก จนเจ้าแมวขาวประจำโรงแรมเข้ามานอนที่ตักเลี่ยหยางนอนฟังเสียงดนตรี“สุรานี้ช่างหอมเยี่ยงกลิ่นบุปผาในยามราตรี” “แต่สุขที่แท้… มิใช่รสสุรา หากคือผู้ร่วมจอกตรงหน้า” เลี่ยหยางมองหน้าเยว่หลิงด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็เมานิด ๆ สุภาษิตจีนว่าเหล้าดีหนึ่งจอก ดีกว่าทองพันชั่ง หากดื่มกับมิตรแท้ใต้เงาดอกท้อนั้นทั้งสองดื่มด่ำความสุขเรียบง่ายดั่งปุถุชนสามัญทั่วไปแล้วจู่ๆก็มีกู่เจิง(เครื่องดนตรีประเภทสายของจีน)ดังสมทบขึ้น เสียงขลุ่ยและกู่เจิงนั้นเข้ากันได้อย่างดี ฟังดูยิ่งไพเร

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   (ภาคฉางอัน) ท่านต้องเลือก

    .....เมืองเริ่มกลับมาเป็นปกติ ร้านค้าหลาย ๆ ร้านกลับมาเปิดดังเดิม เลี่ยหยางและเยว่หลิงหลังกินโจ๊กร้อนในตลาดช่วงเช้าตรู่กันไปแล้ว คุณชายไป๋ยังอยากเดินหาของกินเพิ่มอีก ทำไมมันกินเยอะขนาดนี้ ตัวก็ผอม ๆ ลีน ๆ ท้องเจ้าหมอนี่ต้องมีทาเถี่ย(สัตว์ในตำนานยุคโบราณ)อยู่จริง ๆ นั่นแหละคุณชายไป๋หยุดที่ร้านขายฮู่ปิ่ง(พิซซ่าโบราณ) มันเป็นแป้งอบแบนโรยงาด้านบน เยว่หลิงนอกจากจะซื้อแล้วยังขอเข้าไปดูว่าเขาทำยังไงอีกด้วยพอออกมาเขาก็เดินไปซื้อเจียวจื่อ ซึ่งเป็นซาลาเปาห่อไส้ รสชาติที่กัดลงไปนั้นมีเครื่องเทศจากด่านแดน(เอเชียกลาง)อยู่ด้วย มันดูแปลกใหม่กว่าซาลาเปาที่อื่นจริง ๆ สมแล้วที่เป็นเมืองแห่งเส้นทางสายไหมสำคัญที่มีหลากหลายชาติพันธุ์อยู่ที่นี่ผลไม้ก็เช่นกัน ลูกอินทผาลัมแห้ง หรือแม้แต่อแปริคอตเชื่อมก็มี แต่ราคาแพงพอสมควร ซึ่งไม่เป็นปัญหากับคุณชายกระเป๋าหนักสกุลไป๋เลยแม้แต่น้อย เขากินทุกอย่างที่เขาอยากกิน ทั้งคู่เดินตลาดกันจนถึงเกือบเที่ยง "กลับที่พักกันเถอะหลิงหลิง เจ้าเดินกินมานานแล้วนะ ข้าเดินจนเมื่อยแล้ว"แล้วเลี่ยหยางก็แอบเห็นใครสักคนกำลังวิ่งหลบเข้าไปในมุมตึก เขาคือนักฆ่ากลุ่มเจ๊แพะตุ๋นนั่นเองเล

  • ดาบสังหาร (Sword of Annihilation)   (ภาคฉางอัน) เพื่อบะหมี่ซานซี

    .....ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลโคมนั้นทำให้ทั้งเมืองฉางอันวุ่นวายกันไปเป็นสัปดาห์ ร้านค้าที่เคยคึกคักก็ไม่กล้าเปิด ทหารก็เดินตรวจตรากันหนาแน่น เลี่ยหยางนั่งเซ็ง ๆ อยู่ที่หน้าต่างในโรงแรมมองดูถนนด้านล่าง"เซ็ง เซ็ง เซ็งโว้ย!"แล้วเยว่หลิงก็เดินเข้ามาใกล้ เขาจับชายเสื้อเลี่ยหยางอยากมีเลศนัย"ข้า....อยากกินบะหมี่ซานซี..." เยว่หลิงกลืนน้ำลายยลงคอดังอึก เนื่องจากเขาเป็นคนผอมสูงอยู่แล้ว เห็นลูกกระเดือกชัดเจน เวลาเขากลืนน้ำลายยิ่งทำให้เห็นการเคลื่อนไหวที่คอนั้นชัดเจนเลี่ยหยางถอนหายใจ "เห้ออออ หลิงหลิง เจ้าก็ดูสิ ร้านอร่อยตรงโน้น ๆ ๆ ๆ มันปิดหมดเลยอ่ะ ข้าก็จนปัญญาจะพาเจ้าไปกิน รออีกหน่อยได้ป่าว?"เลี่ยหยางรีบเตือนเยวหลิงก่อนเลยว่า "แล้วเจ้าอย่าโดดขึ้นไปยอดหอคอยอีกนะ ทหารเต็มไปหมดแบบนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นไปกินข้าวในคุกเอาง่าย ๆ"เยว่หลิงทำปากเบ้ใส่ แววตาเคืองอย่างชัดเจน ทำเอาเลี่ยหยางยิ่งถอนหายใจใหญ่"ท่านลุงช่วงนี้ก็ต้องอยู่นิ่ง ๆ ไปก่อนยังไปติดต่อท่านไม่ได้..."เยว่หลิงทำสายตาน้อยใจ เลี่ยหยางมองดวงตาคู่นั้นพรางนึกในใจ นี่ข้าไม่ต่างจากมารดาเจ้าหลิงหลิงเลย ต้องเอาอกเอาใจดูแลทุกอย่าง ยังก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status