"ทุกอย่างมีราคาต้องจ่าย..." ชายหนุ่มบอกกับฉันว่าอย่างนั้น ในความหมายของเขา คือหากต้องการเงิน ก็ต้องเอาร่างกายมาแลก ภายใต้หน้ากากกระต่ายที่เขาใช้บดบังใบหน้าเพื่อปกปิดตัวตน ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพึงพอใจมากที่สุด แม้ว่านั่น จะแลกมาด้วยอิสระที่หายไปร่วมสองเดือน ไม่ว่าเขาจะเรียกเมื่อไหร่ฉันก็ต้องมา เขาต้องการที่ไหน เมื่อไหร่ ท่าไหน ฉันก็ต้องทำ และกฎเพียงข้อเดียวที่ต้องรักษา คือ...ห้ามเห็นหน้าเขาอย่างเด็ดขาด "ทุกอย่างมีราคาต้องจ่าย อ้าขาออก"
View Moreโลกนี้มันไม่มีหรอก คนที่จะโชคร้ายไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องเลวร้ายมากมายแค่ไหนในชีวิต แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีสักวันที่เป็นของเรา...
ฉันเองก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งได้รับข้อความแบบนี้จากทางโรงพยาบาล
‘คุณแม่ของหนูจะต้องใช้ตัวยาที่แพงขึ้นในการรักษา แต่ว่าทางเราไม่สามารถเบิกจ่ายยาตัวนั้นมาใช้ได้ ยังไงรบกวนจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ค้างเอาไว้ก่อนนะคะ’
บางทีฉันก็ตลกชีวิตตัวเองนะ แม่เคยเล่าว่าแม่เป็นลูกสาวของตระกูลผู้ดีเก่า ยายของฉันมีเชื้อสายของผู้ดีในวังซึ่งตอนนี้มีธุรกิจติดต่อกับต่างชาติทรัพย์สินกว่าร้อยล้าน แต่เพราะเรื่องที่แม่ท้องตอนอายุ 15 กับผู้ชายที่ท่านไม่รู้แม้แต่ชื่อ ทำให้ท่านถูกไล่ออกจากบ้านพร้อมทั้งห้ามเอ่ยถึงเรื่องที่มีเชื้อสายกับตระกูลนั้นอีก ตั้งแต่เกิดมาฉันเคยเจอยายครั้งหนึ่งตอนที่อายุ 7 ขวบ ตอนนั้นแม่ที่ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าว ได้บากหน้าพาฉันไปขอเงินจากยาย ฉันจำได้ติดตาว่ายายโยนเงินมาให้หนึ่งพันบาท หลังจากนั้นก็ไล่ตะเพิดเราสองแม่ลูกออกมา
ฉันในวัยเพียง 7 ขวบ มองเข้าไปในบ้านที่แสนโอ่อ่าหลังนั้น ก่อนจะพบว่ายายเองกำลังเอาอกเอาใจเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ทำให้ฉันตั้งคำถามกับแม่ซ้ำๆ
ฉันผิดอะไร แม่ผิดอะไร...ทำไมเราทั้งคู่ต้องถูกเกลียดด้วย แต่แม่ไม่เคยพูดถึงยายในทางที่ไม่ดีเลย ท่านมีเพียงคำว่า ท่านเสียใจที่ทำให้ยายร้องไห้ ถ้าทำได้ ท่านก็อยากขอโทษเพื่อให้ฉันได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่สำหรับฉันแล้ว คนที่ไม่เห็นค่าของเรา คนที่ทำเหมือนกับว่าเราไม่ใช่คนพวกนั้น เราไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือรู้สึกผิด ฉันเลยไม่เสียใจที่ต้องต่อสู้กับชีวิตที่โหดร้ายอยู่กับแม่เพียงสองคน
เพียงแต่ตอนนี้...แม่กำลังจะตาย ท่านเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย ค่ารักษาของแม่แพงหูฉี่จนฉันไม่อาจสู้ไหว แต่ฉันก็ยังกัดฟันทั้งเรียนทั้งทำงานเพื่อหาเงินมารักษาแม่ ทั้งยังพาแม่มารักษาในโรงพยาบาลที่เขาว่าดีที่สุดเรื่องการรักษามะเร็ง ด้วยเหตุผลเดียว...ฉันไม่อยากเสียแม่ไป
เรามีกันแค่สองคน ถ้าเสียท่านไปฉันคงไม่เหลืออะไรเลย
“มีอะไรแกบอกฉันได้นะดา ฉันอยู่ข้างแกเสมอนะ”
เสียงจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมทั้งเพื่อนรักอย่าง เอแคลร์ เดินเข้ามานั่งที่ข้างฉัน เธอตบไหล่ฉันน้อยๆ เชิงให้กำลังใจก่อนจะยื่นกระป๋องโคล่ามาให้
“ขอบใจนะแคลร์”
ฉันรับมันมาเปิดดื่มโดยไม่ปฏิเสธ สายตาก็มองออกไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตอนนี้เราโดดเรียนออกมานั่งเล่นที่ฝายน้ำล้นใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ซึ่งตรงนี้มีแม่น้ำใหญ่และสะพานกว้าง พร้อมทั้งเนินหญ้าที่เหมาะสำหรับมานั่งปิกนิก นอกจากพวกเราก็มีนักศึกษาคนอื่นๆ และชาวบ้านที่มาตกปลาเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่ด้วย
บรรยากาศมันช่างดีนัก ลมเย็นๆ กับเครื่องดื่มสุดสดชื่น มันผิดกับอารมณ์ของฉันในตอนนี้เลย
“เรื่องแม่แกอีกแล้วเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่ายืมเงินฉันไปก็ได้ แม่รู้เรื่องนี้นะ ท่านไม่ว่า ไม่คิดดอกเบี้ยด้วย”
เอแคลร์พยายามที่จะยื่นข้อเสนอนี้มาให้ฉันหลายครั้ง ทว่าฉันกลับปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวนเพื่อนจนเกินไป แค่นี้เธอก็ช่วยฉันมามากพอแล้ว
เราทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ด้วยความที่เธอเป็นสาวขี้อาย ผิดกับฉันที่ปากกล้าและหน้าด้าน เลยทำให้ฉันได้ออกหน้าช่วยเธอในหลายๆ เรื่อง แต่ในสังคมมหาวิทยาลัยที่ผู้คนเหยียดกันเรื่องความรวยความจน เอแคลร์เป็นคนเดียวที่ไม่สนฐานะของฉัน และยังดีกับฉันมาจนถึงทุกวันนี้
ผิดกับคนอื่นๆ ในกลุ่มของเธอ ยัยพวกนั้นน่ะป่าเถื่อน รวยซะเปล่าแต่นิสัยไม่ดี
“ขอบใจมากนะ แต่เอาเป็นว่าฉันพาแกหนีเรียนครั้งนี้ก็มากพอแล้ว แกไม่ต้องช่วยเรื่องนั้นฉันหรอก”
“ได้ไงล่ะ เราเพื่อนกันนะ”
เราทั้งคู่นั่งดื่มกันไปคุยกันไปจนกระทั่งเครื่องดื่มหมดลง เป็นเวลาเดียวกับที่มือถือของเอแคลร์ดังขึ้นมาพอดิบพอดี
“สงสัยทรายโทร.ตามแล้วล่ะ ทำไงดี”
เธอยกมือถือของตัวเองขึ้นมาตรงหน้าฉัน ในนั้นแสดงชื่อของคนที่เธอได้บันทึกเอาไว้
ทรายแก้ว...กำลังโทรหาคุณ
ยัยนี่แหละคือคนนิสัยไม่ดีที่ฉันว่า เธอเป็นลูกสาวของอธิบดีมหาลัยเรา คิดว่าตัวเองทั้งสวยรวยเก่ง พ่อแม่ก็มีอำนาจ ก็เลยชอบใช้ความรวยมาข่มฉันบ่อยๆ แต่ด้วยความที่ฉันไม่ใช่คนเล่นง่าย เวรกรรมเลยไปตกที่เอแคลร์ผู้อ่อนแอแทน
“แกจะกลับไปเรียนก็ได้นะ ฉันต้องเข้างานแล้ว ขอโดดคาบนี้แล้วกัน”
ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ก็บ่ายโมงครึ่งแล้ว ฉันต้องไปถึงร้านก่อนบ่ายสองเพื่อเตรียมเปิดร้าน ดูท่าว่าจะไปหาแม่ก่อนคงไม่ทัน
“เอาอย่างนั้นเหรอ” เอแคลร์ยังคงชั่งใจอยู่
“อืม แกกลับไปเถอะ บอกพวกทรายด้วยว่ารายงานพรุ่งนี้ฉันปริ้นไปให้นะ ไม่ต้องห่วง”
“ก็ได้ๆ ถ้ายังไงถึงร้านแล้วทักบอกด้วยนะ”
“จ้า”
เธอโบกมือหย็อยๆ ให้ฉันก่อนจะเดินไปขึ้นรถเก๋งคันหรูของตัวเองแล้วขับออกไปจากตรงนี้ ส่วนฉันก็เรียกแกร๊บแล้วตรงไปที่ร้านในทันที
คลับ KMnxx
ที่นี่คือที่ทำงานของฉันเอง เป็นคลับขนาดกลางที่มีกลุ่มลูกค้ากว้างที่สุดในย่านเลยก็ว่าได้ การตกแต่งของที่นี่นั้นจะเน้นความหรูหราที่ทันสมัย ทว่าก็มีความงดงามประณีตให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในปราสาทหรูๆ หลังหนึ่ง ดังนั้นกลุ่มลูกค้าหลักก็จะเป็นคนมีเงินที่เป็นวัยทำงานขึ้นไป แต่ในโซนหน้าเวทีด้านล่างเองก็มีลูกค้าวัยรุ่นมาใช้บริการกันเยอะ โดยที่ทุกคนต้องมีคุณสมบัติเดียวกัน นั่นก็คือ มีเงิน
“มาเร็วจังเลยนะ เจ๊บอกว่ามาสักบ่ายสามก็ได้ ไม่ซีเรียสหรอก”
คนที่ออกมาจากหลังร้านทักทายฉันอย่างอารมณ์ดีคนนี้คือ เจ๊น้ำหวาน คนที่เป็นยายทวดของทวดของทวดรหัสของฉันเอง พี่แกเรียนจบมาหลายปีแล้วและได้ทำงานเป็นผู้จัดการที่นี่ เลยใช้เส้นยัดฉันเข้ามาทำงานทั้งที่การแข่งขันสูงปรี๊ด ด้วยความที่เป็นคลับถูกกฎหมายและยังมีแต่ลูกค้าทิปหนัก เลยทำให้มีนักศึกษาอยากเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
“หนูโดดเรียนเพราะไม่ชอบอาจารย์น่ะค่ะ เลยเข้ามาเร็ว”
ฉันตอบออกไปตามตรง อันที่จริงก็ไม่ถือว่าไม่ชอบอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าการเข้าไปฟังเจ๊แกเล่าประวัติชีวิตตัวเองเทียบกับการมาหาเงินรักษาแม่ อันหลังน่าจะดีกว่า
“ตายแล้วนังเด็กนี่ พูดจาแบบนี้เดี๋ยวแม่ก็หยิกกีเขียวเลย มีโอกาสเรียนไม่เรียน”
“เอาน่าเจ๊ หนูยังโดดได้อีกคาบสองคาบ ไม่เป็นไรหรอก”
ระหว่างนั้นฉันก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่หลังร้าน ที่นี่นั้นจะแบ่งโซนของพนักงานเอาไว้เป็นสัดส่วน พนักงานประจำจะแต่งตัวและเก็บของที่ชั้นบนซึ่งหรูหราและดูดีกว่าตรงนี้มาก ส่วนพนักงานพาร์ทไทม์อย่างฉันจะมีล็อกเกอร์ส่วนตัวพร้อมกระจกเล็กๆ ให้ที่ฝาล็อกเกอร์ ห้องแต่งตัวก็คือห้องน้ำ และมีชุดที่คนข้างบนใส่จนเบื่อแล้วมาแขวนไว้ให้เปลี่ยน แต่ถ้าใครมีชุดมาเองไม่อยากใส่ตรงนี้ก็ไม่ว่ากัน
“เออนี่ดา ฉันยังไม่ได้ถามเลยว่าแม่แกเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลยอะ”
ตอนที่เปลี่ยนชุดอยู่เจ๊น้ำหวานก็เข้ามาถามพร้อมทั้งช่วยฉันรูดซิปชุดไปด้วย ที่ฉันเลือกวันนี้เป็นเดรสสีแดงสดที่พอดีตัวที่สุดในราว มันเป็นเดรสกำมะหยี่เรียบๆ มีสายเดี่ยวเล็กๆ พอให้มันไม่หล่นไปกองที่พื้น เพราะหน้าอกหน้าใจของฉันก็ใช่ว่าจะมีพื้นที่ให้เกาะอะไรมากมาย
“หมอว่าอาการไม่ค่อยดีเลยค่ะเจ๊ หนูว่าต้องเพิ่มกะกลางวันเข้าไปด้วยแล้วเพราะหมอบอกว่าต้องใช้เงินเยอะ แล้วหนูต้องจ่ายค่ารักษาที่ค้างแล้วด้วย”
“เท่าไหร่ล่ะเผื่อเจ๊ช่วยได้”
“อืม...ก็เกือบสามล้านอะ”
“ตาเถร!! เยอะอย่างนั้นเชียว”
เจ๊น้ำหวานถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่แปลกหรอก แค่ฉันคิดถึงยอดก็ท้อแล้ว ทั้งชีวิตนี้ฉันจะไปหามาจากไหนกันนะ แล้วในระยะเวลาอันสั้นอีก
“ฉันล่ะสงสารแกจริงๆ เลยดานิกาเอ๊ย เกิดมามีเวรมีกรรมอะไรนักหนา”
“หนูต้องขอบคุณเจ๊นะคะที่ให้หนูได้มาทำงานที่นี่ อย่างน้อยๆ บางวันที่หนูได้หลายพันก็พอเอาไปจ่ายให้หนี้มันลดลงได้บ้าง”
“แต่มันไม่พอไง แกต้องทำงานกี่ปีหนี้ถึงจะหมดล่ะนั่น”
“หนูไม่รู้จะทำยังไงดีนี่คะ จะให้ไปประมูลซิงอย่างที่เจ๊เคยบอกเหรอ หนูไม่เอาด้วยหรอก งานขายร่างกายมันไม่ได้ต่ำนะ แต่หนูคงทำไม่ได้”
ที่นี่ไม่ได้มีแค่เรื่องถูกกฎหมายเท่านั้น แต่ที่ชั้น VVIP ก็มีเรื่องอย่างนั้นเช่นกัน และที่ยิ่งไปกว่าค้าบริการ เรื่องที่รู้กันเฉพาะคนวงในนั่นก็คือ การประมูลซิง โดยจะต้องเป็นหญิงสาวที่มีคุณสมบัติสามประการ
1.สวย
2.หุ่นดี
3.ยังเวอร์จิ้น
การประมูลนั้นก็แสนจะสบาย บางรายก็ได้เงินหลักล้าน หลักสิบล้านกลับบ้าน โดยที่คนประมูลนั้นแค่มีอะไรด้วยคืนเดียวแล้วก็ไม่ยุ่งด้วยอีกเลย แต่ก็มีบางคนที่ได้ทำสัญญาเป็นเด็กเลี้ยงอารมณ์ประมาณเด็กเสี่ย มีเงินเดือนใช้ไปหลายปี เลยทำให้มีคนหลายคนอยากเข้าร่วม แต่สำหรับฉันแล้วคิดว่าตัวเองคงไม่มีคุณสมบัติพอ
เรื่องความสวยเหรอ ฉันก็ไม่เท่าไหร่ แค่พอไปวัดไปวา หุ่นดีเหรอ ถ้าตามที่แขกว่ากันก็ออกจะผอมแห้งแรงน้อยไปหน่อย ส่วนซิง...อันนี้ได้แค่ข้อเดียว
“ไม่ลองก็ไม่รู้นะแก ใครๆ ก็อยากทำกันทั้งนั้น เอาไว้แกอยากทำเมื่อไหร่ค่อยมาบอก ฉันลัดคิวให้ได้เลย”
“เจ๊นี่เหมือนแม่เล้าเข้าไปทุกทีแล้วนะ” ฉันแซวขำๆ ไม่คิดว่าเจ๊น้ำหวานจะวี้ดว้ายออกมาเสียงดัง
“อีบ้า แม่เล้าบ้าบออะไร”
“ล้อเล่นน่า หนูไปเช็กสต๊อกก่อนนะเจ๊ ก่อนคนอื่นมา”
“อืมๆ”
เจ๊พยักหน้าตอบ ฉันเลยจะเดินออกไปจากห้องล็อกเกอร์เพื่อดูภายในร้านต่อ แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นธรณีประตูก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง
“เออๆ เดี๋ยวก่อนดา”
“คะ?”
“เย็นนี้มีแขกวีไอพีจองโต๊ะไว้ อยากได้เด็กไปดูแล สนใจไหม?”
คำว่า แขกวีไอพี ทำให้ฉันตาโตทันที ใครๆ ต่างก็รู้ว่าแขกกลุ่มนี้นั้นทิปหนัก แล้วยังสุภาพสมกับเป็นคนรวย งานสบายแล้วยังเงินดี ก็ตอบแบบไม่ต้องคิดมากไปเลยสิคะ
“เอาค่ะ!”
“แต่แขกคนนี้เอาใจยากหน่อยนะ เห็นว่าเป็นน้องชายคุณคามินทร์”
“น้องชาย?”
คามินทร์ คัลเลน เขาเป็นเจ้าของที่นี่ เป็นผู้ชายหน้าตาดีตัวสูงโปร่งเหมือนนายแบบ ออร่ากระจายแบบที่ใครเห็นเป็นต้องหลง แต่ที่พูดนี่ฉันยังไม่เคยเจอหรอกนะ เพราะทางเข้าของคนอย่างเขาไม่ใช่ทางที่พนักงานระดับล่างอย่างฉันจะเจอได้ง่ายๆ
แต่จะว่าไป...ถ้าฉันได้ไปดูแลน้องชายของเขา ก็หมายความว่าต้องได้เจอเขาด้วยน่ะสิ โอกาสดีๆ แบบนี้จะหาได้ที่ไหนอีกล่ะ
[Navin’s part]‘แม่อยากให้ลูกของแม่มีความสุขที่สุด อย่าโกรธพ่อกับย่า แค่นั้น...วินทร์ทำให้แม่ได้ไหมลูก?’มันเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ก่อนที่จะจากผมไป แม่เป็นผู้หญิงที่หวังดีกับคนอื่นเสมอ แม้แต่คนที่ทำให้แม่ต้องเจ็บปวดหัวใจ แม่ก็ยังไม่โกรธพวกเขาเลยสักนิดเดียวผมยังคงคิดถึงวันเวลาที่เราต่างก็ร้องไห้ไปกับช่วงเวลาเลวร้ายในวาระสุดท้ายของชีวิตแม่ ผมลืมเรื่องนั้นไม่ได้ และไม่กล้าที่จะให้อภัยคนที่ทำร้ายพวกเราจนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเจอหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่ทำให้ผมรู้ว่า นี่คือความรักแสนใจดีที่ผมต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุดถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์แม่ครับ...ผมนาวินทร์ ลูกชายของแม่ ตอนนี้แม่สบายดีไหมครับ ที่ตรงนั้นคงจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ความคิดถึง และเสียงร้องไห้ของผมที่ส่งไปให้แม่ แต่วันนี้ลูกชายคนเล็กของแม่คนนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ ผมเป็นคนที่เข้มแข็งมากพอที่จะดูแลผู้หญิงที่ผมรัก และสามารถให้อภัยย่าได้แล้ววันนี้ผมพาดานิกามาหาย่าครับแม่ ผมเคยพาเธอไปไหว้หลุมศพแม่สองสามครั้ง แม่จำเธอได้ไหมครับ ดานิกาเป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใส เธอเป็นแรงใจให้ผมได้ทุกครั้งที่ได้มอง ในวันนั้นที่แม่จากผมไป เธอ
เคยไหม ความรู้สึกที่รักเขา คิดถึงเขา เจอกันทุกวัน...แต่กลับไปรักกันไม่ได้แล้วฉันยังคงมาอยู่ที่หน้าห้องพักของแม่ จ้องมองประตูบานนั้นที่ฉันเคยเปิดเข้าไปเจอแม่อย่างทุกครั้ง ความทรงจำทั้งสุขและทุกข์ที่เราเคยผ่านด้วยกันมา ทำให้ฉันต้องหยุดมองทุกครั้งที่เดินผ่านมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่ฉันก็ยังชอบที่จะมายืนจ้องหน้าห้องพักเดิมของแม่อยู่อย่างนี้และเหมือนว่าเขาจะรู้...พี่วินทร์สั่งปิดชั้นนี้ไม่ให้มีใครขึ้นมา และย้ายผู้ป่วยทั้งวอร์ดไปไว้ตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพื่อไม่ให้ใครขึ้นมารบกวนฉันที่มักจะเหม่อถึงแม่...ฉันรู้ว่าเขารักและหวังดีกับฉันเสมอ แต่ว่านะ...เรากลับไปรักกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เราเดินสวนทางกัน เป็นฉันที่พยายามมองหน้าให้เขาจ้องตอบกลับมาแม้สักนิด แต่สุดท้ายเขาก็ยังทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตนเขาไม่ได้บอก...แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังพยายามทำให้ฉันไม่รู้สึกอึดอัดแต่ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกเลิกเขาเองแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นฉันที่ยังโหยหา ยังคิดถึง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเดินไปบอกเขาได้ตรงๆ“เอสเปรสโซ่ไม่หวานหนึ่งแก้วครับ”ฉันมักจะได้ยินอย่างนี้ในทุกเช้าเสมอ คุณหมอหนุ่มที่มักจะ
[Danica’s part]‘แม่คะ ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อหนูว่าดานิกาเหรอคะ?’‘ดานิกา แปลว่าดวงดาวในรุ่งอรุณลูก หนูเป็นเด็กที่มีรอยยิ้มสดใส เหมือนกับดวงดาวที่เปล่งประกายในยามรุ่งเช้าไงลูก’‘งั้นหนูจะยิ้มทุกวันเลย ให้สมกับชื่อดานิกา ดีไหมคะ?’จบแล้วเหรอ...จบลงง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ...ทุกอย่างที่ฉันพยายามมา ความหวังที่ว่าสุดท้ายแล้วแม่จะหายดีและกลับไปอยู่กับฉันอย่างมีความสุขอีกครั้ง เราจะไปเที่ยวด้วยกัน มองฉันเป็นดีไซเนอร์มากฝีมืออย่างที่แม่ใฝ่ฝัน ทั้งการทำงานอย่างหนัก ต่อสู้กับคำพูดและสายตาของคนทั้งมหา’ลัย พาตัวเองขึ้นประมูลซิง ทุกอย่างมันจบลงแล้วใช่ไหมฉันเดินกลับเข้ามาในห้องที่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อช่วยชีวิตของแม่ ทว่าสุดท้ายแล้วความตายก็ยังชนะความพยายามพวกนั้น พยาบาลคนสุดท้ายได้ออกไปจากห้องนี้แล้ว เหลือเพียงฉันและร่างที่แน่นิ่งของแม่ที่นอนอยู่บนเตียง“แม่คะ...”แม่มักจะยิ้มให้ฉัน บอกฉันว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าฉันจะกลับมาดึกแค่ไหนแม่จะตื่นขึ้นมา ลูบใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อแล้วบอกให้ฉันไปอาบน้ำ แต่วันนี้ภายในห้องนี้...เหลือเพียงความเย็นยะเยือก เงียบเหงา บรรยากาศอึมทึมจนฉันอยากจะร้องไห้ออกม
[Navin’s part]“คนไข้นอนทับสายน้ำเกลือค่ะ แล้วก็สายออกซิเจนหลุด เลยขาดอากาศหายใจไปช่วงหนึ่ง ตอนนี้พยายามปั๊มหัวใจแล้ว แต่อาการไม่ดีเลยค่ะท่านผอ.”พยาบาลที่ผมว่าจ้างมาดูแลแม่ของดาเอ่ยเสียงสั่นทำอะไรไม่ถูก ผมแน่ใจว่าเธอเป็นคนที่รอบคอบและทำงานดีมากคนหนึ่ง ไม่มีทางหรอกที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้แล้วผมก็คิดถึงคนที่โทรมาบอกดาเอแคลร์...“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วมีใครเข้าออกห้องนี้บ้าง”“ก็...มีเพื่อนคุณดาค่ะ ที่ชื่อชิดภู มาตอนเย็นแล้วไม่เจอ ก็เลยฝากขนมกับน้ำไว้ให้”“แค่นั้นเหรอ มีใครอีก”ชิดภูไม่ทำหรอก ต่อให้มันจะปากหมาใจกล้าเกินคน แต่ก็จริงใจกับดาอยู่พอสมควร“เอ่อ...” พยาบาลทำท่านึก แต่นานจนผมร้อนใจทนไม่ไหวตวาดออกไปเสียงดัง“เร็วสิ ถามว่าใครอีก!”“มะ...มีผู้หญิงอีกคนค่ะ เข้ามาก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมงได้ ตอนนั้นดิฉันอยากเข้าห้องน้ำ เลยฝากคนไข้ไว้ค่ะ”ผมเปิดมือถือ เข้าไลน์ของย่าที่มักจะชอบส่งรูปต่างๆ มาให้ และในนั้นก็มีรูปของเอแคลร์ด้วย“คนนี้หรือเปล่า”“ชะ...ใช่ค่ะท่านผอ. คนนี้เลย ดิฉันจะมีความผิดอะไรหรือเปล่าคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่ดูแลคนไข้ไม่ดีทำให้เกิดเรื่องแบ
“เจ๊!!!”“ยัยดา กรี๊ด!!!”ฉันกับเจ๊น้ำหวานเจอกันก็ไม่ต่างอะไรกับชะนีสองตัวที่วนเจอในกิ่งเดียวกัน เจ๊นี่ดีดสุดอะไรสุด ทิ้งเครื่องสำอางทิ้งทุกอย่างมากอดฉันอย่างไว เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมีคนหวงดึงฉันออก“พอแล้ว จะกอดให้ละลายตัวติดกันไปเลยหรือไง”พี่วินทร์หน้างอคอหักตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ก็มาเที่ยวผับทั้งทีฉันก็ต้องแต่งตัวให้มันเข้ากับสถานที่ เลยใส่เป็นกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อครอปแขนกุด เขาเองมองฉันหัวจรดท้าตั้งแต่ออกมาจากห้องแต่งตัว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร“แหมคุณหมอคะ อย่ามาทำเป็นหวงไปหน่อยเลย ทีเมื่อก่อนมาฝากไว้กับเจ๊ เจ๊ก็ดูแลให้อย่างดีเลยนะคะ”“เอามาฝากอะไรเหรอคะ?”เหมือนว่าฉันจะเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว พอเจ๊น้ำหวานพูดแบบนั้นฉันก็หันไปมองพี่วินทร์ด้วยความสงสัย“ก็แหม เมื่อก่อนคนที่บอกเจ๊ว่าให้ติดต่อน้องดาไปคือคุณหมอเนี่ยแหละ เขารักเขาหวงมาตั้งแต่แกจะรู้ว่าเขามีตัวตนด้วยซ้ำนะ คลั่งรักนะเนี่ย”“จริงเหรอคะ?”เรื่องที่ได้ยินยิ่งทำให้ฉันมองหน้าเขาหนักยิ่งกว่าเดิม มีเรื่องอะไรอีกบ้างนะของเขาที่ฉันยังไม่รู้ สำหรับผู้ชายคนนี้ในสายตาฉันเขาคือคุณหมอที่แสนจะเพอร์เฟค ไม่มีว
[Danica’s part]ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้พบคนแก่ไม่อยากไปทำงานหนึ่งอัตรา ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกเมื่อวานเขาก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง เล่นมือถือบ้าง คอมฯบ้าง จนฉันทนความอึดอัดไม่ไหวต้องออกมาทำกับข้าวข้างนอกแต่ยังออกมาไม่ทันถึงสามนาที แครอทยังปอกไม่หมดด้วยซ้ำ ก็มีอ้อมกอดอุ่นเข้ามากอดจากทางด้านหลัง พร้อมทั้งคางแหลมๆ ของเขาวางลงที่หัวของฉัน“ทำอะไรครับเนี่ย”“ทำกับข้าวง้อคนค่ะ”ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนตัวสูงขโมยจูบไปหนึ่งที“อื้อ...แกล้งหนูอะ”ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ชินกับการชอบสกินชิพของเขาแบบนี้สักที หน้ามันยังคงร้อนผะผ่าวทุกครั้งที่ถูกเขาจูบ เขาหอม เขา...พอแล้วๆ ไม่คิดแล้วดีกว่า“ง้อเรื่องอะไรครับ พี่ไม่ได้งอนหนูซะหน่อย”แล้วก็เรื่องที่เขาเรียกฉันว่า หนู ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกก็ไม่ได้ยินชื่อฉันจากปากเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าซ้อมไว้เผื่อเรียกกิ๊กแบบไม่ให้ฉันจับได้หรือเปล่า“ไม่ได้งอนนะคะ แต่หน้างอเลย เป็นอะไรคะ หรืองอนเรื่องที่หนูไม่เปิดตัวกับเพื่อนเมื่อวันก่อน?”“รู้ทันอีก”ฉันรู้หรอกน่าว่าเขากำลังนอยด์เรื่องอะไร เลยเลือกจะทำอาหารง้อหลัง
[Eclair’s part]“กรี๊ด!!!! อีดา อีเวร อีเปรต มึงกล้าดียังไง กรี๊ด!!!!”“ไม่เอานะคะคุณหนู เจ็บเปล่าๆ พอเถอะค่ะ”“กูไม่สน ไปหาอะไรมาให้กูปา ไป๊!!!”ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลย ไม่มีเลยสักอย่าง ทำไมคนอย่างอีดาถึงได้ทุกอย่างที่ฉันอยากได้ มันก็เป็นแค่กะหรี่จนๆ ที่ไม่มีใครเอา ทำไมๆๆๆๆ“กรี๊ด!!!!”ถึงจะกรี๊ดจนแสบคอแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด ตอนนี้ฉันอยากจะพุ่งไปกระชากหน้ากากตอแหลของนังนั่นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แฟนอย่างนั้นเหรอ มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรฉันเอาความโกรธทั้งหมดระบายไปกับข้าวของที่มันเคยให้มา มีแต่ของขยะ ของทำมืออะไรกัน ไม่มีค่าเลยสักนิด ดูแต่ละอย่างที่ฉันให้มันสิ เครื่องประดับราคาแพง น้ำหอมแบรนด์หรู แล้วมันล่ะให้อะไรฉันบ้างนอกจากเกาะฉันไปวันๆ“เกิดอะไรขึ้นน้องแคลร์ ทำไมทำลายข้าวของอย่างนี้ลูก”คนที่เปิดประตูเข้ามาก็คือแม่ แต่ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำตัวเป็นลูกสาวที่แสนดีอะไรหรอก ตอนนี้ฉันอยากจะร้องไห้ พี่หมอเป็นของฉัน แต่ทำไมถึงกลายเป็นนังดาที่ได้เขาไป“น้องแคลร์...”“ไหนแม่บอกว่าหนูจะได้แต่งงานกับพี่วินทร์ไงคะ แล้วทำไมปล่อยให้นังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นมาเกาะแกะพี
“เราเล่นอะไรก่อนดีคะ หนูไม่เคยเล่นนะแต่ว่าอันนี้คนต่อแถวเยอะมากเลย”ฉันชี้ไปยังเครื่องเล่นไวกิ้งที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของสวนสนุก มันกำลังเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและมีเสียงกรี๊ดดังมาเป็นระยะ ฟังแล้วน่ากลัวจนฉันไม่อยากจะขึ้นเล่นมันแล้ว“ไม่เอาแล้วดีกว่าค่ะ เราไปเล่นอะไรที่ไม่ตื่นเต้นเถอะ”“มาสวนสนุกแต่ไม่เล่นอะไรที่มันตื่นเต้น จะเรียกว่ามาสวนสนุกได้ไง”“ไม่เอาค่ะ หนูไม่เล่น กรี๊ดดดดดด”ฉันถูกเขาลากเข้าเครื่องเล่นนั้นเครื่องเล่นนี้ตามใจจนกรี๊ดเจ็บคอไปหมด รู้งี้ฉันขอเขาแลกเงินเองตั้งแต่ทีแรกดีกว่า เพราะเขามีบัตรอยู่ในมือเยอะเกินไปจนเล่นไม่หมด มันเลยเป็นเวรกรรมตกมาถึงฉัน“แฮ่กๆ พอแล้วนะคะ หนูไม่เล่นแล้ว หัวใจจะวาย”ฉันวิ่งลงมาจากเครื่องเล่นแล้วหายใจหอบด้วยความเหนื่อย นอกจากจะเหนื่อยจากการเล่นเครื่องเล่นแล้วฉันยังเหนื่อยจากการกรี๊ดด้วย แค่การเล่นเครื่องเล่นไม่กี่ชิ้นมันทำให้ฉันเปลืองพลังงานอย่างหนักหน่วง ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะน้ำตาลตก หน้ามืด จะเป็นลมส่วนคนที่พาฉันขึ้นไปเล่นนั้นแค่เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาพลางหัวเราะกับท่าทางของฉัน“ฮ่าๆๆ แค่นี้ก็ร่วงแล้วเหรอ?”“พี่อย่ามาหัวเราะนะ หนูจะอ้วก...แหวะ”อาห
[Danica’s part]“เล่าได้ไหมว่าทำไมพี่วินทร์ถึงเลิกเป็นหมอ”ในเมื่อชิดภูบังคับให้ฉันต้องกลับมาเรียน ฉันเองก็จะใช้เขานี่แหละเป็นฐานข้อมูลใหญ่ ช่วงนี้ฉันคิดมากเรื่องที่เขาพูดมาวันนั้น เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบ“จะอยากรู้ไปทำไม ไหนบอกคบกัน ก็ไปถามเฮียเองดิ”“จะเล่าไหม ไม่เล่าฉันกลับ”ฉันทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้จริงๆ จนเข้าต้องลุกขึ้นมาดึงฉันกลับที่เดิม“อะๆๆๆ เล่าก็เล่า แต่อย่าไปหาถามเฮียนะ เรื่องนี้ความลับของตระกูล เหยียบเอาไว้เลย”“ถ้านายเล่าให้ฉันฟังก็ไม่เป็นความลับแล้วสิ”“งั้นไม่ฟัง?”“ฟัง!!!”เพราะความรั้นของฉันและความคันปากของเขา ทำให้ชิดภูเริ่มเล่าเรื่องของพี่ชายตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันฟังเขานานมากๆ จับใจความได้ว่าเมื่อก่อนแม่ของทั้งสามแฝดแต่งงานเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากย่า เนื่องจากพ่อของพวกเขามีคู่หมั้นที่ทางบ้านหาให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความรักทั้งคู่เลยตัดสินใจแต่งงานและหนีไปด้วยกัน ทำให้ย่าโกรธมากๆหลังจากนั้นไม่กี่ปี ทั้งสองคนก็กลับมาบ้านพร้อมลูกแฝดสาม ทำให้ย่าเริ่มคลายความโกรธลงบ้างเพราะทั้งรักทั้งหลงหลาน แต่ความโกรธเกลียดนั้นก็ไม่ได้หายไป“เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้
Comments