ตอนที่ 36 ดอกไม้ปริศนา
แสงสว่างคลืบคลานสอดแทรกผ้าม่านเข้ามายังห้องนอนที่สองร่างยังคงตระกองกอดก่ายกันอยู่ อันเป็นภารกิจต่อเนื่องจากคืนก่อน ที่ความรักและหึงหวงทำให้ร่างเล็กโดนทำโทษจนแทบจะหลับกลางอากาศ ตอนนี้ต่อให้รู้สึกตัวแล้วก็ไม่มีแรงแม้แต่ลืมตา
ชลาสินธุ์กอดคนตัวเล็กข้าง ๆ ไว้อย่างเคยชิน เขาสูดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของร่างเล็ก ๆ นี้ก่อนจะลืมตาด้วยซ้ำ ณิชชางัวเงียซุกร่างตัวเองเข้าหาอกแกร่งจนเจ้าของอกมองการกระทำนั้นอย่างรักใคร่ค่อย ๆ คลี่ยิ้มสว่างเมื่อคิดว่า จะดีแค่ไหนหากคน ๆ นี้เป็นของเขาไปตลอดชีวิต ตื่นขึ้นมาก็เจอ ก่อนจะหลับก็ได้กอดกันเอาไว้แบบนี้ สาบานได้เลยว่า เขาชอบมองภาพแบบนี้ และยินดีจะทำแบบนี้ได้ทั้งชีวิต
เหมือนณิชชาที่ยังไม่ลืมตาจะรู้ความคิด ร่างเล็กคว้าเอาแขนใหญ่มาหนุนต่างหมอน ก่อนจะลูบ ๆ คลำ ๆ มันทั้งที่ยังหลับตาเหมือนเดิม
“ตื่นได้แล้วนะ เช้าแล้ว” ร่างหนากระซิบข้างหู
“อื้อ...” เสียงหวานครางรับเบา ๆ แต่แทนที่จะตื่นตามคำบอก ร่างบางกลับยิ่งซุกตัวเองให้ชิดอกกว้างมากขึ้นไปอีก โดยลืมไปว่าการที่เอาร่างไปเบียดแนบชิดกับเขาขนาดนั้น...มันอันตราย
เขาก้มลงไปหอมแก้มใสแบบเน้น ๆ ร่างบางก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงแต่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จึงจัดชุดใหญ่ที่ริมฝีปาก แต่กลายเป็นตัวเองที่ตกหลุมพรางแห่งริมฝีปากอวบอิ่มนั้นเพราะยิ่งจูบก็ยิ่งถอนริมฝีปากตัวเองออกมาไม่ได้
“อื้อ ไม่เอาแล้ว เมื่อคืนคุณทำฉันเจ็บ” เสียงงัวเงียพูดพึมพำ
“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำ หรือต้องให้ปลุกด้วยวิธีอื่น?”
“คุณอาบก่อนได้ไหม ฉันลุกไม่ไหว คุณโกรธทีไรก็ทำฉันเจ็บทุกที” ร่างเล็กกระเง้ากระงอด
“แล้วใครใช้ให้ขัดใจล่ะ บอกไม่ให้พูด ก็พูดถึงมันอยู่ได้” ชลาสินธุ์พูดถึงช่วงที่ณิชชาเอาแต่พูดถึงชินวุฒิหลังจากที่คุยกันเรื่องอัครชัยจบ
“คุณจำได้หรือเปล่าว่า ฉันเคยบอกว่า เรื่องคุณกับคุณชินเหมือนมีบางอย่างหายไป” ณิชชาถาม
“ณิช” เสียงเข้มเอ่ยเครียด เขาไม่ชอบให้ใครพูดชื่อมันต่อหน้าเลยจริง ๆ ยิ่งเป็นร่างเล็กนี้ด้วยแล้ว
“คุณไม่คิดจะหาคำตอบหน่อยเหรอ”
“อะไร ฉันไม่ได้อยากรู้คำตอบอะไรสักหน่อย มันกับครอบครัวของมันก็แค่ทำลายครอบครัวของฉัน อย่าทำให้ฉันอารมณ์เสีย ด้วยการพูดถึงมันขึ้นมาอีก”
“แต่ฉันคิดว่า ถ้าได้คำตอบคุณน่าจะสบายใจมากกว่า”
“ณิช!!!” เสียงทุกอย่างเงียบลง เพราะณิชชาไปปลุกมังกรที่พ่นไฟได้ให้ตื่นเสียแล้ว แทนที่จะได้ฟังความคิดเห็นเรื่องชินวุฒิ กลับได้ฟังเสียงตัวเองครางดังลั่น ตั้งแต่ค่ำจนเกือบสว่าง
“ฉันเป็นห่วงคุณจริง ๆ นะ”
“ไม่ต้องห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า เพราะถ้าเธอยังไม่หยุดพูด ฉันจะจับเธอขึงกับเตียง แล้วถ้าวันต่อ ๆ ไปเธอยังพูดถึงมันอีก ทั้ง ๆ ที่ฉันสั่งห้ามแล้ว เธอก็จะโดนอย่างเมื่อคืนอีก” พูดจบร่างหน้าก็ช้อนเอาร่างของ ณิชชาเข้าไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าห้องน้ำ จัดการทำความสะอาดร่าง กายให้ร่างเล็กที่ไม่มีทีท่าว่าจะสามารถลุกจากเตียงด้วยตัวเองได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนเวลาเลิกงานเล็กน้อยจากชลาสินธุ์ที่ออกไปพบลูกค้าข้างนอกทั้งวัน โดยหิ้วพายกับบัวผู้ช่วยเลขาติดตัวไป แทนที่จะเป็นเธอ เพราะอยากให้เคลียร์งานทั้งของตัวเองและของเจ้านายให้เสร็จ ซึ่งมันก็มากจนแทบจะล้มทับร่างเล็ก ๆ ของณิชชาเสียให้ได้ หญิงสาวละมือจากคอมพิวเตอร์และเอกสารตรงหน้า
“คิดถึง” เสียงทุ้มดังเข้ามาตามสายโทรศัพท์ เสียงคุ้นเคยนั้นทำให้ ณิชชายิ้มได้
“อืม” เธอรับคำสั้น ๆ ละคำว่า ‘คิดถึงเหมือนกัน’ เข้าไว้บนใบหน้าแดงจัดด้วยความเขิน
“เลิกงานแล้วไม่ต้องกลับเองนะ กำลังจะไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เย็น ๆ รถติด เดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้ คุณจะวนกลับไปกลับมาทำไม”
“ไม่เป็นไรหรอก รออยู่ที่นั่นแหละ”
“อย่าดื้อสิ วันนี้ตามตารางงานที่สุดท้ายก่อนกลับ มันอยู่ไกลจากที่นี่มากเลย ฉันกลับเองดีกว่า กลัวคุณจะเหนื่อยแล้วเราเจอกันที่บ้านนะ”
“นี่ตกลง ฉันกับเธอใครเป็นประธาน ใครเป็นเลขา” เสียงในโทรศัพท์ถามเครียดๆ
“ฉันไม่ได้ดื้อนะ แค่เป็นห่วงคุณ เพราะคุณเป็นประธาน และฉัน...” ณิชชาแกล้งทิ้งช่วงไว้ไม่พูดต่อ
“อะไร?”
“ดูเหมือนคุณจะเคยบอกว่า ฉันเป็นเมียท่านประธานนะ” เสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมาตามสาย ณิชชาคาดว่าเจ้าของเสียงหัวเราะคงจะยิ้มกว้างไม่ต่างจากเขาแน่ ๆ “งั้นเอาเป็นว่าคุณเชื่อฉันนะ เลิกงานแล้วฉันจะรีบกลับ”
“รีบกลับมานะ นี่ฉันจะต้องไปดูโปรเจกต์ที่ต่างจังหวัด อยากมีเวลาอยู่กับเธอเยอะ ๆ ก่อนไปด้วย”
วางหูโทรศัพท์ไปไม่นาน แม่บ้านสูงวัยที่ทำงานที่นี่มากว่าสิบห้าปีได้รับหน้าที่พิเศษให้ดูแลเรื่องความสะอาดเรียบร้อยเฉพาะชั้นของท่านประธานเพียงชั้นเดียวก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับดอกไม้ในมือ
“ป้ายังไม่กลับอีกเหรอคะ” ณิชชาทัก
“กำลังจะกลับแล้วค่ะ แต่บังเอิญเจอนี่อยู่ที่เคาน์เตอร์ เลยเอามาให้ก่อน” ป้าแม่บ้านคงหมายถึง เคาน์เตอร์รับรองแขกด้านหน้า ที่เดินออกจากลิฟต์ก็จะพบกับส่วนต้อนรับนั้นก่อน
“ของคุณสินธุ์เหรอคะ”
“ไม่ใช่นะคะ ในป้ายนี้บอกว่าของคุณณิชค่ะ” พูดจบป้าก็ยื่นช่อดอกไม้สีม่วงอ่อนนั้นให้
...ดอกไลแล็กสีม่วง...
หัวใจของณิชชาสั่นรัวจนแทบกระเด้งออกมานอกอก
“ดอกไลแล็กเหรอคะ” หญิงสาวยื่นมือไปรับช่อดอกไม้ที่คนรักยื่นมาให้ช่อมันไม่ได้ใหญ่มาก หากแต่บรรจุและตกแต่งอย่างสวยงาม ณิชชา มองดอกไม้ในมืออย่างรักใคร่ ไม่ต่างจากความรักที่เธอมีให้ต่อเจ้าของดอกไม้
“ใช่ ก็ณิชบอกว่า พี่เป็นรักแรกของณิช ความหมายของดอก ไลแล็กสีม่วง คือรักครั้งแรก”
“ค่ะ...พี่อัคเป็นรักครั้งแรกของณิช”
“พี่สัญญาว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะปกป้องดูแลรักของเราให้ดีที่สุด”
ณิชชาร้องไห้อย่างหนักกอดช่อดอกไม้เอาไว้แน่น กลีบดอกที่โดนกอดช้ำไปมาก หญิงสาวเอาแต่จ้องมองดูทุก ๆ รายละเอียดของดอก
ไลแล็กที่อยู่ในอ้อมกอด กลีบดอกบางสั่นสะท้านจนน่ากลัวว่าจะหลุดหล่นออกไปจากมือ“เธอลับช้า” เสียงบ่นไม่เบานักดังขึ้นทันทีที่ณิชชาเดินเข้ามาให้ห้องนอน
“คุณทานอะไรหรือยัง” ณิชชาไม่ตอบ พยายามยกริมฝีปากให้ดูเหมือนตัวเองกำลังยิ้มอย่างร่าเริงแจ่มใส
“ยัง รอเมีย”
“คุณก็น่าจะทานก่อนเลย ฉันก็มัวแต่รถติดอยู่ข้างนอก” ณิชชาตอบเสียงแผ่วหลบสายตา
“ก็บอกแล้วว่าจะไปรับ ไปล้างหน้าล้างตาซะไป แล้วจะได้ไปทานข้าวกัน ป้าแม่บ้านตั้งโต๊ะจนอาหารเย็นไปหมดแล้วมั้ง” ชลาสินธุ์พูดไปเรื่อย ในใจก็รอว่าเมื่อไรร่างเล็ก ๆ นี้จะเล่าให้ฟังว่า อาการตาบวมที่เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร
มื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เห็นได้ชัดว่า ณิชชาไม่เป็นตัวของตัวเองเลย หญิงสาวได้แต่เงียบ ใบหน้าแฝงเร้นด้วยความเศร้าหมองที่ปิดไม่มิด
ณิชชาอาบน้ำเข้านอนทันทีที่เข้ามาถึงห้องนอน ปล่อยให้คนตัวใหญ่ทำงานของตนต่อไปตามนิสัยที่ชอบอยู่ทำงานดึก ๆ แต่ถึงแม้ว่าจะบังคับให้ตัวเองนอนหลับตานิ่งอย่างไร แต่หญิงสาวก็ยังรู้ตัวอยู่ตลอด เพียงแต่เธอไม่อยากจะรู้สึกผิดต่อชลาสินธุ์มากไปกว่านี้ ไม่อยากจะยอมรับว่า เมื่อเห็นการมาถึงของช่อดอกไม้นั้น ตนเองมีทั้งความดีใจ ความคิดถึงอย่างโหยไห้ต่อเจ้าของของมัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองได้ตกเป็นของชลาสินธุ์อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว โดยอาจจะเรียกได้ว่าทั้งกายและใจ
หญิงสาวเสียใจที่ไม่สามารถรักใครได้อย่างเต็มที่ เธอละอายใจเกินกว่าที่จะมองหน้าชลาสินธุ์ได้จึงได้แต่นอนหลับตานิ่ง
“หลับแล้วเหรอ” ชลาสินธุ์ถามเมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่นอนนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจ เขารู้ว่าณิชชาไม่ได้หลับ ในใจก็อึดอัดไม่แพ้ร่างเล็ก ๆ นี้เช่นกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจับทำร้ายร่างกายเค้นสอบถามความจริงให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่บัดนี้ไม่ใช่แล้ว ชลาสินธุ์ไม่ต้องการทำร้ายร่างกายคนตรงหน้านี้อีกแล้ว
สิ่งที่เขาทำตอนนี้จึงเป็นเพียงนอนกอดร่างบางนั้นเอาไว้และรู้สึกได้ทันทีว่า ร่างนั้นแข็งขืนคล้ายจะปฏิเสธแต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยมือที่โอบกอดเอวบางนั้นไว้เลย
“พรุ่งนี้ฉันต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัด” ชลาสินธุ์กระซิบข้างหู
ณิชชาแสร้งขยับตัวเล็กน้อยเหมือนตัวเองกำลังหลับและหงุดหงิดที่ถูกกวน ใจแต่ชลาสินธุ์ไม่เชื่ออะไรแบบนั้นเลย
“แต่เธอไม่ต้องไปด้วยนะ เพราะทางนี้ก็มีเรื่องที่จะต้องฝากให้ทำด้วย” ร่างหนาพูดต่อไป ก่อนจะกดจูบหนัก ๆ ที่ขมับบาง “จำไว้นะณิช ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่ยอมปล่อยมือจากเธอเด็ดขาด ยกเว้นว่าเธอเต็มใจจะไปจากฉันเอง”
ณิชชาลืมตาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง ร่างเล็กพยายามกลั้นอาการสะอื้นของตัวเองท่ามกลางความมืดนั้น
ถ้าชลาสินธุ์ข่มเหงหรือทำตัวร้าย ๆ กับเธอเหมือนก่อน เธอคงไม่รู้สึกผิดมากขนาดนี้
เช้าวันถัดมา ณิชชาตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อจัดกระเป๋าให้กับชลาสินธุ์ ส่วนชายหนุ่มเองงัวเงียตื่นขึ้นมาสิ่งที่ทำสิ่งแรกก็คือ เข้าไปกอดรัดเธอแล้วหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่
“ตื่นเช้าจัง”
“คุณจะไปกี่วัน จะได้เตรียมเสื้อผ้าถูก” หญิงสาวบอกพยายามยิ้มให้กับชลาสินธุ์ให้มากที่สุด
“ห้าวัน พอดีคุณคิมเขาจะมาดูงานสร้างถนนของเราที่ไทย แล้วเลยจะคุยเรื่องร่วมงานกันที่ประเทศเขาด้วย แล้วเขาก็พากันมาจัดงานรวมญาติน่ะ เขาเลือกจัดกันที่สวรรยา รีสอร์ต ฉันเลยต้องไปต้อนรับเขาด้วยตัวเองหน่อย” ชลาสินธุ์หมายถึงเพื่อนรุ่นพี่ชาวเกาหลีที่แสนใจดี และเป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง มีสายสัมพันธ์อันดีกับชลาสินธุ์มาหลายปี “เธอจะคิดถึงฉันมั้ย”
“คุณไม่เบื่อเหรอ เราอยู่ด้วยกันทุกวัน”
“ไม่เบื่อ อยู่ตลอดไปก็ไม่เบื่อ” ร่างสูงพูดพร้อมบรรจงจูบที่ปากนิ่มเบาๆด้วย “หรือเธอเบื่อ?”
“ฉัไม่เบื่อหรอก” ร่างเล็กพูด พยายามบังคับสายตาให้จดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า ถึงแม้ว่าใจจะแกว่งไปบ้างก็ตาม
“แล้วตกลงเมื่อวานเป็นอะไร” เมื่อเห็นว่าร่างเล็กร่าเริงขึ้น เลยลองถามอีกที
“ฉันแพ้ฝุ่นบนรถเมล์ พอน้ำตาไหล ใจมันก็เลยเศร้า ๆ ไปด้วยน่ะ”
“เป็นคนอ่อนไหวขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร ปกติเห็นเป็นแต่คนดื้อ” คราวนี้ชลาสินธุ์กอดร่างเล็กเอาไว้ทั้งตัว ปากประทับจูบผมนิ่ม มือลูบไปตามหลังไหล่ คล้ายจะปลอบใจคนที่อยู่ในอ้อมกอด “ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เธอคลาดสายตาเลยดีมั้ย ช่วงที่ฉันไม่อยู่นี่จะให้คนขับรถเอาไว้ใช้คนหนึ่ง เธอจะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์ไปกลับเอง”
“ช่วงที่คุณไม่อยู่ ฉันก็กลับไปอยู่คอนโดฉันสิ ที่นั่นใกล้ที่ออฟฟิศกว่า”
“ดื้ออีกแล้วนะ”
“ก็คุณไม่อยู่นี่ ฉันมาที่นี่ เราก็ไม่เจอกันอยู่ดี อยู่ที่บ้านฉันสะดวกกว่านะ”
“ก็มีคนขับรถไง”
“ไม่เอาหรอก เกรงใจ แค่ห้าวันเอง ให้ไปเถอะนะ อยู่ที่นี่แต่ไม่ได้อยู่กับคุณมันก็รู้สึกแปลก ๆ”
“นี่ นี่เธอพูดแบบนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย เดี๋ยวก็อยู่ปล้ำเธอที่นี่ ไม่ต้องไปทำงานมันแล้ว” ชลาสินธุ์หัวเราะ เขาชอบจริง ๆ ที่ให้ณิชชาพูดแบบนี้
...แบบที่แสดงว่ารักเขา แสดงว่าเขาสำคัญ...
“ไม่เอานะ เสร็จงานคุณก็ไปรับฉันที่นั่นก็แล้วกัน”
“อืม”
“แล้วคุณจะไปกี่โมง”
“ตอนเย็น ไปทำงานก่อน แวะไปส่งเธอที่คอนโดแล้วก็เลยไปเลย”
“คุณเอาคนขับรถไปด้วยใช่ไหม ฉันไม่อยากให้คุณขับรถไปต่างจังหวัดเองเลย เหนื่อยมาทั้งวัน”
“ดีใจจังที่เธอเป็นห่วง”
ตอนอวสานชลาสินธุ์ให้คนขับรถมารับที่บ้านของพัฒนศักดิ์ในวันรุ่งขึ้น พวกเขากลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ๆ แต่น้อง ๆ ทั้งสองคนปฏิเสธที่จะให้เขากลับมาทำงานในทันที ทำให้ประธานบริษัทพร้อมเลขากลายเป็นคนว่างงานในวันนี้ณิชชาหัวเราะเมื่อเห็นว่าชลาสินธุ์ดูจะเป็นห่วงเธอมากเกินจริงไปสักหน่อย ห้ามทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง จะไปไหนก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะสายตาที่เขามองเห็น อยากได้อะไรหรืออยากกินอะไรต้องบอก เพราะเขาจะทำให้เอง เรียกว่าณิชชามีหน้าที่อย่างเดียว คือนั่งเฉยๆ“พอแล้วค่ะ คุณมานั่งเถอะ” ณิชชาบอก เมื่อชลาสินธุ์ถามเป็นครั้งที่ร้อยว่าอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวจึงเรียกให้มานั่งดูหนังในห้องนั่งเล่นด้วยกันชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ คนรัก และเหมือนเคย นับตั้งแต่กลับ มาจากไร่เจริญตา ไม่มีสักครั้งที่หากได้นั่งคู่กันชลาสินธุ์จะไม่โอบรอบตัวร่างเล็กให้อยู่ในอ้อมกอดตลอดเวลา“ไม่เจ็บแล้วแน่นะ ดูสิ ยังเป็นรอยช้ำอยู่เลย” ชลาสินธุ์บอกพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบา ๆ ไปที่รอยช้ำที่แขน ซึ่งยังเป็นรอยเด่นชัด น่าจะเกิดจากการต่อสู้กับลูกน้องของภัสสรา“เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงขาคุณดีกว
บทที่ 50 จุดจบที่เลวร้ายภัสสราเดินตรงเข้ามายังชลาสินธุ์ ทำให้ชายหนุ่มต้องถอยหลังเพื่อเว้นระยะ กลุ่มชายฉกรรจ์ผิวเข้มเดินเข้ามาในห้องหลายคน ณิชชาเห็นคนที่โยนเขาเข้าไปในรถตู้รวมอยู่ในนั้นด้วย“ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันเดินไหวแล้ว” ณิชชากระซิบบอก ชลาสินธุ์ยอมทำตาม แต่ก็ยังโอบไหล่บางไว้ ไม่ให้ห่างตัว ร่างเล็กซบใบหน้าตัวเองลงกับลำแขนใหญ่ แม้ว่าจะกลัวจนแทบบ้า แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี เธอเชื่อมั่นในตัวฉันนะ” ชลาสินธุ์กระซิบบอกอย่างอ่อนโยนณิชชาพยักหน้ารับ เธอจะเชื่อมั่นในตัวคน ๆ นี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามกลุ่มชายฉกรรจ์ตีวงล้อมจนทั่วห้องโดยมีทั้งสามคนอยู่ตรงกลาง“รู้อะไรไหม คุณสินธุ์ คุณทำให้ฉันสูญเสียอะไรไปตั้งหลายอย่าง ลงทุนไปตั้งมากมาย แต่คุณกลับทำลายมันทิ้งในเวลาแค่วันเดียว” ภัสสราเอ่ยขึ้น คำพูดเนิบช้ากว่าปกติ เรียวปากเหยียดยิ้มแต่แววตากลับเข่นอาฆาต“คุณไม่เห็นต้องโกรธผมขนาดนี้เลยคุณสรา”“หึ ไม่ต้องโกรธเหรอ ถ้าคราวนั้น พวกแกไม่ทำตัวเป็นคนดี แล้วปล่อยให้ฉันดำเนินธุรกิจของฉันไป ฉันก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก แกก็ได้ค่าเช่า ฉันก็ได้กำไร แกทำแบบนั้นทำ
บทที่ 49 ลักพาตัว“คืนนี้เธอจะนอนที่นี่ใช่มั้ย”“ฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลย”“ก็ใส่ตัวเดิมสิ ไม่เปื้อนหรอก เพราะคืนนี้เธอไม่ต้องใส่นี่” อีกคนยังดื้อรั้นไม่ฟังคำอธิบายแถมยังทำท่าจะหื่นใส่อีก“คิดจะทำอะไรน่ะ ที่นี่โรงพยาบาลนะ แล้วคุณก็ป่วยอยู่ ทำไหวหรือไง?”“จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมั้ย”“ไม่ ฉันไม่ยอมหรอก คุณน่ะ เอะอะก็จะทำมิดีมิร้ายฉันตลอด”“ขี้บ่นจัง” ชลาสินธุ์แกล้งทำท่าเกาหัว “งั้นฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร แต่เธอนอนให้ฉันกอดนะ คิดถึงจะแย่ คิดถึงจะตายอยู่แล้วคนใจร้าย”“ว่าฉันใจร้าย คุณก็ใจร้ายเหมือนกันนั่นแหละ”“นะ”“เอ่อ...ถ้าคุณไม่ทำอะไรจริง ๆ ฉันนอนด้วยก็ได้”“ไม่ทำหรอก ถ้าเธอไม่เผลอน่ะ”“อะไรนะ!” และอย่างไม่ต้องรอคำตอบ ณิชชาก็ฟาดมือไปที่แขนคนป่วยเสียงดังลั่นห้อง ก่อนจะแจกค้อนไปให้อีกหลายทีชลาสินธุ์ลูบแขนตัวเองแล้วหัวเราะไปด้วย“ฉันยอมให้หน่อย ก็ทำร้ายฉันเลยนะ” เสียงอ่อนบอกก่อนจะโอบคนรักให้แน่น ๆ อีกหน “งั้นตกลง นายนอนที่นี่นะ นอนเฉย ๆ ให้ฉันมองหน้า จะได้หายคิดถึง”“หึ” หญิงสาวค้อนคนป่วยขวับ เธอเองก็อยากกอด อยากมองหน้า อยากยิ้มให้ผู้ชายคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความรักระหว่างตัวเองกับ
บทที่ 48 ฝันที่ (ไม่) อาจเป็นจริงแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้วทำให้อาจจะได้พบคนที่เขาคิดถึงแค่ไม่กี่นาทีแต่ณิชชา ก็ตัดสินใจออกจากบ้านทันทีที่อัครชัยปล่อยมือเขา ความโหยหาที่ลอยวนอยู่ในใจมันฉุดกระชากให้เขามาที่นี่ โรงพยาบาลใหญ่ใจกลางกรุง ชลาสินธุ์ถูกย้ายมาที่นี่ทันทีที่ร่างกายสามารถทนต่อการเดินทางได้หญิงสาวเดินหาห้องนั้นจนพบ ในมือถือดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่ตั้งใจทำเองด้วยหัวใจ มือบางที่กำลังจะเคาะห้องมีอันต้องชะงักค้างไว้“คุณณิชคะ คุยกันหน่อยดีมั้ย” ชลาธารที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน มองมาที่ณิชชา ไม่มีสายตาของมิตรภาพแม้แต่น้อยชลาสินธุ์นอนลืมตาโพรงอยู่บนเตียงคนป่วย แม้อาการทางกายจะค่อย ๆ หายจนเกือบเป็นปกติ เพราะรถที่ชนก็แค่เฉี่ยวขาทำให้เจ็บที่หัวเข่าซ้ายเท่านั้น แย่หน่อยตรงที่ตอนกระโดดหลบ หัวของเขามันไปชนต้นไม้ข้างทางทำให้ทั้งน้อง ๆ และคุณหมอค่อนข้างเป็นห่วง แต่อาการทางใจของชายหนุ่มก็ทำให้ตอนนี้เขาแทบไม่ต่างจากผักเหี่ยว ๆ ที่รอวันเฉาลงไปอีกชลาธารรับหน้าที่ดูแลพี่ชายของเธอที่โรงพยาบาล ขณะที่คนอื่นดูแลเรื่องงาน ยิ่งเห็นพี่เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งโกรธณิชชามากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าเป็นคนนิ่ม ๆ ไม่คิดว่าจะมีอิ
บทที่ 47 อัครชัยคือคนที่เลือกแล้วชลาธารทำอย่างที่ตนเองได้ลั่นวาจาไว้ทันทีที่วันทำงานวันแรกมาถึง“คุณณิชคะ คุยกับธารในห้องก่อนค่ะ” มาถึงยังไม่ทันได้นั่ง ก็เอ่ยปากให้ณิชชาเดินตามตัวเองเข้าไปในห้องแล้ว ณิชชาเดาไม่ถูกว่าเจ้านายคนเล็กคนนี้จะพูดเรื่องอะไร เรื่องงานหรือว่าอย่างอื่น เพราะแทบจะไม่เคยทำงานด้วยกันเลย ยิ่งหญิงสาวไปเรียนต่อได้เป็นปีแล้ว ยิ่งห่างกันไป เดาใจไม่ถูก“คุณธาร มีอะไรให้ณิชทำเหรอคะ” ณิชชาพูดก่อนจะนั่งลงตามมือที่ผายออก หญิงสาวไม่ได้ชวนเธอนั่งที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้คนที่ยึดโต๊ะตัวนั้นเป็นของตัวเองยังไม่มา แต่พวกเธอนั่งคุยกันที่โซฟารับแขกซึ่งอยู่ในห้องทำงานของชลาสินธุ์ด้วยนั่นเอง“คุณณิชจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าธารจะถามเรื่องพี่สินธุ์” ยิงคำถามทันทีพร้อมกอดอกฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนคนที่ต้องตอบจะยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ“คือ...เอ่อ...”“ไปเยี่ยมสักวัน หรือดอกไม้สักช่อ ไม่คิดจะส่งไปหน่อยเหรอคะ” ชลาธารพูดแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด อยากจะเล่าสภาพของพี่ชายให้คนตรงหน้าฟังว่าเลวร้ายแค่ไหน แต่ก็กลัวว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นอย่างอื่นนอกจากความเห็นอกเห็นใจ ถ้าณิชชารู้สึกยินดีกับสภาพของพี่ชายตนเอ
บทที่ 46 รถชนณิชชาฟังแล้วอึ้งไป เพราะน้ำเสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่ก็เฉียบขาด พี่น้องบ้านนี้บุคลิกไม่เหมือนกันสักคน สาคเรศคนนี้หากฟังจากน้ำเสียง ลักษณะนิสัยคงเป็นแบบ อยู่ตรงกลางระหว่าง ชลาสินธุ์และธารากานต์ คือไม่ได้ดูใจดีมากเหมือนธารากานต์ แต่ก็ไม่ได้ดุและขี้หงุดหงิดเหมือนพี่ชายคนโต“คือ...คุณสินธุ์คงไม่สะดวกให้ดิฉันไปทำงานแล้วล่ะค่ะ”“พี่สินธุ์ไม่อยู่ที่นี่มาสองสัปดาห์แล้วครับ ตั้งแต่คุณไป” เสียงถอนหายใจปล่อยมาตามสาย “คุณทำให้พี่สินธุ์อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วคุณก็จะไม่อยู่ดูแลที่นี่อีก นี่คุณกะจะให้พวกเราล่มจมเลยเหรอครับ”“คุณเรศคะ...ดิฉันเปล่า...คือ...ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกคุณเลยนะ เพียงแต่ไม่คิดว่าคุณสินธุ์เขา...”“เขาจะอยู่ไม่ได้เมื่อไม่มีคุณ?” สาคเรศขัดอีกแล้ว แล้วก็ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจณิชชาด้วย คนฟังน้ำตาแทบจะไหลลงมาอีกครั้ง เสียงถอนหายใจของปลายสายทำให้ณิชชาทำอะไรไม่ถูก “ผมทราบว่าคุณไปคุยกับที่อื่นมาแล้ว แต่ก่อนจะไป คุณน่าจะมาเคลียร์งานที่นี่สักหน่อย พรุ่งนี้เข้ามานะครับ ผมรออยู่”สาคเรศวางหูไปนานแล้ว แต่ณิชชายังอยู่ที่ระเบียงไม่ไปไหน ความคิดสับสนว