Mag-log inเสียงฝีเท้าในค่ำคืนยังตามหลอกหลอนในห้วงฝันของเด็กสาว ลมกลางดึกพัดผ่านผนังไม้ กรีดเสียงคล้ายมีดเฉือนใจของนาง วันนั้น...แสงเพลิงส่องลอดประตู เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวาน นางเองได้แต่ยืนตัวสั่น มองเงาของพ่อที่ยกดาบขึ้นปะทะกับคนชุดดำในความมืด
“หนีไป...!” เป็นเสียงสุดท้ายที่พ่อพูดกับนางและพลักนางให้ออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เงานั้นจะกลืนร่างท่านหายไปในม่านควัน นางวิ่งไปในความมืด หัวใจเต้นรัวดั่งจะระเบิด เสียงดาบยังดังไล่หลัง เหมือนเตือนให้จำว่าข้ายังมีชีวิตได้เพราะใคร หลายคืนแล้วที่นางไม่อาจหลับสนิท ทุกครั้งที่ปิดตา เขายังเห็นแผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ท่ามกลางเพลิง แผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยลม แต่ไม่เคยสั่นด้วยความกลัว นางอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง อยากบอกว่าตัวเขาจะไม่หนีอีกต่อไป นางจะเติบโต...ให้คู่ควรกับเลือดที่พ่อทิ้งไว้ในคืนนั้น ครั้นนางจะหยุดพักก็เหมือนว่ามีคนกำลังวิ่งตามพอมองออกไปก็ไร้วี่แววของผู้คน นางได้แต่คิดอยู่ในใจ ในเมื่อนางหนีมาหลายวันหลายคืนแล้ว ทำไมเสียงนั้นยังตามหลอกหลอนนางอยู่ ถามว่านางน่าจะคิดไปเองว่ายังมีคนวิ่งไล่ตามอยู่ตลอดเวลา ลมหนาวยามค่ำยังคงพัดผ่าน เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้า เห็นดวงดาวดวงเดิมที่พ่อเคยชี้ให้ดูแต่คืนนี้มันไม่ส่องแสงเท่าเดิมอีกแล้ว เสียงลมหอบหวิวดังสะท้อนในความเงียบของราตรี ดินเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนที่เพิ่งหยุดตก คลั้นพอนางลองหยุดเดินก็ได้ยินเสียงวิ่งมาทางด้านหลังอยู่ดีครั้นพอมองกลับไป ทางด้านหลังก็เห็นคนชุดดำราวราวสี่ห้าคนที่ถือดาบวิ่งมาทางทิศของตน เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าเป็นชุดเดี๋ยวกับเจอที่หมู่บ้านนั้นหรือไม่ "เฮ้หนูหน่อยมีเด็กน้อยผู้หนึ่งไปเร็วๆอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้างเร็วๆๆๆๆเด็กน้อยวิ่งไปทางโน้นแล้วเร็วๆ" เสียงบุรุษชุดดำผู้หนึ่งเก่าขึ้นพรางชี้ดาบมายังจุดที่เด็กสาวผู้นี้ยืนอยู่ หญิงสาววิ่งฝ่าป่ามืดด้วยฝีเท้าที่แทบไม่สัมผัสดิน ลมหายใจสั้นแรง ยิ่งกว่าเดิม จังหวะหัวใจเต้นรัวประหนึ่งกำลังหนีไม่เพียงศัตรู... หากแต่กำลังหนีชะตากรรมของตนเอง นางไม่กล้าหันกลับไป แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาที เพราะรู้ว่า สิ่งนั้น ยังตามมา...ไม่ใช่เพียงคน ไม่ใช่เพียงศัตรู... แต่คือ “บางสิ่ง” ที่แฝงอยู่ในเงามืดนั้น “อย่าหยุด... วิ่งต่อไป...” เสียงกระซิบดังขึ้นในห้วงจิต ไม่ใช่เสียงของตนเอง ไม่ใช่เสียงของพ่อที่สั่งให้หนี แต่นุ่มลึกเย็นเยียบเหมือนเลื้อยอยู่ข้างต้นคอเลื้อยไปใบหู หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น ความปวดหน่วงแล่นจากกลางอกลงสู่หน้าท้อง ราวกับมีบางสิ่งกำลังตื่นขึ้นในร่าง ลมหายใจเริ่มติดขัด ดวงตาพร่ามัว เหมือนภาพรอบข้างสั่นไหว ทำให้ภายในรู้สึกกระอักกระอวน “พลังนี้... มันคืออะไร...” นางครางแผ่ว มือกำหน้าอกไว้แน่น ความร้อนลึกลับแล่นผ่านเส้นเลือด ทันใดนั้น “ฟ่อ ฟ่อ” เสียง เบา ๆ ดังขึ้นในหัว คล้ายงูหายใจใกล้แก้ม เงาแปลกประหลาดฉายผ่านแสงจันทร์ — เกล็ดบางสีเงินวูบผ่านต้นคอของนางในเสี้ยววินาที ก่อนจะหายไปเหมือนภาพลวง แต่ผิวหนังบริเวณนั้นกลับเย็นเฉียบ ราวกับมีบางสิ่งเลื้อยอยู่ใต้ผิวจริงจริง นางพยายามมองซ้ายมองขวาไม่พบอะไร นางเซถลาเกือบล้ม แต่กลับรู้สึกว่าร่างเบาขึ้นอย่างประหลาด ทุกครั้งที่ก้าวเท้า ลมรอบกายหมุนวนคล้ายรับรู้คำสั่งของนาง เสียงลมหอนดังรอบด้าน แต่แท้จริงแล้ว... มันไม่ใช่เพียงเสียงลมธรรมดา หากเป็นแรงบางอย่างที่เกิดจาก “ตรา” ที่ซ่อนอยู่ในโลหิตของนาง “เจ้าหนีไม่ได้..เจ้าหนี้มันไม่พ้น...อย่างไรก็หนีไม่พ้น” เสียงกระซิบแปรเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มต่ำยิ่งกว่าเดิม “ตราของเจ้า... ได้ตื่นแล้ว” เสียงดังขึ้นในห้วงความคิด เลือดในกายพลุ่งพล่าน ความเจ็บปวดกลายเป็นพลังบางอย่าง "อ้า" นางเผลอร้องออกมาหนึ่งเสียงด้วยความตกใจ และทันใดนั้น ลมรอบกายก็พัดกระจายรุนแรง ต้นไม้ล้มระเนระนาด ใบไม้หมุนวนขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนพายุย่อม ๆ ศัตรูที่ไล่ตามมาถึงหยุดชะงัก เสียงร้องตกใจดังขึ้นจากที่ไกล “นางใช้วิชาอะไรกัน!?” บุรุษผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป แต่หญิงสาวเองกลับมองมือของตนด้วยความตระหนก ปลายนิ้วสั่น อย่างไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น รู้เพียงว่าพลังนี้... ไม่ใช่ของตนเอง และไม่อาจควบคุมได้ เสียงกระซิบสุดท้ายดังก้องในห้วงจิตอีกครั้ง “เมื่อสายลมแรกแห่งตราตื่น เจ้าจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...” ลมสงบลง ทิ้งไว้เพียงเงาจันทร์บนพื้นดินและหญิงสาวผู้ยืนเดียวดาย เงาเบื้องหลังนางยาวทอดและในเงานั้น มีเกล็ดงูวาววับ เคลื่อนไหว... เหมือนกำลังเฝ้ามองดูตัวนาง ในใจของนางที่หวาดกลัว และบุรุษ ทั้งสี่ห้าคนนั้นก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาไล่ตามอีกแล้ว แต่เป็นตัวนางที่มุ่งทยานไปข้างหน้าเรื่อยๆด้วยความหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ในตัวของตัวเอง แม้ว่านางจะวิ่งล้มลุกคลุกคลานเท่าไหร่นางก็พยายามที่จะลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อไปข้างหน้าเท่านั้น เหมือนวิ่งไปเรื่อยๆ ของสิ่งนั้นก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ตลอด ในที่สุดนางก็ลองหยุดพักสักครู่เสียงไปตามมานั้นก็เงียบหายไปแล้ว นางยืนคนเดียวมองซ้ายมองขวา "เจ้าหนีมันไม่พ้นหรอก ...ถึงจะวิ่งสุดล่าฟ้าเขียวก็หนีไม่พ้น" เสียงนั้นมันทุ้มต่ำดังไม่ใช่เสียงคน "ฝ่อ ฝ่อ" เสียงคล้ายไปกับเสียงขู่ของงู เด็กสาวมองซ้ายมองขวา และทะยานวิ่งไปข้างหน้าอีก นางไม่มีจุดหมาย เพียงแค่ออกวิ่งไปเรื่อยๆเพื่อหนีเสียงนั้น เมื่อได้ยินอีกทางเด็กสาวก็จะพุ่งไปอีกทาง ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าไปทิศได้แล้ว "หยุดหนีเถอะ...อย่างไรก็หนีไม่พ้น" เสียงนั้นยังตามหลอกหลอนจนในที่สุดเด็กหญิงก็หมดแรงแล้ว นางหอบเอาแรงเหือกสุดท้ายแล้วพุ่งเข้าถ้ำที่อยู่ ตรงกลางป่านางไม่มรู้ว่ามีอะไรดลใจให้นางเข้าไป แต่นางก็พุ่งเข้าไปด้วยความเหนื่อยล้า "ห่อ..ฟ่อ" เสียงนั้นยังดังขึ้นอีกแต่เด็กน้อยไม่มีแรงหนีแล้วจริงๆสายลมยามค่ำคืนเย็นเยียบจนแทงทะลุผิวกายหญิงสาวพิงผนังหินในถ้ำลึก มือกุมหน้าอกแน่น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อและฝุ่น นางหอบหายใจแรงราวกับเพิ่งหนีตายมาไกลหลายลี้ นางมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัว ถ้ำนี้ดีหน่อยที่มีคบเพลิงอยู่สามสี่อัน นางจุดคบเพลิงขึ้นเพียงอันเดียวก็เพียงพอให้แสงสว่างแล้ว เพราะเป็นตอนกลางคืนและถ้ำเองก็มืด คบเพลิงอันเดียวก็ส่งแสงสว่างเพียงพอ เสียงน้ำหยดจากเพดานถ้ำดังเป็นจังหวะช้า ๆ ผสมกับเสียงหัวใจเต้นที่ดังชัดในอกความเหนื่อยล้าเข้ามาปะปน นางหลับตา สูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความสั่นแต่ยิ่งพยายามสงบเท่าไร เสียงนั้นกลับยิ่งชัดขึ้น... “เลือดของข้า... ไหลเวียนในตัวเจ้าแล้ว”หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นกวาดมองรอบถ้ำไม่มีใคร ไม่มีเงาของผู้คน มีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงที่นางจุดไว้สะท้อนอยู่บนผนังหินซึ่งไร้คนอื่นๆ เปลวเพลิงเองก็นิ่งเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน“ใคร... ใครอยู่ที่นั่น!”เธอตะโกนถาม เสียงสะท้อนกลับมาเพียงคำพูดของตนเอง"ใคร...ใครอยู่ที่นั่น!"สักพักใหญ่ๆก็มีเสียงอีกเสียงที่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของนาง“ข้า... คือเจ้า”“และเจ้าคือผู้สืบตราแห่งอสรพิษขาว”เสียงนั้นดังขึ้นในหัวชัดเจ
เสียงฝีเท้าในค่ำคืนยังตามหลอกหลอนในห้วงฝันของเด็กสาว ลมกลางดึกพัดผ่านผนังไม้ กรีดเสียงคล้ายมีดเฉือนใจของนาง วันนั้น...แสงเพลิงส่องลอดประตู เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวาน นางเองได้แต่ยืนตัวสั่น มองเงาของพ่อที่ยกดาบขึ้นปะทะกับคนชุดดำในความมืด“หนีไป...!”เป็นเสียงสุดท้ายที่พ่อพูดกับนางและพลักนางให้ออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เงานั้นจะกลืนร่างท่านหายไปในม่านควัน นางวิ่งไปในความมืด หัวใจเต้นรัวดั่งจะระเบิด เสียงดาบยังดังไล่หลัง เหมือนเตือนให้จำว่าข้ายังมีชีวิตได้เพราะใคร หลายคืนแล้วที่นางไม่อาจหลับสนิท ทุกครั้งที่ปิดตา เขายังเห็นแผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ท่ามกลางเพลิง แผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยลม แต่ไม่เคยสั่นด้วยความกลัว นางอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง อยากบอกว่าตัวเขาจะไม่หนีอีกต่อไป นางจะเติบโต...ให้คู่ควรกับเลือดที่พ่อทิ้งไว้ในคืนนั้น ครั้นนางจะหยุดพักก็เหมือนว่ามีคนกำลังวิ่งตามพอมองออกไปก็ไร้วี่แววของผู้คน นางได้แต่คิดอยู่ในใจ ในเมื่อนางหนีมาหลายวันหลายคืนแล้ว ทำไมเสียงนั้นยังตามหลอกหลอนนางอยู่ ถามว่านางน่าจะคิดไปเองว่ายังมีคนวิ่งไล่ตามอยู่ตลอดเวลา ลมหนาวยามค่ำยังคงพัดผ่าน เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้า เห็นดวง
ลมราตรีพัดกรรโชกผ่านป่าไผ่ เสียงใบไผ่เสียดสีกันราวกับเสียงคร่ำครวญจากวิญญาณเร้นลับภายในเรือนเล็กกลางหมู่บ้าน ไป๋เสวี่ยหลานเด็กสาวนั่งเย็บเสื้อผ้าใต้แสงตะเกียงน้ำมัน แสงอุ่นส่องขับดวงหน้านวลที่ยังไร้เดียงสา ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความฝันเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับบิดาเงียบสงบไปวัน ๆ พรุ่งนี้เช้าทั้งสองจะออกเดินทางไปขายผ้าที่ถิ่นใหม่แล้ว ไป๋เสวี่ยหลานเย็บผ้าตัวนี้เสร็จก็จะเขานอน แต่คืนนี้ที่ควรจะสงบสุข กลับแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ยากลืมเลือน "ตึง! ตึง! ตึง!เสียงของประตูไม้ที่ถูกถีบแตกดังสะท้านไปทั่วเรือน ก่อนที่เงาดำหลายสายจะทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วบิดาของไป๋เสวี่ยหลาน นามว่าไป๋อหมิงพ่อค้าเร่ที่ทุกทุกคนพูดถึง พุ่งออกมาขวางด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว เขาเพียงทันคว้าดาบเก่า ๆ ขึ้นมาในมือ“หลานเอ๋อร์ถอยไปอยู่หลังข้า!” เสียงเขาก้องดังก้องไปทั้งห้องเพลี้ยง! เพลี้ยง! เพลี้ยง!เสียงดาบปะทะกับอาวุธของผู้บุกรุก เสียงโลหะเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟในความมืด ไป๋เสวี่ยหลานตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นโลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากแขนของบิดา หัวใจของนางนั้นเต้นดววตาของนางก็เริ่มพร่ามัวเหมือนมีอะไรมาบังสายตาให้มันมัวลงไป
เมื่อชายวัยกลางคนจัดของเสร็จวันพรุ่งนี้รุ่งเช้าเขาก็จะพาลูกออกเดินทาง เขาจึงเข้าไปดูลูกน้อย เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าลูกยังไม่นอนกำลังเย็บผ้าที่เสียหายอยู่ ผู้เป็นพ่อนั่งลงตรงหน้าของลูก แสงตะเกียงสั่นไหวในห้องเล็ก พ่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวที่ยังใสซื่อ เขายกมืออันหยาบกร้านจากงานหนักลูบศีรษะเธอแผ่วเบา น้ำเสียงต่ำช้าแต่หนักแน่นเอ่ยว่า“ลูกเอ๋ยจำไว้นะ...อย่าบ่ายเบี่ยงกับคนแปลกหน้า”เด็กสาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นถามเบา “ทำไมเจ้าคะ พวกเขาไม่ใช่คนดีหรือ?”พ่อถอนหายใจยาว แววตาเต็มไปด้วยความอาทรปนเศร้าลึก “เพราะโลกนี้...ไม่ได้มีที่สำหรับความอ่อนแอ บางครา การปฏิเสธเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงเจ้าเอง”เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อจะจับไหล่ลูกแน่น “หากเจ้าจำเป็นต้องยอม ก็ยอมอย่างฉลาด หากต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็เอ่ยด้วยใจเย็น อย่าเผยความกลัวออกมาเด็ดขาด”คำสอนนั้นแทรกซึมในใจเด็กสาว ไม่ใช่เพียงคำเตือนเรื่องคนแปลกหน้า แต่คือการบอกนัยว่าทางข้างหน้ามีเพียงความโหดร้ายรออยู่ ผู้เป็นลูกพยักหน้าให้กับพ่องึกๆ พ่อสบสายตาลูกยิ้มให้เล็กน้อย เด็กผู้นี้แต่ก่อนมีนิสัยที่ร่าเริงแต่มาวันนี้เกิดเรื่องแ
เมื่อเด็กน้อยทุกคนกลับไปแล้วเด็กน้อยเสวี่ยหลานก็ไปช่วยพ่อจัดผ้าอีก พ่อจึงก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยวัตถุที่เสวี่ยหลานเห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตสร้อยหยกรูปงูขาว เด็กน้อยมองด้วยความอยากรู้นางมองและจดจำลักษณะของมัน หยกนั้นขาวสะอาดจนแทบเรืองแสง ลวดลายสลักเป็นเกล็ดเรียงละเอียด เมื่อแสงแดดส่องต้องกลับสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด เด็กน้อยทำตาลุกวาวเมื่อเห็นแสงสะท้อนอย่างประหลาดนั้นมากระทบตาตัวเอง นางมองเลยไปจนเห็นพ่อ ที่มองหยกอยู่นานก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหลาน เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อยไม่ใช่ว่าหนังจ้องมองขนาดนั้นจนพ่อรู้ว่านางแอบจดจำรายละเอียดแล้วหรือนางจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ“รับเอาไปสิ มันเป็นของเจ้า จำไว้นะ หลานเอ๋ย ของสิ่งนี้อย่าให้ใครเห็น ” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกวัน ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยกินเกิดความรู้สึกในใจว่าเหมือนกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง“ของสิ่งนี้ คือของที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จงเก็บรักษามันให้ดี มันอาจนำพาเคราะห์ร้ายมา แต่ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะคุ้มครองเจ้าได้”เสวี่ยหลานชะงัก ดวงตาสั่นไหว นางไม่ค่อยได้ถามถึงมารดา เพราะทุกครั้งที่ถาม พ่อมักเลี่ยงเสีย
แสงอรุณแรกของฤดูปลายวสันต์สาดลงมาบนตลาดเล็ก ๆ ริมทางการค้า หมอกเช้าลอยเอื่อยเหนือหลังคามุงฟาง กลิ่นควันไฟจากเตาถ่านผสมกับกลิ่นใบชาที่เพิ่งคั่ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ วิ่งไล่กันในตรอก เสียงเอะอะโวยวายของคนที่เดินผ่านตอนเด็กน้อยวิ่งไล่กันจนจะชนเขา เด็กน้อยหันมาทำหน้าล้อเลียนแล้ววิ่งหนีไป ทำให้เช้าวันนี้ดูเหมือนเช้าที่ผ่านมา อบอุ่น เงียบง่าย และไม่สำคัญต่อผู้ใดในยุทธภพที่แสนโหดร้าย ไป๋เสวี่ยหลานเด็กน้อยวางกาน้ำชาดินเผาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านดัง ปุดปุด ขณะเธอค่อย ๆ รินลงถ้วยดินเผาสีน้ำตาล เสียงกระทบกันเบา ๆ คล้ายระฆังเล็ก สาวน้อยยิ้มบางให้ชายชราที่นั่งรออยู่พลางยื่นถ้วยไป “เชิญเจ้าค่ะ ลุงหลี่ วันนี้ชารสเข้มหน่อยนะ ดืมให้อร่อยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ พลางยื่นเหรียญทองแดงสองสามอันใส่มือเธอ และสูดดมชาที่หอมกรุ่นก่อนที่จิบเล็กน้อย พอริ้มรสแล้วรู้สึกว่าไม่ร้อนมากก็กระดกใส่ปากทันที“เสวี่ยหลาน เด็กน้อยเอ๋ย หากมีลูกสาวเช่นเจ้าอยู่บ้าน ข้าคงไม่เหงาอย่างนี้ ”ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยหัวเราะเบา ยกชายผ้าพันแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางหันไปเรียกพ่อค้าเร่ผู้ห







