LOGINสายลมยามค่ำคืนเย็นเยียบจนแทงทะลุผิวกาย
หญิงสาวพิงผนังหินในถ้ำลึก มือกุมหน้าอกแน่น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อและฝุ่น นางหอบหายใจแรงราวกับเพิ่งหนีตายมาไกลหลายลี้ นางมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัว ถ้ำนี้ดีหน่อยที่มีคบเพลิงอยู่สามสี่อัน นางจุดคบเพลิงขึ้นเพียงอันเดียวก็เพียงพอให้แสงสว่างแล้ว เพราะเป็นตอนกลางคืนและถ้ำเองก็มืด คบเพลิงอันเดียวก็ส่งแสงสว่างเพียงพอ เสียงน้ำหยดจากเพดานถ้ำดังเป็นจังหวะช้า ๆ ผสมกับเสียงหัวใจเต้นที่ดังชัดในอกความเหนื่อยล้าเข้ามาปะปน นางหลับตา สูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความสั่น แต่ยิ่งพยายามสงบเท่าไร เสียงนั้นกลับยิ่งชัดขึ้น... “เลือดของข้า... ไหลเวียนในตัวเจ้าแล้ว” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นกวาดมองรอบถ้ำ ไม่มีใคร ไม่มีเงาของผู้คน มีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงที่นางจุดไว้สะท้อนอยู่บนผนังหินซึ่งไร้คนอื่นๆ เปลวเพลิงเองก็นิ่งเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน “ใคร... ใครอยู่ที่นั่น!” เธอตะโกนถาม เสียงสะท้อนกลับมาเพียงคำพูดของตนเอง "ใคร...ใครอยู่ที่นั่น!" สักพักใหญ่ๆก็มีเสียงอีกเสียงที่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของนาง “ข้า... คือเจ้า” “และเจ้าคือผู้สืบตราแห่งอสรพิษขาว” เสียงนั้นดังขึ้นในหัวชัดเจน เย็นเยียบแต่แฝงพลังลึกล้ำจนหัวใจสั่นระรัว หญิงสาวสบัดหัวอย่างแรงแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างกับคนเสียสติ หญิงสาวทรุดนั่ง มองมือตนเองที่ยังสั่นไหว บนข้อมือปรากฏลายแปลกคล้ายเกล็ดงูสีเงินเรืองแสงจาง ๆ ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผุดขึ้นในห้วงสำนึก ไฟที่เผาเรือน เสียงพ่อร้องบอกให้หนี เลือดที่สาดบนพื้น ความเหนื่อยล้าสำหลับการวิ่ง ความหวาดกลัวอยู่ในใจ และลมหอบสุดท้ายก่อนทุกอย่างดับวูบไปในเงามืด “ข้า... ไม่อยากได้พลังของเจ้า... ข้าแค่ต้องการให้พ่อยังอยู่...” เสียงเด็กน้อยร้องขึ้น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้สภาพของนางคือนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นถ้ำ “เจ้าหนีโชคชะตาไม่ได้” “ตรานี้ถูกผนึกไว้ในสายเลือดของเจ้ามาแต่กำเนิด... วันที่มันตื่น คือวันที่เจ้าจะถูกผูกพันกับชะตาของข้า” เสียงมันก้องอยู่ในหัว มันเป็นเสียงทุ้มลึกของบุรุษลึกลับ เสียงครั้งแรงที่ได้ยินมันคือเสียงนี้ไม่มีผิดเพี้ยนหญิงสาวกัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางพยายามลุกขึ้น แม้ขาทั้งสองจะสั่นเทา “ตรางูขาว... มันคือสิ่งที่ทำให้พ่อของลูกถูกลอบฆ่าใช่ไหม?” เด็กสาวถามขึ้นอีกครั้ง “มันคือสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัว... แต่แท้จริงแล้วตรานี้คือดวงชะตาแห่งการ ชำระเลือด ของยุทธภพ” คำพูดนั้นแผ่วเบา แต่ดังก้องในอก ลมเย็นในถ้ำเริ่มหมุนวน ไฟจากคบเพลิงสั่นไหวรุนแรงราวกับมีพลังบางอย่างตื่นขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวทรุดลงคุกเข่า ความเจ็บหน่วงในอกกลับมาอีกครั้ง เงาเกล็ดงูสีขาวปรากฏบนแผ่นหลัง ลามขึ้นคอจนถึงแก้ม แสงเงินแผ่วสว่างขึ้นทั่วถ้ำ ราวกับมีงูยักษ์โปร่งใสเลื้อยวนรอบตัว “พอแล้ว... หยุด!” ไป๋เสวี่ยหลานกรีดร้องสุดเสียง — แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงลมหอบและสายตาอันเย็นเยียบจากเงาสีเงินนั้น “นี่คือเพียง ลมหายใจแรก ของตรา...” “อีกไม่นาน เจ้าจะเข้าใจว่า เหตุใดเลือดเจ้าจึงถูกเลือก” ลมสงบลงอีกครั้ง ราวกับทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้นหิน หอบหายใจแรง น้ำตาคลอในแสงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามาจากปากถ้ำ คืนนี้... นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ตราในกาย ได้ตื่นขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ "เจ้ารู้สึกหรือไม่... ลมหายใจของชะตากำลังเปลี่ยนไป...” เสียงทุ่มลึกนั้นพูดออกมาไม่หยุดมันก้องอยู่โสดประสาทของนาง นางมองซ้ายมองขวาก็ไม่พบผู้ใด ทุกอย่างราวกับมืดไปหมด “เลือดของเจ้า... คือสะพานแห่งอดีต ข้า... เฝ้ารอการปลุกตื่นมานานเหลือเกิน” เสียงนั้นพูดไปเรื่อยๆ หญิงสาวพยายามจะสบัดหัวเพื่อให้ตัวเองได้เห็นคนที่พูดก็ไม่สามารถมองเห็นได้เลย “อย่ากลัวเงามืดในใจตนเอง... จงเปิดมันออก เพราะพลังแท้จริงของตรานี้ จะไม่ตอบรับผู้ที่หวาดหวั่น” เสียงพูดที่จริงจังขึ้นทุกขณะ พูดอย่างไม่ลดละ พูดหลายๆคำแต่ความหมายคือสิ่งที่นางหนีไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่นางเองต้องยอมรับ “ข้าเคยเป็น... ผู้พิทักษ์แห่งพันธะ... และเจ้าคือผู้สืบต่อคำสัญญา...” เสียงนั้นบ่งบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลงรับสิ่งที่มันเป็นของตนตั้งแต่มีแรก “ในวันที่งูขาวคลายพันธนาการ... โลกทั้งปวงจะคืนสู่สมดุล... หรือดับสูญด้วยมือของเจ้า—ขึ้นอยู่กับการเลือกเพียงหนึ่งเดียว...” เสียงนั้นมันก้องอยู่ในหัวทำให้เด็กสาวแทบหายใจไม่ทันนางรู้สึกอึดอัดไปกับเสียงนั้น มันคล้ายๆกับสิ่งที่จะตามหลอกหลอนนางไปตลอด นางอยากจะสลัดเสียงนั้นให้พ้นไปเสียเหลือเกิน “จำไว้... เมื่อเลือดหลั่งอีกครั้ง ข้าจะตื่น—และจะไม่มีทางย้อนคืน...” เสียงนั้นไม่หยุดที่จะพูด เด็กน้อยมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นกลัว ทุกอย่างมันเหมือนกดดันเข้าไปทุกรูขุมขนของนางตอนนี้จิตใจของนางก็สั่นไหวและเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนความกลัวมันเข้าไปแทรกซึมทุกรูขุมขนทำให้ขนของนางนั้นลุกชัน และบางจุดยังรู้สึกเยือกเย็นมันกดดันจนเด็กน้อยนั้นไม่สามารถที่จะทนรับได้นางจึงหลับตา เมื่อนางหลับตาก็เหมือนมีอะไรสักอย่างเคลื่อนไหวผ่านหางตาของนางไปในความคิดที่ลับตานั้น เหมือนเกล็ดงูสีขาวกำลังเลื้อยผ่านไป นางจึงสะดุ้งลืมตาขึ้นมา ก็ไม่มีสิ่งใดมีแต่เพียงคบเพลิงที่ตอนนี้กำลังส่องสว่างอยู่ แสงไฟที่ออกมาจากคบเพลิงนั้นแทบจะไม่ไหวติวแล้ว เป็นไฟแบบนิ่งๆเหมือนไม่มีลมพัดผ่านมาเลยสักนิดเดียว แต่เด็กน้อยรู้สึกว่าลมพัดผ่านตัวเองตลอดเวลา และตอนนี้นางเองก็รู้สึกเย็นยะเยือกอยู่จากข้างในออกมาข้างนอก เสียงนั้นก็หยุดหายไปสักพักใหญ่ๆเด็กน้อยนั่งกอดเข่าด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้สมองของนางไม่สามารถประมวลผลได้ว่าคิดอะไรอยู่เพราะนางมองซ้ายมองขวาเห็นเพียงแค่แสงไฟจากคบเพลิง และพ้นจากแสงไฟนั้นก็คือความมืดเพียงอย่างเดียว บอกได้เลยว่าตอนนี้เด็กน้อยผู้นี้รู้สึกกลัวสุดสุด แต่นางทำสิ่งใดไม่ได้เลยด้วยความเหนื่อยล้านางจึงหลับไปด้วยสิ่งที่ยังกดดันอยู่ภายในใจสายลมยามค่ำคืนเย็นเยียบจนแทงทะลุผิวกายหญิงสาวพิงผนังหินในถ้ำลึก มือกุมหน้าอกแน่น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อและฝุ่น นางหอบหายใจแรงราวกับเพิ่งหนีตายมาไกลหลายลี้ นางมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัว ถ้ำนี้ดีหน่อยที่มีคบเพลิงอยู่สามสี่อัน นางจุดคบเพลิงขึ้นเพียงอันเดียวก็เพียงพอให้แสงสว่างแล้ว เพราะเป็นตอนกลางคืนและถ้ำเองก็มืด คบเพลิงอันเดียวก็ส่งแสงสว่างเพียงพอ เสียงน้ำหยดจากเพดานถ้ำดังเป็นจังหวะช้า ๆ ผสมกับเสียงหัวใจเต้นที่ดังชัดในอกความเหนื่อยล้าเข้ามาปะปน นางหลับตา สูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความสั่นแต่ยิ่งพยายามสงบเท่าไร เสียงนั้นกลับยิ่งชัดขึ้น... “เลือดของข้า... ไหลเวียนในตัวเจ้าแล้ว”หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นกวาดมองรอบถ้ำไม่มีใคร ไม่มีเงาของผู้คน มีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงที่นางจุดไว้สะท้อนอยู่บนผนังหินซึ่งไร้คนอื่นๆ เปลวเพลิงเองก็นิ่งเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน“ใคร... ใครอยู่ที่นั่น!”เธอตะโกนถาม เสียงสะท้อนกลับมาเพียงคำพูดของตนเอง"ใคร...ใครอยู่ที่นั่น!"สักพักใหญ่ๆก็มีเสียงอีกเสียงที่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของนาง“ข้า... คือเจ้า”“และเจ้าคือผู้สืบตราแห่งอสรพิษขาว”เสียงนั้นดังขึ้นในหัวชัดเจ
เสียงฝีเท้าในค่ำคืนยังตามหลอกหลอนในห้วงฝันของเด็กสาว ลมกลางดึกพัดผ่านผนังไม้ กรีดเสียงคล้ายมีดเฉือนใจของนาง วันนั้น...แสงเพลิงส่องลอดประตู เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวาน นางเองได้แต่ยืนตัวสั่น มองเงาของพ่อที่ยกดาบขึ้นปะทะกับคนชุดดำในความมืด“หนีไป...!”เป็นเสียงสุดท้ายที่พ่อพูดกับนางและพลักนางให้ออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เงานั้นจะกลืนร่างท่านหายไปในม่านควัน นางวิ่งไปในความมืด หัวใจเต้นรัวดั่งจะระเบิด เสียงดาบยังดังไล่หลัง เหมือนเตือนให้จำว่าข้ายังมีชีวิตได้เพราะใคร หลายคืนแล้วที่นางไม่อาจหลับสนิท ทุกครั้งที่ปิดตา เขายังเห็นแผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ท่ามกลางเพลิง แผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยลม แต่ไม่เคยสั่นด้วยความกลัว นางอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง อยากบอกว่าตัวเขาจะไม่หนีอีกต่อไป นางจะเติบโต...ให้คู่ควรกับเลือดที่พ่อทิ้งไว้ในคืนนั้น ครั้นนางจะหยุดพักก็เหมือนว่ามีคนกำลังวิ่งตามพอมองออกไปก็ไร้วี่แววของผู้คน นางได้แต่คิดอยู่ในใจ ในเมื่อนางหนีมาหลายวันหลายคืนแล้ว ทำไมเสียงนั้นยังตามหลอกหลอนนางอยู่ ถามว่านางน่าจะคิดไปเองว่ายังมีคนวิ่งไล่ตามอยู่ตลอดเวลา ลมหนาวยามค่ำยังคงพัดผ่าน เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้า เห็นดวง
ลมราตรีพัดกรรโชกผ่านป่าไผ่ เสียงใบไผ่เสียดสีกันราวกับเสียงคร่ำครวญจากวิญญาณเร้นลับภายในเรือนเล็กกลางหมู่บ้าน ไป๋เสวี่ยหลานเด็กสาวนั่งเย็บเสื้อผ้าใต้แสงตะเกียงน้ำมัน แสงอุ่นส่องขับดวงหน้านวลที่ยังไร้เดียงสา ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความฝันเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับบิดาเงียบสงบไปวัน ๆ พรุ่งนี้เช้าทั้งสองจะออกเดินทางไปขายผ้าที่ถิ่นใหม่แล้ว ไป๋เสวี่ยหลานเย็บผ้าตัวนี้เสร็จก็จะเขานอน แต่คืนนี้ที่ควรจะสงบสุข กลับแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ยากลืมเลือน "ตึง! ตึง! ตึง!เสียงของประตูไม้ที่ถูกถีบแตกดังสะท้านไปทั่วเรือน ก่อนที่เงาดำหลายสายจะทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วบิดาของไป๋เสวี่ยหลาน นามว่าไป๋อหมิงพ่อค้าเร่ที่ทุกทุกคนพูดถึง พุ่งออกมาขวางด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว เขาเพียงทันคว้าดาบเก่า ๆ ขึ้นมาในมือ“หลานเอ๋อร์ถอยไปอยู่หลังข้า!” เสียงเขาก้องดังก้องไปทั้งห้องเพลี้ยง! เพลี้ยง! เพลี้ยง!เสียงดาบปะทะกับอาวุธของผู้บุกรุก เสียงโลหะเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟในความมืด ไป๋เสวี่ยหลานตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นโลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากแขนของบิดา หัวใจของนางนั้นเต้นดววตาของนางก็เริ่มพร่ามัวเหมือนมีอะไรมาบังสายตาให้มันมัวลงไป
เมื่อชายวัยกลางคนจัดของเสร็จวันพรุ่งนี้รุ่งเช้าเขาก็จะพาลูกออกเดินทาง เขาจึงเข้าไปดูลูกน้อย เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าลูกยังไม่นอนกำลังเย็บผ้าที่เสียหายอยู่ ผู้เป็นพ่อนั่งลงตรงหน้าของลูก แสงตะเกียงสั่นไหวในห้องเล็ก พ่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวที่ยังใสซื่อ เขายกมืออันหยาบกร้านจากงานหนักลูบศีรษะเธอแผ่วเบา น้ำเสียงต่ำช้าแต่หนักแน่นเอ่ยว่า“ลูกเอ๋ยจำไว้นะ...อย่าบ่ายเบี่ยงกับคนแปลกหน้า”เด็กสาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นถามเบา “ทำไมเจ้าคะ พวกเขาไม่ใช่คนดีหรือ?”พ่อถอนหายใจยาว แววตาเต็มไปด้วยความอาทรปนเศร้าลึก “เพราะโลกนี้...ไม่ได้มีที่สำหรับความอ่อนแอ บางครา การปฏิเสธเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงเจ้าเอง”เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อจะจับไหล่ลูกแน่น “หากเจ้าจำเป็นต้องยอม ก็ยอมอย่างฉลาด หากต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็เอ่ยด้วยใจเย็น อย่าเผยความกลัวออกมาเด็ดขาด”คำสอนนั้นแทรกซึมในใจเด็กสาว ไม่ใช่เพียงคำเตือนเรื่องคนแปลกหน้า แต่คือการบอกนัยว่าทางข้างหน้ามีเพียงความโหดร้ายรออยู่ ผู้เป็นลูกพยักหน้าให้กับพ่องึกๆ พ่อสบสายตาลูกยิ้มให้เล็กน้อย เด็กผู้นี้แต่ก่อนมีนิสัยที่ร่าเริงแต่มาวันนี้เกิดเรื่องแ
เมื่อเด็กน้อยทุกคนกลับไปแล้วเด็กน้อยเสวี่ยหลานก็ไปช่วยพ่อจัดผ้าอีก พ่อจึงก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยวัตถุที่เสวี่ยหลานเห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตสร้อยหยกรูปงูขาว เด็กน้อยมองด้วยความอยากรู้นางมองและจดจำลักษณะของมัน หยกนั้นขาวสะอาดจนแทบเรืองแสง ลวดลายสลักเป็นเกล็ดเรียงละเอียด เมื่อแสงแดดส่องต้องกลับสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด เด็กน้อยทำตาลุกวาวเมื่อเห็นแสงสะท้อนอย่างประหลาดนั้นมากระทบตาตัวเอง นางมองเลยไปจนเห็นพ่อ ที่มองหยกอยู่นานก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหลาน เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อยไม่ใช่ว่าหนังจ้องมองขนาดนั้นจนพ่อรู้ว่านางแอบจดจำรายละเอียดแล้วหรือนางจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ“รับเอาไปสิ มันเป็นของเจ้า จำไว้นะ หลานเอ๋ย ของสิ่งนี้อย่าให้ใครเห็น ” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกวัน ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยกินเกิดความรู้สึกในใจว่าเหมือนกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง“ของสิ่งนี้ คือของที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จงเก็บรักษามันให้ดี มันอาจนำพาเคราะห์ร้ายมา แต่ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะคุ้มครองเจ้าได้”เสวี่ยหลานชะงัก ดวงตาสั่นไหว นางไม่ค่อยได้ถามถึงมารดา เพราะทุกครั้งที่ถาม พ่อมักเลี่ยงเสีย
แสงอรุณแรกของฤดูปลายวสันต์สาดลงมาบนตลาดเล็ก ๆ ริมทางการค้า หมอกเช้าลอยเอื่อยเหนือหลังคามุงฟาง กลิ่นควันไฟจากเตาถ่านผสมกับกลิ่นใบชาที่เพิ่งคั่ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ วิ่งไล่กันในตรอก เสียงเอะอะโวยวายของคนที่เดินผ่านตอนเด็กน้อยวิ่งไล่กันจนจะชนเขา เด็กน้อยหันมาทำหน้าล้อเลียนแล้ววิ่งหนีไป ทำให้เช้าวันนี้ดูเหมือนเช้าที่ผ่านมา อบอุ่น เงียบง่าย และไม่สำคัญต่อผู้ใดในยุทธภพที่แสนโหดร้าย ไป๋เสวี่ยหลานเด็กน้อยวางกาน้ำชาดินเผาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านดัง ปุดปุด ขณะเธอค่อย ๆ รินลงถ้วยดินเผาสีน้ำตาล เสียงกระทบกันเบา ๆ คล้ายระฆังเล็ก สาวน้อยยิ้มบางให้ชายชราที่นั่งรออยู่พลางยื่นถ้วยไป “เชิญเจ้าค่ะ ลุงหลี่ วันนี้ชารสเข้มหน่อยนะ ดืมให้อร่อยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ พลางยื่นเหรียญทองแดงสองสามอันใส่มือเธอ และสูดดมชาที่หอมกรุ่นก่อนที่จิบเล็กน้อย พอริ้มรสแล้วรู้สึกว่าไม่ร้อนมากก็กระดกใส่ปากทันที“เสวี่ยหลาน เด็กน้อยเอ๋ย หากมีลูกสาวเช่นเจ้าอยู่บ้าน ข้าคงไม่เหงาอย่างนี้ ”ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยหัวเราะเบา ยกชายผ้าพันแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางหันไปเรียกพ่อค้าเร่ผู้ห







