หลี่ถิงและจางซื่อเมื่อได้ยินคำพูดนี้ต่างก็ล้มฟุบไปกับพื้น ส่วนฮูหยินผู้เฒ่านั้นเพิ่งได้สติ ทว่าเมื่อหันไปมองหาหลานสาวคนโต กลับไม่เห็นแม้เพียงเงา นางจึงทำได้เพียงแกล้งเป็นลม
เหล่าองครักษ์ที่ติดตามมา เข้ามาจับกุมตัวสองแม่ลูกไป ทว่าหลี่ถิงไม่ยินยอม ร้องเอะอะโวยวายเสียงดัง ก่นด่าพี่สาวที่ขุดหลุมพราง จนทำให้นางต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
“หลี่เจียว ข้าจะจองเวรเจ้า นังแพศยา กล้าหลอกถามข้า” หลี่ถิง ตอนนี้เรียกได้ว่าไม่มีสติเหลือแล้ว คุณหนูรองที่ใครต่อใครต่างชื่นชมว่าเป็นกุลสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้ที่มีกลิ่นอายของบัณฑิต บัดนี้เหลือเพียงคุณหนูที่เอาแต่ใจผู้หนึ่งเท่านั้น
“สามหาว กล้าล่วงเกินพระชายา ทหารลากตัวไปตบปากก่อนขังในคุกหลวง” เซ่าหมิงหยวนตวาดเสียงดัง
เขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าคนสกุลหลี่จะเป็นหรือตาย ในเมื่อขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชื่อเสียง กวาดสายตามองคนในห้องอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไป
เดิมทีตั้งใจจะมาแจ้งข่าวเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าสองแม่ลูกจะใจกล้า ใช้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง มาหาผลประโยชน์กับพระชายาของเขา เซ่าหมิงหยวนรู้สึกแปลกใจกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของหลี่เจียว ในชาติก่อน นางค่อนข้างหัวอ่อนและเกรงกลัวผู้คน แต่ในชาตินี้นางกลับไม่เกรงกลัวผู้ใด อีกทั้งยังทันเล่ห์เหลี่ยมของสองแม่ลูกนั้นอีกด้วย
ทางด้านราชครูหลี่ร้อนใจยิ่งนัก พ่อบ้านส่งคนมารายงานเขาถึงในราชสำนัก รีบเข้าไปกราบทูลขอความเป็นธรรมจากฮ่องเต้ แม้ว่าจะล่วงเกินอย่างไร ก็ไม่น่าจะถึงขั้นสั่งขังในคุกหลวง หนำซ้ำบุตรสาวยังถูกตบปากจนพูดไม่ได้ หากเป็นคนงานทั่วไปก็แล้วไปเถิด แต่นี่เป็นบุตรสาวที่เขาเฝ้าฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะทนพิษของบาดแผลได้
“ท่านราชครู เวลานี้ฝ่าบาทกำลังพักผ่อนอยู่ ขอท่านกลับไปก่อนเถิด หากฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้วข้าจะให้คนไปตามดีหรือไม่” กงกงเข้ามาบอก ในเมื่อคนข้างในไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ไหนเลยจะเข้าเฝ้าได้
“กงกง เวลานี้ฮูหยินและบุตรสาวของข้าเป็นตายเท่ากัน เรื่องนี้ ข้าร้อนใจยิ่งนัก” ราชครูหลี่รู้ว่าตนเองหมดหวังที่จะได้เข้าเฝ้า จึงทำได้เพียงถอนหายใจ “เช่นนั้นรบกวนกงกงด้วย” พูดจบก็เดินออกไปจากตำหนักหน้าทันที
เมื่อส่งแขกเสร็จแล้ว กงกงก็เดินเข้าไปรายงานฮ่องเต้ ที่บอกว่ากำลังพักผ่อนอยู่ ความจริงแล้วกำลังเดินหมากกับองครักษ์เสื้อแพรอยู่
“เขาไปแล้วหรือ” ฮ่องเต้ยังคงเดินหมากอยู่ ทว่าสามารถตรัสถามคล้ายมีตาหลัง
“ทูลฝ่าบาท ราชครูหลี่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กงกงรายงาน
“เจ้าลูกคนนี้เราเหนื่อยใจเหลือเกินจริง ๆ เพื่อสตรีนางหนึ่ง ยอมแตกหักกับราชครูหลี่ได้ เราไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปพบเขาได้อย่างไร เช่นนั้นช่วงนี้ก็งดให้เขาเข้าเฝ้าก็แล้วกัน” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาอย่างคนอับจนหนทาง
กงกงได้ยินเช่นนั้นก็เหงื่อแตก ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าพระองค์ทรงโปรดองค์ชายแปดมากเพียงใด ทว่ากลับทำเหมือนว่าพระโอรสสร้างความหนักใจให้เหนือคณา สงสารก็แต่ราชครูหลี่ คงต้องรอให้องค์ชายแปดบรรเทาโทสะลง ถึงจะสามารถช่วยฮูหยินและบุตรสาวของเขาได้
ราชครูหลี่ร้อนใจ คุกหลวงไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมฮูหยินและบุตรสาว บอกเพียงอีกสามวัน องค์ชายแปดจะให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงกลับไปยังจวนสกุลหลี่ เพื่อสอบถามความเป็นมาให้แน่ชัด
ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ นั่นก็เป็นสัญญาณบอกได้ชัดเจนแล้ว ว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ เดิมทีก็คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไร หากองค์ชายแปดบอกว่าไม่ ก็ยากยิ่งนักที่จะมีผู้ใดเปลี่ยนใจพระองค์ได้
“เจ้าใหญ่ กลับมาแล้วหรือ แม่อกจะแตกตายอยู่แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบออกไปรับบุตรชายที่ประตูหน้าห้องโถงใหญ่ เวลานี้นางฟื้นจากอาการเป็นลมแล้ว
“เรื่องเป็นมาอย่างไร ท่านแม่ช่วยเล่าให้ข้าฟังให้แจ่มแจ้งด้วยเถิด” ราชครูหลี่ข่มความไม่พอใจเอาไว้ จากนั้นก็นั่งฟังผู้เป็นแม่และน้องสะใภ้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
“นังลูกสารเลว กล้าทำกับพี่น้องถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ราชครูหลี่ กัดฟันกรอด ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบแล้วก็ก่นด่าบุตรสาวคนโตออกมา เสียงลอดไรฟัน
“แม่เองก็ไม่อยากจะใส่ร้ายเจียวเอ๋อร์ แต่สวีซื่อเองก็อยู่ตรงนี้ด้วยกัน เจ้าใหญ่สามารถทูลขอความเมตตากับฮ่องเต้ได้หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ามองไม่ออกแล้ว ว่าจะมีผู้ใดที่สามารถช่วยให้สองแม่ลูกนั้นรอดพ้นจากความตายได้ จะมีก็เพียงแต่เจ้าของแผ่นดินนี้เท่านั้น ที่จะยังพอต่อกรกับองค์ชายแปดได้บ้าง
“แม้แต่เข้าเฝ้าข้าก็ยังทำไม่ได้ ทราบกันดีอยู่ว่าทรงถือหาง องค์ชายแปดมากเพียงใด เห็นทีเรื่องนี้คงต้องรอเวลาตัดสิน ถึงเวลานั้นท่านแม่กับน้องสะใภ้ก็ไปช่วยเป็นพยานให้กับพวกเขาก็แล้วกัน” ราชครูพูดอย่างจนตรอก เขารู้ซึ้งถึงนิสัยของศิษย์ผู้นี้ดี
“หรือไม่พวกเราลองไปขอความช่วยเหลือจากเจียวเอ๋อร์ดีหรือไม่เจ้าคะ นางยังเด็กไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้” สวีซื่อเอ่ยขึ้น
แท้จริงแล้วนางต้องการให้คนบ้านใหญ่แตกหักกันโดยเร็วที่สุด ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นหลี่เจียวหรือว่าหลี่ถิง เกรงว่าจะไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะแต่งเป็นพระชายา เวลานี้บุตรสาวของนางอายุย่างสิบสี่ปีแล้ว ปีหน้าก็จะถึงวัยปักปิ่น ถึงอย่างไรสัญญาหมั้นหมายก็ยังคงต้องดำเนินต่อ ถึงเวลานั้นเหตุใดตำแหน่งพระชายาจะไม่ใช่ของบุตรสาวนางเล่า
เป็นบุตรหลานสายรองแล้วอย่างไร ในเมื่อหลี่ถิงซึ่งเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยารองยังสามารถแต่งเข้าตำหนักชินอ๋องได้ แล้วเหตุใดบุตรสาวของนางถึงจะไม่มีสิทธิ์ นางจะมองดูคนบ้านใหญ่กัดกินเลือดกินเนื้อกันช้า ๆ จนหมด สุดท้ายผู้รอดชีวิตก็คือคนบ้านรองของพวกนาง
ผู้ใดใช้ให้สามีไปทำงานต่างเมืองเป็นเวลานานถึงเพียงนี้เล่า นางเป็นเพียงสะใภ้ที่อยู่บ้านแม่สามี ปราศจากสามีคอยคุ้มกัน ต้องก้มหัวให้คนบ้านใหญ่จิกกัด ถึงเวลาที่นางต้องต่อสู้เพื่อครอบครัวบ้างแล้ว คำสั่งออกมาแล้ว สิ้นปีนี้สามีของนางก็จะย้ายกลับสู่เมืองหลวง ถึงเวลานั้นบุตรสาวก็จะมีหน้ามีตาเพิ่มขึ้น
“เหลวไหล หัวสมองมีแต่ขี้เลื่อย เจ้าก็เห็นแล้วว่านางเป็นคนลวงน้องสาวให้พูดคำเหล่านั้นออกมา แล้วยังจะไปขอความช่วยเหลือจากนางอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเบื่อความโง่เขลาของสะใภ้ผู้นี้ที่สุด ไม่รู้ว่านางหน้ามืดตามัวรับมาเป็นสะใภ้ได้อย่างไร
“ไปตามคุณหนูใหญ่มา” ราชครูหลี่สั่งเสียงเย็น เขาอยากจะถามจากปากของตนเอง และอยากจะรู้จากปากของบุตรสาวว่าทำเช่นนี้ทำไม
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะหากจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว นางเองก็อยู่ในเหตุการณ์ กลับไม่ห้ามปรามหลานสาวคนรอง ปล่อยให้พูดคำมิสมควรออกมา ด้วยคาดหวังเช่นกัน ว่าองค์ชายแปดจะทรงเมตตา อาศัยความโปรดปรานที่มีต่อหลี่เจียว จึงคาดหวังเอาไว้สามส่วนว่าทางเซ่าหมิงหยวนจะเห็นใจหลี่ถิงบ้าง
แต่ผู้ใดจะไปคาดคิด ไม่เพียงไม่เห็นใจ แต่ทั้งสองคนกลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย กลายเป็นว่าลูกสะใภ้และหลานสาวคนรองต้องโทษกันเพียงสองคน อีกทั้งยังกันหลี่เจียวให้ออกไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องติดร่างแหตามไปด้วย
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน