ข่าวเรื่องเสวียนกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่งให้ลูกสะใภ้เข้าวัง เพื่ออยู่ เป็นเพื่อนดังไปทั่วทั้งวังหลวง ฮ่องเต้เองก็ทราบความเคลื่อนไหวมาบ้างเช่นเดียวกัน พระองค์ยังไม่เคยพบหน้าลูกสะใภ้คนนี้มาก่อน จึงอยากจะรู้ว่านางมีดีอะไร ถึงทำให้ทั้งกุ้ยเฟยและพระโอรสโปรดปรานถึงเพียงนี้
“อืม เราได้ยินมาว่ากุ้ยเฟยเรียกหลานสาวของท่านมาอยู่เป็นเพื่อน หมอหลวงซูทราบข่าวนี้หรือไม่” ฮ่องเต้หรี่ตามองหมอหลวงชราผู้เก่งกาจ แม้ว่าจะอายุมากแล้วทว่ากลับยังแข็งแรง พระองค์เองก็ตัดใจให้หมอหลวงซูออกจากวังหลวงไปไม่ได้ จึงได้แต่ใช้ข้ออ้างให้อยู่ถวายงานรับใช้
“ทราบมาบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงตอบคำถาม แต่ยังคงทำทีเป็นจัดเตรียมกล่องยา ซึ่งเตรียมมาสำหรับตรวจพระวรกายประจำเดือนอยู่
“แล้วท่านไม่อยากจะไปพบหน้าหลานสาวสักครั้งหรือ” ฮ่องเต้ทรงหยั่งเชิง
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ตำหนักของกุ้ยเฟย หวังว่าพระองค์จะยังจำได้นะพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงซูตอบไปตามความจริง ครั้งแรกที่ได้ยินรับสั่ง เขาก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจกับบุรุษหนุ่มผู้นี้ ช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของหมอเช่นเขาอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าฮ่องเต้ผู้นี้จะใจแคบใช้ข้ออ้างสารพัดในการกักตัวเขาเอาไว้
หมอหลวงซูเคยเห็นหน้าหลานสาว เมื่อครั้งหลี่หานพาเข้าวัง แต่ครั้งนั้นนางยังเยาว์วัยนัก อายุน่าจะราวสามขวบปีได้ เด็กน้อยตัวอวบอ้วนหน้าตาน่ารักมักจะถูกองค์ชายแปดกลั่นแกล้งอยู่เสมอ
“อะแฮ่ม!!! เช่นนั้น เราจะถือเสียว่าให้รางวัลที่ท่านดูแลเราเป็นอย่างดีมาตลอด ท่านว่าดีหรือไม่” ฮ่องเต้กระแอมออกมาแก้เขิน เนื่องจากว่าตอนนี้พระองค์กำลังกลืนน้ำลายตัวเองอยู่
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงซูตอบรับอย่าง ไม่ต้องคิด อยู่ด้วยกันมาทำไมจะไม่รู้ว่าฮ่องเต้เจ้าเล่ห์ต้องการสิ่งใด
ในวังหลวงนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ มีเพียงเสวียนกุ้ยเฟยเท่านั้นที่สามารถปฏิเสธฮ่องเต้ได้ แม้กระทั่งฮองเฮายังไม่กล้าทำเช่นนั้น แต่นั่นเป็นเพราะว่านางได้รับความเจ็บช้ำมา
“ไม่ต้องมากพิธี เช่นนั้นเราก็รีบไปเถอะ” ฮ่องเต้ดีใจจนออกนอกหน้า แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ “กงกง ไปแจ้งกับทางตำหนักกุ้ยเฟย หมอหลวงซูต้องการพบหน้าหลานสาวสักครั้ง เราผู้เป็นฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา จึงให้โอกาสตาหลานได้พบหน้า ภายใต้ข้อแม้ว่าจะต้องอยู่ในสายตาของเราด้วยเช่นกัน” พระองค์จำเป็นต้องตรัสอย่างครอบคลุม มิเช่นนั้นยอดดวงใจคงจะอนุญาตเพียงหมอหลวงซู ที่สามารถเข้าตำหนักได้ โอกาสดีมาถึงแล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร
ทางด้านตำหนักของกุ้ยเฟย เมื่อได้รับรายงานจากนางกำนัล กงกงมารายงาน นางยังไม่อยากพบหน้าฮ่องเต้ นึกถึงการกระทำของพระองค์แล้วนางก็รู้สึกเกลียดและขยะแขยงคนผู้นี้ขึ้นมา ทว่าลูกสะใภ้กลับมีสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด เมื่อรู้ว่าท่านตาต้องการพบ
เสวียนกุ้ยเฟยรู้ดีว่าต้องเป็นแผนของคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้น ทว่านาง ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ที่อย่างน้อยก็นึกถึงจิตใจของลูกสะใภ้บ้าง จึงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจสักเท่าใดนัก
“เจียวเจียว ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ” หลี่เจียวรีบคุกเข่าเพื่อขอบคุณแม่สามีในอนาคตของนางในทันที
แม้เพิ่งจะเดินทางเข้ามาถึงวัง ทว่ากุ้ยเฟยก็ทำการต้อนรับนางอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง อีกทั้งยังอนุญาตให้นางเรียกพระองค์ว่าเสด็จแม่อีกด้วย หลี่เจียวผูกพันกับมารดามาก มีคนที่ดีต่อนางเช่นนี้ จึงรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
“รีบลุกขึ้นเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้พบหน้าท่านหมอซูมานานมากแล้วเหมือนกัน ทั้งที่เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเราแม่ลูกเอาไว้” เสวียนกุ้ยเฟยสั่งให้ลูกสะใภ้ลุกขึ้น
จากนั้นไม่นาน ก็มีรายงานว่าฮ่องเต้เสด็จมาถึง เกือบสามเดือนแล้วที่ฮ่องเต้ทรงไม่ได้พบยอดดวงใจ เข้ามาถึงก็รีบตรงเข้าไปพยุงกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้น ต่อหน้าผู้คนมากมายเสวียนกุ้ยเฟยยังไว้หน้าฮ่องเต้อยู่บ้าง ปล่อยให้พระองค์ถึงเนื้อถึงตัว
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงกล่าวถวายพระพรดังก้อง
“ลุกขึ้น ไม่ต้องมากพิธี กุ้ยเฟยรีบลุกขึ้นเถิด ประเดี๋ยวจะเจ็บเข่าเอาได้” ฮ่องเต้ทำเหมือนมีเพียงพระองค์และกุ้ยเฟยอยู่ในห้องนี้เท่านั้น ลืมสิ้นว่าเข้าตำหนักมาได้เพราะเรื่องอันใด
หลี่เจียวลุกขึ้น แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง ด้วยเมื่อชาติก่อน นางเป็นที่ชิงชังของฮ่องเต้ยิ่งนัก เนื่องจากตนได้ชื่อว่าเป็นนางนกต่อ เข้าวังมาเพื่อสืบความเคลื่อนไหวให้กับพ่อสามีอย่างชินอ๋อง อีกทั้งตอนนี้ใบหน้ายังบวมเป่ง เกรงว่าจะไม่เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้เอาได้
“ถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงซูกล่าวถวายพระพร ทำให้ฮ่องเต้นึกขึ้นได้ว่า แท้จริงแล้วมาด้วยเรื่องอันใด จึงชำเลืองหางตาไปมองหน้าลูกสะใภ้ พบเข้ากับสตรีรูปร่างผอมบางตามแบบฉบับคุณหนูทั่วไป แต่เพราะนางก้มหน้าจึงยังไม่รู้ว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไร
นึกเหม็นหน้าตาหลานคู่นี้ยิ่งนัก พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน แต่กลับต้องอาศัยสองคนนี้ ถึงจะเข้ามาหายอดดวงใจได้ หากผู้อื่นล่วงรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน
“ฝ่าบาท นี่คือคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ หลี่เจียว คู่หมั้นขององค์ชายแปดเพคะ” กุ้ยเฟยแนะนำลูกสะใภ้ให้ฮ่องเต้ได้รู้จัก
หลี่เจียวก้าวเข้าไปข้างหน้า พร้อมทั้งยอบกายถวายพระพรอีกครั้ง ทว่าสายตาของนางกลับมองไปยังหมอหลวงผมสีดอกเลาผู้หนึ่ง เห็นหน้าท่านตาแล้วน้ำตาก็พานจะไหล ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้พบกันอีก
“ไม่เลว ๆ กุ้ยเฟยสายตาแหลมคม เลือกลูกสะใภ้ถูกใจเรายิ่งนัก” ฮ่องเต้ตรัสชมเชยกุ้ยเฟย จากนั้นก็หันไปพูดกับคนข้างกาย “หมอหลวงซู ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ เป็นบุตรสาวที่เกิดจากราชครูหลี่กับอดีตฮูหยินผู้ล่วงลับบุตรสาวของท่านไม่ใช่หรือ เช่นนี้ก็เท่ากับว่านางเป็นหลานสาวของท่านด้วยเช่นกัน ฮ่า ๆ พวกเราสองคนนับว่ามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงดัง
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงซูขานรับอย่างนอบน้อม พร้อมทั้งมองหลานสาวด้วยสายตาอ่อนโยน
อย่าดูถูกว่าเขาเป็นเพียงหมอหลวงแก่ ๆ คนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่รับรู้ข่าวสารจากภายนอก แต่ก็ทราบข่าวมาบ้าง ว่าบุตรสาวและหลานสาวถูกเนรเทศไปยังบ้านเกิดของหลี่หาน แต่ด้วยสาเหตุใดนั้นเกินจะรู้ได้
เมื่อก่อนตัวเขานั้นปล่อยให้โทสะอยู่เหนือสิ่งใด แม้จะรู้ว่าสองแม่ลูกต้องพบเจอสิ่งใด ทว่าไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปแทรก กว่าจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว อีกทั้งตนยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะขอออกจากวังหลวง จึงทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น ทราบข่าวอีกทีถึงรู้ว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวจากโลกนี้ไปเสียแล้ว
ความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจ ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ด้วยถูกโอรสสวรรค์ผู้นี้จองจำ หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเขาเอง ที่รับรู้เรื่องราวภายในมากจนเกินไป จนฝ่าบาทไม่วางใจให้ก้าวขาออกจากวังหลวงได้
“เจียวเจียว คารวะท่านตาเสียสิ” กุ้ยเฟยเอ่ยบอกลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู
หลี่เจียวได้สติ ก็ยอบกายคารวะท่านตาของนางในทันที “เจียวเจียว คารวะท่านตาเจ้าค่ะ หลานอกตัญญูขอท่านตาลงโทษด้วย” นางเรียกชายชราว่าท่านตาอย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่รู้สึกกระดากใจเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกสนิทใจ อีกทั้งยังรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเอ็นดูนางไม่น้อย
หมอหลวงซูนิ่งไป ด้วยไม่คิดว่าตนจะถูกเรียกว่าท่านตา แน่นอนว่าเขามีหลานชายหลานสาว แต่ล้วนเรียกเขาว่าท่านปู่ด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อตั้งสติได้ก็รีบเดินเข้าไปประคองหลานสาวลุกขึ้นในทันที
“เจียวเอ๋อร์ลุกขึ้นเถอะ”
สองตาหลานสบตากันครั้งแรก หมอหลวงซูก็ปล่อยโฮขึ้นมาในทันที ทั้งที่คิดว่าตนเองเข้มแข็ง แต่พอเห็นหน้าหลานสาวก็อดคิดถึงบุตรสาวที่ล่วงลับไปไม่ได้ ยิ่งได้เห็นสภาพของหลานสาวก็เข้าใจได้ในทันที ว่าเหตุใดกุ้ยเฟยถึงเรียกตัวนางเข้าวังเป็นการด่วนเข้าใจใ
กุ้ยเฟยสบตากับฮ่องเต้ แล้วพาพระองค์เดินออกไปเงียบ ๆ คิดว่า ตาหลานน่าจะมีเรื่องพูดคุยกัน ในห้องนั้นเหลือเพียงแม่นมหยางซึ่งเป็นแม่นมของกุ้ยเฟย แล้วก็ฉินซินซึ่งเป็นสาวใช้ข้างกายของหลี่เจียว
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน