หลี่เจียวเล่าเรื่องราวของนางกับมารดาให้กับท่านตาฟัง หากจะมองว่านางเป็นเด็กขี้ฟ้อง ก็คงจะไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีอายุสิบหก ยังมีความโกรธ ความไม่พอใจ เพื่อรอวันระบาย หากมีโอกาสก็อยากจะเอาคืนบ้างก็เท่านั้น
“ตาผิดเอง ที่ปล่อยให้หลานกับแม่ของหลาน ต้องอยู่กับคนชั่วพวกนั้น” หมอหลวงซูเช็ดน้ำตาลูกผู้ชาย เมื่อได้รับรู้ถึงความยากลำบากของสองแม่ลูก
“ท่านตาไม่ผิดเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทราบดีถึงความลำบากของ ท่านตาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก่อนท่านแม่จะจากไป หวังเพียงได้มีโอกาสขอขมาท่านตาสักครั้ง” หลี่เจียวพูดจบก็คุกเข่าตรงหน้าอีกครั้ง “หากท่านตาไม่รังเกียจ โปรดรับคำขอขมาจากหลานด้วยเจ้าค่ะ” พูดจบก็โขกศีรษะให้ท่านตาของนางแรง ๆ สามครั้ง
“เจียวเอ๋อร์ หลานตา”
ทั้งสองคนใช้เวลาพูดคุยกันมากถึงสองชั่วยาม ในขณะที่ฮ่องเต้ ก็ใช้เวลากับกุ้ยเฟยอย่างคุ้มค่าด้วยเช่นกัน ครั้งนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับลูกสะใภ้ ที่ทำให้พระองค์ได้เห็นความงดงามของยอดดวงใจอีกครั้ง
ทางด้านตำหนักฉงจื้อ ฮองเฮากำลังอ่านจดหมายลับ คนผู้นั้นบอกให้นางหาทางออกจากวังหลวง แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อย่างก้าวเข้าวังหลวงแห่งนี้แล้ว ชีวิตก็เปรียบเสมือนนกน้อยในกรงทอง ไม่สามารถโบยบินไปที่ใดได้อีก
“วันนี้ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใด” หลังจากอ่านจดหมายจบแล้ว ก็เผาจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน
“ไปที่ตำหนักกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ย้ายมาอยู่ เป็นเพื่อนกุ้ยเฟยชั่วคราว หมอหลวงซูทูลขอความดีความชอบทั้งหมดที่เคยถวายงานรับใช้มาแลกกับการได้พบหน้าหลานสาวสักครั้งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรายงาน
“หึ เหมือนกันไม่มีผิด กุ้ยเฟยมีอำนาจเท่าใดกัน รับผู้ใดเข้ามาในวังหลัง ข้าฮองเฮาผู้นี้เป็นเพียงนางแก่ผู้หนึ่งสินะ ถึงไม่มีผู้ใดมารายงานข้าเลย” นางโกรธที่สองแม่ลูกไม่เห็นหัว ตำแหน่งฮองเฮาเป็นเพียงหัวโขนที่ใส่เอาไว้ให้ดูตลกเท่านั้น แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังทรงไว้หน้าเสวียนกุ้ยเฟยมากกว่านางอยู่หลายส่วน
แต่แล้วนางกำนัลก็รีบเข้ามารายงาน เนื่องจากคนของตำหนัก องค์หญิงเก้านำข้อความมารายงาน
“ฮองเฮาเพคะ หลายวันมานี้องค์หญิงเก้าไม่เสวยอะไรเลยเพคะ เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมให้นางกำนัลเข้าถวายงานรับใช้เลยเพคะ” แม่นมข้างกายถวายรายงานที่รับมาจากนางกำนัลทันที
“มีบุตรชายก็จากไปก่อนวัยอันควร มีบุตรสาวก็คิดน้อย ไม่ได้ดั่งใจข้าเลยสักคน” พูดจบก็กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ
“องค์หญิงยังทรงเด็กนัก หากอภิเษกให้กับทางนั้นแล้วคงจะคิดได้ในไม่ช้าเพคะ” แม่นมพูดปลอบใจ
“สักวันหนึ่งนางจะเข้าใจความหวังดีทั้งหมดที่ข้ามี ไปตำหนัก องค์หญิงเก้า” ฮองเฮาหลับตาอย่างปลงตก นางไม่อาจปล่อยให้สมรสพระราชทานนี้เกิดขึ้นได้จริง ๆ แต่จะบอกเหตุผลให้บุตรสาวฟังได้อย่างไรเล่า จากนั้นก็ลุกขึ้นเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ นั่งเกี้ยวอ่อนไปยังตำหนักองค์หญิงเก้าทันที
ทางด้านองค์หญิงเก้าตอนนี้ซูบผอมไปมาก ราวกับคนไม่ได้กินอะไรมานานนับเดือน ใบหน้าซีดเซียวเนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวัน หากไม่ได้อภิเษกกับเซ่าสวีเฮ่า นางก็ขอยอมตายดีกว่าอภิเษกออกไปต่างบ้านต่างเมือง
“เพื่อบุรุษผู้หนึ่ง เจ้าถึงกับยอมเอาชีวิตเข้าแลกถึงเพียงนี้ ไม่นึกถึงหัวอกของแม่บ้างหรือ” ฮองเฮาเข้ามาในห้อง เห็นบุตรสาวนอนซมไม่ยอมทำอะไรกับร่างกายก็รู้สึกปวดใจ
เดิมทีนางตั้งใจให้ทั้งสองสนิทสนมกัน แต่อยากให้รักใคร่กันฉันพี่ชายน้องสาว หาได้เป็นเช่นนี้ไม่ ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าความสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก จะทำให้ทั้งสองคนรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง
“เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่อภิเษกกับญาติผู้พี่แน่ แต่หากจะให้ไปแดนใต้ ก็นำเพียงร่างไร้วิญญาณของลูกไปก็แล้วกันเพคะ” เสียงหวานทว่ากลับแผ่วเบาตอบกลับมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนเอง
“หรงหรง ที่ผ่านมาแม่ตามใจเจ้าทุกอย่าง มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถทำได้” ฮองเฮาถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึก โล่งอกเลยสักนิดที่บุตรสาวบอกว่าจะไม่อภิเษกกับซื่อจื่อ
“เช่นนั้นเสด็จแม่ก็ทรงบอกเหตุผลมาสิเพคะ เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่” เซ่าหรงแผดเสียงทั้งหมดออกมา
ฮองเฮาเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองสีหน้าที่เจ็บปวดของบุตรสาว เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงเจ็บปวดนี้ นางก็แทบใจสลาย จุกที่ลำคอไม่สามารถพูดสิ่งใดได้อีก
เซ่าหรงไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่มารดาบอก ก็จะพูดเพียงประโยคเดิม ๆ ว่าแต่งให้กับเซ่าสวีเฮ่าไม่ได้ ทว่าเหตุผลที่แท้จริงคือสิ่งใดกันแน่ เหตุใดถึงได้กีดกันมากเพียงนี้ แม้แต่ตัวเสด็จพ่อฮ่องเต้เองกลับไม่มีทีท่าขัดขวางเลยสักนิด ออกจะสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ
ตำหนักชินอ๋องไร้การเคลื่อนไหว เซ่าสวีเฮ่าถูกขังอยู่ในเรือนหลายวันแล้ว องครักษ์นับสิบยืนประจำยังจุดต่าง ๆ ทำให้เขาไม่สามารถส่งข่าวไปหาเซ่าหมิงหยวนได้เลย
เขาไม่เห็นด้วยเลยสักนิด เรื่องที่บิดากำลังก่อกบฏขึ้น แม้นว่าบิดาจะพูดอยู่ตลอดว่าเสด็จลุงฮ่องเต้ไม่สมควรนั่งบัลลังก์แล้วใครกันที่เหมาะสม นอกจากเสด็จลุงฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่จะเหมาะสมในรัชสมัยนี้ได้อีกแล้ว แม้กระทั่งบิดาของเขาเองก็ไม่คู่ควร
“องค์ชายแปดส่งข่าวมาหรือยัง” เซ่าสวีเฮ่าถามต้าหลาง บ่าวรับใช้คนสนิท
“ยังเลยขอรับ แต่ทางวังหลวงส่งข่าวมาบอกว่าองค์หญิงเก้าทรมานตัวเอง ไม่ยอมเสวยอะไรเลย ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าพบ”
เซ่าสวีเฮ่าขมวดคิ้ว คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ว่าเหตุใดทั้งบิดาและฮองเฮาถึงขัดขวางไม่ให้ทั้งสองคนลงเอยกัน ทั้งที่เมื่อก่อนฮองเฮา ยังมีท่าทีว่าเอ็นดูเขาอยู่ไม่น้อย
“ข้าจะเข้าวังหลวง” ทราบว่านางในดวงใจไม่กินไม่นอน เขาก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“เกรงว่าจะลำบากแล้วละขอรับ ชินอ๋องสั่งเอาไว้ว่าห้ามไม่ให้ซื่อจื่อออกจากเรือนแม้เพียงครึ่งก้าว” ต้าหลางพูดขึ้นอย่างจนใจ แม้แต่ตัวเขาที่เป็นบ่าว ยังถูกกักบริเวณไปด้วย ยังดีที่เดินไปไหนมาไหนภายในตำหนักได้ ไม่ถึงขั้นให้อยู่เฝ้าซื่อจื่อเพียงอย่างเดียว
“อีกนานเท่าใดทัพของท่านพ่อถึงจะเคลื่อนพล” เซ่าสวีเฮ่าเอ่ยถาม
“ซื่อจื่อ เรื่องนี้บ่าวไม่ทราบจริง ๆ ขอรับ ทุกคนต่างปิดปากเงียบ ไม่ยอมพูดเรื่องนายท่านออกจากเมืองหลวงเลย นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ถึงเดือนสี่ก็น่าจะเข้าประชิดหางโจวได้แล้วขอรับ” ต้าหลางวิเคราะห์
‘ไม่ถึงเดือนสี่เช่นนั้นรึ กำหนดการออกเดินทางของหรงหรงคือเดือนห้า หากท่านพ่อกระทำการสำเร็จ บางทีหรงหรงก็ไม่จำเป็นต้องไปจากเมืองหลวงแล้ว เขาจะขอให้ท่านพ่อไว้ชีวิตหรงหรง ท่านพ่อเองก็เอ็นดูนางไม่น้อย เขาเชื่อว่าถึงอย่างไรนางก็จะต้องมีชีวิตอยู่ หรือเขาควรจะช่วยท่านพ่อทำการใหญ่ในครั้งนี้ให้สำเร็จดีนะ’
เซ่าสวีเฮ่าฉุกคิดได้ในใจ แต่ไม่ได้พูดความคิดของตนเองออกมา กำหนดวันอภิเษกสมรสของเซ่าหมิงหยวนคือเดือนแปด ไม่รู้เพราะเหตุใด ลึก ๆ แล้วในใจเขาไม่ยินยอมให้เกิดงานนี้ขึ้น ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าหลี่เจียวคือหญิงเดียวในใจของสหาย สวรรค์เล่นตลกให้ทั้งสองต้องกลายมาเป็นศัตรูที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อาจเพราะสงครามยังไม่เกิด จึงไม่มีผู้ใดลงมือหมายเอาชีวิตใครก่อน แต่หากมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นแล้ว ยากที่จะตอบว่าถึงเวลานั้นผู้ใดคือคนที่รอดชีวิต หากท่านพ่อแพ้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องถูกประหารทั้งโคตร ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเขาเองเช่นกัน
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน