นภัสะเง้อคอมองเข้าไปในรั้วของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านเติมรักเพื่อมองหาว่าพอจะมีใครให้ถามบ้างแล้วมันก็เป็นจังหวะดีเหลือเกินที่เจ้าเปี๊ยกเดินถือไม้กวาดผ่านมาทางนี้พอดี
“หนู หยุดก่อน” กวักมือเรียกไว ๆ
เปี๊ยกมองซ้ายมองขวาว่าใครเป็นคนเรียกพอเห็นผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งตะโกนอยู่นอกรั้ว เด็กน้อยจึงรีบทิ้งไม้กวาดไปหาพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“นี่ ใช่บ้านเด็กกำพร้าเติมรักไหมจ๊ะ”
“ใช่ครับ คุณป้ามาหาใครเหรอครับ”
เจ้าเปี๊ยกยังคงไม่กล้าเปิดประตูให้เพราะแม่ครูบอกว่าหากมีคนนอกมาอย่าเปิดประตูสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเราไม่รู้ว่าใครประสงค์ดีหรือประสงค์ร้าย
“ที่นี่ใช้สถานเลี้ยงเด็กที่หนูกุนเติบโตมาหรือเปล่าจ๊ะ”
ยกมือป้องแดดกลางวันซึ่งตกลงมากระทบหน้าจนเม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามไรผม
“พี่กุน? คุณป้าหมายถึงพี่ปีกุนเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นรอตรงนี้แป๊บหนึ่งได้ไหมครับ ผมจะไปเรียกแม่ครูให้”
ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดเลยเจ้าเด็กอ้วนก็วิ่งปรูดไปโน่นแล้ว
เวลาไม่นานหญิงสูงวัยซึ่งน่าจะอายุใกล้เคียงตัวเองก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาแล้วเปิดประตูให้ แม่ครูรำไพจำได้ว่าเธอเป็นคุณหญิงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพราะชอบบริจาคและอุปถัมภ์บ้านเด็กอ่อนหรือว่าสถานกำพร้าอยู่ออกบ่อยครั้ง
“เชิญเข้ามานั่งก่อนค่ะ วันนี้ร้อนหน่อยนะคะพอดีว่าเจ้าหน้าที่เพิ่งมายกแปลงหม้อไฟไปเมื่อวาน”
แม่ครูตอบด้วยรอยยิ้มโดยดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยทั้งที่การไม่มีไฟฟ้าใช้ในยุคสมัยแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยก็ว่าได้
“ยกหม้อแปลงไป!”
นภัสอุทานออกมาเสียงดังแล้วถามต่อ “หมายความว่าที่นี่ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้เลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้ฉันกับเจ้ากุนแล้วก็เจ้าตาลกำลังช่วยกันหาทางออกอยู่ค่ะ”
วางแก้วน้ำเปล่าลงเสิร์ฟให้กับผู้มาเยือนก่อนะย่อตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม สีหน้ามีรอยยิ้มเมื่อครู่อ่อนลงแปรเปลี่ยนเป็นกังวลเล็กน้อย
“พอจะเล่าได้ไหมคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
แม่ครูรำไพลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้ว่าสมควรจะเล่าดีไหมเพราะส่วนหนึ่งมันก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของปีกุนกับคุณธามวัฒน์เหมือนกัน แต่พอนภัสเอื้อมมือมาแตะแล้วบอกว่าหากมีเรื่องที่เธอจะช่วยได้เธอก็จะช่วย...
“เย็นแล้วนะครับ คุณปีกุนยังนั่งอยู่ที่เดิมเลยแถมยังไม่ได้กินข้าวกินน้ำสักคำ”
บดินทร์ยื่นมือไปรับแฟ้มจากคนเป็นเจ้านายที่เพิ่งเสร็จแล้วมาแนบไว้กับอก ซึ่งวันนี้ทั้งวันไม่ใช่แค่ปีกุนหรอกที่ไม่ได้ออกไปไหนหรือกินอะไรคนตรงหน้าเขาก็เช่นกันเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ข้าวปลาอาหารยังคงวางอยู่ตำแหน่งเดิมไม่มีร่องรอยแตะต้องแม้แต่น้อย
“แล้วยังไง” เขาตอบเย็นชาโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร
“คุณธามไม่สงสารเธอหน่อยเหรอครับ”
ปัง! แฟ้มงานถูกปิดลงอย่างแรง ใบหน้าหล่อไม่พอใจกับคำพูดนั้นอย่างแรง สงสารอย่างนั้นเหรอ แล้วผู้หญิงคนนั้นไม่คิดสงสารเขาบ้างเหรอที่ต้องสูญเสียทั้งเมียทั้งลูก
“ได้เวลาเลิกงานแล้ว นายจะไปไหนก็ไปฉันไม่อยากเห็นหน้า พูดจาไม่เข้าหูอารมณ์เสีย”
“ครับ” ค่อมศีรษะเล็กน้อยกำลังจะหันหลังกลับแต่ก็หยุดแล้วหันกลับมาใหม่
“แล้วคุณธามจะปล่อยคุณปีกุนไว้อย่างนั้นเหรอครับ”
ช้อนตามองลูกน้อง “บดินทร์”
“ครับ” เอียงคอเล็กน้อยเพื่อรอฟังว่าเจ้านายจะพูดหรือสั่งอะไร
“อยากถูกไล่ออกใช่ไหม”
“เปล่าครับ” ตอบเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องทันที พลางมองร่างอวบใบหน้าซีดเซียวด้วยความสงสารจับใจ
บดินทร์กลับไปร่วมชั่วโมงแล้วท้องฟ้าสว่างก่อนหน้าเคลื่อนปกคลุมด้วยความมืดมิด ธามวัฒน์ขยับตัวลุกขึ้นบิดแขนและลำคอด้วยท่าทาง
เหนื่อยล้าและเกียจคร้าน
“กลับไปหรือยังนะ”
เขาเอื้อมมือไปหยิบมือถือเปิดกล้องวงจรปิดดูอีกครั้ง แล้วต้องย่นคิ้วว่าเธอยังนั่งอยู่ที่เดิม เขาไม่คิดเลยว่าปีกุนจะมีความอดทนได้มากขนาดนี้ ก็ดีทรมานตัวเองเยอะ ๆ อยู่กับความผิดและตราบาปแบบนี้ไปให้ตลอด
ปิดอุปกรณ์การทำงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหันไปสวมเสื้อสูทสีดำแล้วเปิดประตูห้องทำงาน เสียงก๊อกแก๊กของประตูทำให้ปีกุนรีบเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงโปร่งก้าวผ่านหน้าเธอไปโดยไม่แยแส
“คุณธามคะ” เธอพยายามเรียกเขา
ร่างอวบอ้วนลุกพรวดพลาดขึ้นแล้วก็ล้มลง “โอ้ย!”
ความเจ็บแปลบวิ่งไปทั่วเบื้องล่าง เพราะนั่งอยู่ท่านั้นตั้งแต่เช้าแน่นอนว่าตะคริวและเหน็บชาต้องเกาะกินเป็นธรรมดา แต่เธอไม่มีเวลาเจ็บปวดกับร่างกายตัวเองแล้ว
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันรีบลุกขึ้นเดินตามหลังเขาไป บริเวณนั้น
มืดมิดหมดแล้วเพราะพนักงานเลิกงานไปตั้งแต่ห้าโมงเย็น
ปีกุนเดินตามมาทันธามวัฒน์ที่ลานจอดรถเธอวิ่งไปดักหน้า แขนอวบกางออกเพื่อไม่ให้เขาเดินหนีได้อีก มันไม่ได้ผลกับคนเย็นชาอย่างเขาชายหนุ่มปัดแขนนั้นออกแล้วเดินกระแทกไหล่เธอผ่านไปเหมือนเดิม
“ที่คุณยกเลิกความช่วยเหลือบ้านเติมรักเป็นเพราะฉันใช่ไหม”
ขายาวชะงักลงแล้วหันกลับไปช้า ๆ สีหน้าและแววตาราวกับเสือหิวเหยื่อที่พร้อมกระโจนเข้าขย้ำแต่ไม่ได้เหยื่อตัวนี้เขาไม่ได้อยากกินแค่อยากฉีกร่างนั้นทิ้งให้อีกามาแร้งทึ้งเสียจริง
“ใช่ ฉันจะทำทุกอย่างให้เธอเจ็บปวดไปจนตาย”
“แต่ฉันขอร้อง อย่าทำแบบนี้เลยเด็ก ๆ พวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
ถ้าเกลียดฉัน โกรธฉันก็มาลงที่ฉัน ขอร้องล่ะ อย่าทำอย่างนั้นกับแม่ครูและเด็ก ๆ เลยนะ”
เธอเดินเข้าไปเกาะแขนอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตา สีหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึกดวงตานั้นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง สะบัดแขนทิ้งแบบไร้เยื่อใย
“ให้ชีวิตเธอกับฉันได้ไหม แลกมันกับอรกมลและลูกหรือไม่...”
ริมฝีปากหนาได้รูปยกยิ้มมุมปากหนึ่งข้าง ใบหน้าหล่อเหล่านั้นดูมี
เสศนัย เอ่ยประโยคชวนตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
“เอาตัวเธอเข้าแลกสิ ฉันถึงจะยอมกลับไปช่วยเหลือบ้านเติมรัก”
ดวงตากลมโตเบิกขึ้นมันไม่ต่างอะไรกับการที่เขาบอกเธอว่าให้เอาร่างกายเข้าแลกเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น ง่าย ๆ เลยคือเขากำลังดูถูกเธออยู่นั้นเอง
ธามวัฒน์เห็นสีหน้าหม่นหมองนั้นแล้วได้แต่แค่นหัวเราะออกมาเพราะเขารู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าเลือกอะไรสักอย่างหรอก ชายหนุ่มหันหลังกลับกำลังจะเปิดประตูรถก้าวเข้าไปนั่งปีกุนรีบคว้าแขนเอาไว้
พื้นที่บริเวณนั้นหมุนเคว้งไปมาเธอพยายามสะบัดหัวไล่ภาพมัวตรงหน้าทว่ามันก็ไม่ได้ผลเมื่อทุกอย่างดับวูบลงเหมือนมีใครเอื้อมมากดปิดปุ่มสวิตซ์ไฟ
“ปีกุน!”
ธามวัฒน์รับร่างอวบเอาไว้ได้ทันก่อนที่ศีรษะจะล้มลงไปฟาดพื้น เขาพยายามเขย่าตัวเธอแรง ๆ เพื่อเรียกสติ ใบหน้าซีดเซียวจนไร้สีเลือด ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของบดินทร์ว่าเธอไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลยทั้งวันก็เลยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้เป็นลมเป็นแล้ง
ในเมื่อเขย่าเรียกแล้วไม่ได้ยินและเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพายัยตัวกลมนี้ไปส่งที่ไหนจึงตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นรถแล้วพากลับคอนโดฯ ด้วยเสียเลย...
พีธีแต่งงานจัดขึ้นใหญ่โตสมเกียรติครอบครัวใหญ่ตระกูลดัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายร้อยคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานของปีกุนและกองทัพนักข่าวนับสิบสำนักปีกุนอยู่ในชุดเจ้าสาวสีมุกสั้นเปิดไหล่ยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกอยู่หน้างาน บรรยากาศภายในงานชื่นมื่นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นโดยมีสักขีพยานรักอย่างเด็กหญิงก่อเกิดวิ่งเล่นไปทั่วงาน“ได้เจอตัวสักทีนะครับ ภรรยาของคุณเพื่อน” ศิลาเอ่ยทักทายเมื่อเดินมาถึงทางเข้างาน ปีกุนมองสลับไปสลับมาระหว่างชายหนุ่มกับสามี“คุณคือ?”“ผมหมอศิลาครับ”“ออ คุณนี่เองที่ตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเพื่อคาดโทษแต่พอเห็นเจ้าตัวสีหน้าซีดก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นค่ะ”“ผมตกใจแทบแย่ ขนาดล้อเล่นยังหน้าดุเลยนะครับ มึงระวังตัวเถอะเตรียมถูกเชือดได้เลย”ศิลาแกล้งยกนิ้วปาดบริเวณลำคอเพื่อข่มขู่เพื่อนแล้วขอตัวเดินเข้างานไปทักทายเพื่อนคนอื่นที่มาร่วมงานนี้เหมือนกันปีกุนเห็นตวิศและแม่ครูรำไพเดินมาแต่ไกล ๆ ก็รีบยกมือขึ้นโบกทักทายด้วยความดีใจ“แม่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คนก็เยอะ รถก็ติดแถมไอ้ตาลยังเกือบไปมีเรื่องกับเขาบนท้องถนนอีก”มาถึงแม่ครูก็เริ่มบ่นตามประสาคนแก่พลางหันไปค้อนตวิศาที่
“คราวนี้ทีกูบ้างล่ะ” มันเยาะเย้ยแล้วชี้ปืนไปหา “อีเด็กนี่เหรอที่กูเอามันไปทิ้ง ตายยากนักนะมึง”“มึงอย่าทำอะไรลูกกูนะ” นภัสเป็นห่วงปีกุนธีธัชเริ่มเห็นตำรวจทยอยเข้ามาจึงรู้ตัวแล้วว่าคงไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องลักพาตัว ฆ่าคนอื่นหรือแม้จะเป็นเรื่องยักยอกเงินบริษัท“ในเมื่อกูไม่รอด ก็ขอเอาลูกมึงไปด้วยเพื่อให้มึงอยู่กับความตรอมใจเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”ธีธัชหันปลายกระบอกปืนไปยังปีกุนแล้วกดไกปืน นภัสร้องเสียงหลง“อย่า!”ธามวัฒน์ดึงร่างอวบมากอดเอาไว้แล้วหันตัวเองไปรับกระสุนนั้นแทน ร่างสูงสะดุ้งเฮือก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดตำรวจวิสามัญธีธัชจนเสียชีวิตทันที“กรี๊ดดดด คุณธาม”ธามวัฒน์รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่ เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นโชคดีที่ปีกุนเอาแขนรองศีรษะเอาไว้ทัน“กุน คุณเป็นอะไรไหม...” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“ฉัน...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอส่ายหน้ารัว สติเริ่มไม่มีเมื่อเห็นว่าเขารับกระสุนแทนตนเอง นภัสเองก็ทำตัวไม่ถูกได้แต่ตะโกนให้คนเรียกรถพยาบาล“กุนครับ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวรถโรงพยาบาลก็มา”ยกมือเปื้อนเลือดอีกข้างลูบแก้มเธอเพื่อเร
นภัสแทบไม่อยากกลับจากบ้านหลังนั้นเลยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นาน แต่เพราะธีธัชตามกลับไปเซ็นเอกสารด่วนที่บ้านเธอจึงจำใจต้องไปและคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเองด้วยเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดตัวบ้านขณะก้าวเท้าลงจากรถเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิแคชันดังขึ้น มือล้วงกระเป๋าหยิบออกมาดูใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ไม่ได้โวยวายอะไร“สมชาย”“ครับ คุณหญิง”“แกอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ฉันเจอลูกสาวแล้วนะ”“แม้แต่คุณธีธัชก็ไม่ให้ผมบอกเหรอครับ”“ใช่ คนนี้ยิ่งให้รู้ไม่ได้” ดวงตาทอประกายกล้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นภัสไม่รู้เลยว่าธีธัชเดินมาได้ยินทุกอย่างความกลัวเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคืบคลานเข้ามาในจิตใจ“กลับมาแล้วค่ะ”ปรับน้ำเสียงให้หวานขึ้นแล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ธีธัชรู้ดีถึงความเสแสร้งนั้นแต่ก็เล่นตามน้ำไปก่อน“คุณมีเอกสารอะไรให้ฉันเซ็นเหรอคะ”ชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาเอกสารที่ดัดแปลงการเงินออกมาให้นภัสดูบอกว่าเป็นเรื่องด่วนเขาจะได้เอาไปให้ฝ่ายการเงินและเร่งดำเนินการโครงการขยายสาขาร้านอาหารต่อนภัสรับแฟ้มนั้นมาไล่สายตาดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้
วันนี้พยากรณ์อากาศแจ้งว่าอากาศจะร้อนพุ่งขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสปีกุนก็ไม่คิดว่ามันจะร้อนได้มากมายขนาดนี้ เสื้อแขนสั้นถลกขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่“คุณป้าร้อนไหมคะ”“นิดหน่อยจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกุนไปเอาพัดลมตั้งโต๊ะมาเปิดให้” กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหันมาอีกทีร่างอวบเดินไว ๆ ออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพัดลมตัวใหญ่ปีกุนจัดแจงเสียบปลั๊กเรียบร้อยก้มลงกดเปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย จังหวะเงยตัวขึ้นนภัสหันไปมอง ฉับพลันดวงตาก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นสร้อยบนคอของปีกุนมีดสับมะละกอวางลงถาดแล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันที“สร้อย” มือสั่นเทาชี้ไปยังจี้สร้อยซึ่งเป็นรูปหงส์คู่“สร้อยของกุนทำไมเหรอคะ” ปีกุนจับไปยังสร้อยคอตัวเองแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ“ป้าขอดูใกล้ ๆ ได้ไหม” ปีกุนถอดสร้อยคอยื่นให้ไม่ผิดเลยสร้อยคอหงส์คู่มีเส้นเดียวในโลกเธอสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อสวมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เงยหน้ามองดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ“คุณป้าร้องไห้ทำไมเหรอคะ” นภัสไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกถามกลับเสียงสั่น“หนูกุนไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหนเหรอ”“แม่ครูบอกว่ามันเป็นสร้อยติดตั
รุ่งสางของวันใหม่ปีกุนย่องเบาออกมาจากห้องของธามวัฒน์เพราะกลัวว่าคนในบ้านจะมาเห็น เธอปิดประตูแผ่วเบาพอหันหลังกลับต้องตกใจสุดขีด“คุณป้า”ธมนต์ยืนกอดอกมองรอยยิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกินงามที่จับได้ว่าเธอเข้าไปนอนในห้องลูกชายท่าน ปกติท่านตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาแจ็คพ๊อตเจอกันหน้าห้อง“คือว่าเมื่อคืนคุณธามมีไข้ หนูก็เลยอยู่เฝ้า...”ปีกุนแก้ตัวเป็นพัลวันธมนต์ส่ายหน้าไปมากำลังจะก้าวเท้าเดินแต่หยุดลงแล้วหันไปหาปีกุนอีกครั้ง“เลิกเรียกฉันว่าคุณป้าสักที ฉันอนุญาตให้เธอเรียกแม่ได้”“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช้อนตาขึ้นมองหญิงสูงวัย“ไหน ๆ เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะไปเลยก็แล้วกัน” ว่าจบธมนต์ก็เดินจากไปปล่อยให้หญิงสาวอ้าปากค้างได้แต่ร้องตะโกนตามหลัง“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”คุณธาม นะ คุณธาม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนได้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา เดินตรงไปยังห้องลูกสาว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงคนป่วยหนักเมื่อคืนก็ตามยังห้องลูกสาวแถมยังแสดงความรักต่อหน้าอีกต่างหาก“หยุดค่ะ อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าลูกสิคะ” แกะมือออกจากอ้อมแขนเด็กน้อยยืนมองพ่อกับแม่ตาปริบ ๆ สลับไปมา“มามี้ขา อะไ
ใบหน้าอวบก้มลงไปใกล้เขามากขึ้นไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมานั่งจ้องหน้าเขาอย่างนี้ นิ้วมือป้อมเขี่ยปลายเส้นผม “ฝันดีนะคะ”คนถูกบอกฝันดีลืมตาโพลงขึ้นมาทำเอาร่างอวบผงะแต่มือหนาคว้าเอาไว้และออกแรงดึงเธอให้มานอนอยู่ในอ้อมกอดเขาได้อย่างง่ายดาย“คุณธาม! คุณไม่ได้หลับเหรอคะ” ขืนตัวออกจากวงแขนแต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น “ปล่อยค่ะฉันหายใจไม่ออก”“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยคุณก็หนีกลับห้องสิ”“คุณป่วยจริงหรือเปล่าคะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย” ดิ้นคลุกคลักไปมา ธามวัฒน์กระชับวงแขนมากขึ้น“ถ้าไม่ป่วยจริงตัวจะร้อนเหรอ จนคุณต้องมาแก้ผ้าผมเช็ดตัวให้หรือไง”“พูดจาน่าเกลียด ฉันแค่ถอดเสื้อให้คุณเท่านั้นค่ะ”“แต่ผมอยากให้คุณถอดทั้งบน ทั้งล่าง” ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาใกล้พลางก้มลงดมหัวไหล่ ปีกุนหยุดดิ้นเอียงหน้ามองเขาดวงตาดุดันและแข็งกร้าวเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้วมันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้“ขอโทษ” เสียงยานคางเอื่อย ๆ ข้างหู เขาขอโทษเธออีกแล้ว“คุณขอโทษกุนอีกแล้วนะคะ”“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ ผมทำเรื่องทุกอย่างเลวร้ายกับคุณเพราะความแค้นจนคุณเกือบ...”เขาเว้นวรรคไม่พูดต่อแต่เลือกใช้นิ้ว