บทที่ 25
กำจัดโจร
ภายในกระโจมบัญชาการกลางค่ายทัพ ธงประจำเมืองถู่หยางปักอยู่เหนือศีรษะ ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างสลัว เหล่าแม่ทัพนายกองกว่าสิบชีวิตนั่งล้อมวงรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ซึ่งปูด้วยแผนที่ผืนใหญ่ที่แสดงแนวเขาและเส้นทางรอบบริเวณซ่อนตัวของพวกโจรภูเขาอย่างชัดเจน
ท่านเจ้าเมืองเซียวป๋อเหวินผู้มีรูปลักษณ์สง่างามในชุดเกราะสีเข้มประดับลวดลายเมฆายกมือขึ้นเรียกความสงบ "พวกเราต้องหาทางกำจัดพวกโจรโดยไม่ให้เสียเปรียบ นำกองทัพบุกโจมตีตรงๆ ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี"
แม่ทัพหวังเจี้ยนผู้ช่ำชองด้านการรบในพื้นที่ป่าเขากล่าวขึ้น "ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้อง ที่ซ่อนของพวกมันมีทั้งถ้ำลึกและหุบเขาคดเคี้ยว หากเราบุกเข้าไป โอกาสเสียเปรียบสูงมาก ทั้งยังมีกับดักซ่อนอยู่ทุกแห่งหน"
"พวกมันรู้พื้นที่ดีกว่าเรา อีกทั้งสามารถกระจายตัวซ่อนตามซอกหินและป่าได้ง่าย หากเราบุกเข้าไป ผลลัพธ์อาจกลายเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง" รองแม่ทัพหลี่ซงหยูเสริม
"ดังนั้นเราต้องใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ ข้าคิดว่าหากพวกมันถูกบีบบังคับให้ต้องออกมาสู้ในที่แจ้ง โอกาสของเราจะมีมากกว่า" เซียวป๋อเหวินพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
รองแม่ทัพเฉินไห่กล่าวพร้อมชี้ลงบนแผนที่ "ข้ามีความคิดหนึ่ง พวกโจรคงต้องการเสบียง หากเราทำทีว่าเป็นเพียงทหารที่ขนย้ายเสบียงมาทางทิศเหนือโดยให้หน่วยหนึ่งแสร้งทำเป็นขบวนเสบียงเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย พวกมันย่อมต้องส่งคนออกมาโจมตี"
"ความคิดนี้ใช้ได้ แต่เราต้องวางกับดักซ้อนอีกชั้น หากพวกมันถูกล่อออกมาเราจะสั่งให้กองกำลังที่ซุ่มอยู่ทางทิศตะวันตกบุกเข้าตีด้านหลัง ขณะเดียวกันกองหน้าเราจะล้อมโจมตีจากทั้งสองข้าง พวกท่านคิดว่าอย่างไร"
รองแม่ทัพหลี่ซงหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "ข้าเห็นด้วย หากเราจัดวางกำลังในลักษณะนี้ความได้เปรียบจะตกอยู่ที่เราแน่นอน"
"แต่ท่านเจ้าเมือง หากพวกโจรส่งหน่วยลาดตระเวนออกมาก่อนพวกมันอาจล่วงรู้แผนของเราได้" นายกองพลธนูเจิ้งฟางที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น
เซียวเหวินหยางยิ้มบาง ๆ "ข้าคิดถึงเรื่องนั้นเอาไว้แล้ว เราจะใช้หน่วยนักรบล่องหนของแม่ทัพหวังคอยสังเกตการณ์และกำจัดพวกที่ออกมาลาดตระเวนให้หมดก่อนลงมือ"
เหล่าแม่ทัพนายกองพยักหน้าเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ เซียวป๋อเหวินกล่าวต่อ "ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องกันแล้ว พรุ่งนี้รุ่งสางพวกเราจะเริ่มดำเนินตามแผน ทุกคนจงเตรียมกำลังพลให้พร้อม และอย่าลืมเราต้องหลอกล่อศัตรูออกมาให้ได้มากที่สุดก่อนถึงเวลาลงมือจริง ข้าเชื่อว่าพวกเราจะต้องทำได้อย่างแน่นอน"
ทุกคนประสานมือคารวะ "รับทราบคำสั่ง!"
เสียงตอบรับหนักแน่นดังก้องไปทั่วกระโจมบัญชาการ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมการตามคำสั่งของท่านเจ้าเมือง
เช้าวันต่อมาดวงอาทิตย์ยังมีทันได้โผล่พ้นขอบฟ้าเสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วท้องทุ่ง ราวกับสรรพเสียงแห่งความตายกำลังโหมกระหน่ำ กองทัพของเซียวป๋อเหวินตั้งขบวนอย่างเป็นระเบียบ โล่และหอกเรียงตัวแน่นหนา ขณะที่สายธนูถูกง้างพร้อมยิง เสียงกีบม้ากระทบพื้นดินดังสั่นสะเทือนดั่งเสียงเต้นของหัวใจนักรบที่เตรียมพร้อมสละชีพเพื่อบ้านเมือง
อีกฟากหนึ่งของสนามรบ กองโจรภูเขาจำนวนหนึ่งนำโดยหลิวเหยี่ยนต่างตะโกนกู่ก้อง ล้อมวงเตรียมพร้อมต่อกร ความมืดครึ้มจากควันไฟและฝุ่นดินบดบังท้องฟ้า กลิ่นคาวเลือดโชยมาตามสายลม เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องกังวาน สะกดใจทุกคนในสนาม
“คิดว่าสู้กันซึ่งหน้าเช่นนี้แล้วพวกเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือ คิดว่าหลอกล่อพวกข้าให้ออกมาจากที่ซ่อนได้แล้วจะได้เปรียบ เจ้าคิดผิดแล้วเจ้าเมืองอ่อนหัด” หลิวเหยี่ยนตะโกนก้องมาจากฝั่งตรงข้าม
“แต่ข้าก็ล่อพวกเจ้าออกมาได้ก็แล้วกัน ชัยภูมิเช่นนี้พวกเจ้าไม่มีทางหนีรอดออกไปได้หรอก” เซียวป๋อเหวินตะโกนกลับไปเช่นกัน
“พวกข้าหาได้หลงกลคนอย่างเจ้าไม่ ที่ออกมานี่ก็เพียงเพื่อจะมาวัดฝีมือกับไก่อ่อนอย่างเจ้าก็เท่านั้น เจ้าเมืองที่เพิ่งเกิดเมื่อวานอย่างเจ้าจะรู้ทันพวกข้าได้อย่างไร ข้ายังจำวันที่เจ้าได้รับบาดเจ็บโดนหามกลับเมืองถู่หยางได้อยู่เลย ฮ่า ๆ ๆ” หลิวเหยี่ยนยังคงเยาะเย้ยต่อ มันถ่มน้ำลงพื้นคราหนึ่งเป็นการดูถูก
“ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู หากว่าเจ้ามั่นใจนักก็เข้ามาเลย” เซียวป๋อเหวินพูด จากนั้นก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารของตัวเองเตรียมบุก
“บุก!” เสียงคำสั่งจากเซียวป๋อเหวินดังกังวาน เขายกดาบชี้นำหน้า พลทหารแห่แหนตามพร้อมเปล่งเสียงคำรามสะท้าน กองทัพแยกออกเป็นสองแนว บางส่วนเคลื่อนเข้าโจมตีทางปีกขวาส่วนอีกส่วนตั้งแนวป้องกันอย่างแข็งแกร่ง เสียงลูกธนูแหวกอากาศทะลุผ่านหมอกฝุ่นเสียบเข้าที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ กองกำลังฝ่ายโจรล้มลงทีละคนแต่ก็ยังไม่ยอมถอย
หลิวเหยี่ยนเองก็มิได้หวั่นเกรง มันใช้กระบองเหล็กอันใหญ่บังคับม้าออกนำหน้า “พวกเรา! ฆ่าให้หมด อย่าให้พวกมันรอดไปได้”
คำสั่งนั้นทำให้เหล่าโจรฮึกเหิม พวกมันถือขวานและดาบยาวบุกตะลุยเข้าปะทะเต็มกำลัง เปลวเพลิงจากคบไฟส่องสะท้อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดัน
เสียงม้าร้องโหยหวนเมื่อถูกแทงด้วยหอกยาวของฝ่ายทหาร แสงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยควันไฟทำให้สนามรบยิ่งดูมืดสลัว เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดปะปนกับเสียงเหล็กกระทบกันดังกึกก้อง โลหิตไหลนองพื้น หยาดเลือดซึมผ่านดินแห้งกลายเป็นโคลนเลือดอันน่าสยดสยอง
เซียวป๋อเหวินตวัดดาบของตนอย่างแคล่วคล่อง ดาบของเขาเฉือนศัตรูได้หลายคน ก่อนสายตาจะจับจ้องไปยังหลิวเหยี่ยนที่อยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าเปื้อนเลือดของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“หลิวเหยี่ยน! มาสู้กันซึ่งๆ หน้าเถอะ” เขาตะโกนท้าทาย เสียงนั้นสะท้อนก้องราวกับเป็นการท้าทายของเทพสงคราม
หลิวเหยี่ยนแค่นหัวเราะ มือกระชับกระบองเหล็กแน่น “คิดว่าข้ากลัวรึอย่างไร เจ้าจะได้รู้ถึงฝีมือข้าก็วันนี้แหละ”
มันเร่งม้าเข้าประชิดพร้อมเหวี่ยงกระบองฟาดใส่เซียวป๋อเหวิน
เซียวป๋อเหวินยกดาบขึ้นรับไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นสะท้อนออกไปไกล ทั้งคู่แลกอาวุธใส่กันไม่หยุดหย่อน การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับพายุคลั่ง คมดาบและกระบองเฉียดผ่านใบหน้าของกันและกันอย่างเฉียดฉิว
“เจ้าเด็กอ่อนแอ” หลิวเหยี่ยนตะโกนพลางเหวี่ยงกระบองฟาดไปยังไหล่ของเซียวป๋อเหวิน แต่เขาหลบได้อย่างเฉียดฉิวและตอบโต้ด้วยการฟันดาบตัดเข้าที่สีข้างของหลิวเหยี่ยน เลือดพุ่งกระเซ็น มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแต่กลับกัดฟันสู้ต่ออย่างไม่ยอมแพ้
ในขณะที่การต่อสู้ระหว่างผู้นำทั้งสองยังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองทหารเมืองถู่หยางก็เริ่มได้เปรียบ ด้วยระเบียบวินัยและยุทธวิธีที่รัดกุม เหล่าทหารเคลื่อนไหวประสานกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ปัดป้องและโจมตีสวนกลับได้อย่างแข็งแกร่ง ต่างจากฝ่ายโจรที่เริ่มแตกขบวน
“ถอย! ถอยกลับไปตั้งหลัก” หลิวเหยี่ยนตะโกนสั่งการอย่างตื่นตระหนก ขณะที่เซียวป๋อเหวินฉวยโอกาสนั้นบุกประชิดตัว เขาฟันดาบตัดเข้าที่ท้องของหลิวเหยี่ยน เลือดทะลักออกมาเต็มท้อง มันทรุดตกจากหลังม้ามองเซียวป๋อเหวินด้วยสายตาแข็งกร้าว
เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปแทงอีกหนึ่งดาบ
“นี่คือจุดจบของเจ้าแล้วหลิวเหยี่ยน” เซียวป๋อเหวินประกาศก้อง กองโจรที่เหลือเมื่อเห็นหัวหน้าล้มลงก็พากันโยนอาวุธยอมแพ้โดยสิ้นเชิง เสียงกลองศึกเงียบลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจของผู้รอดชีวิตและเสียงคร่ำครวญแห่งความพ่ายแพ้
“จะ...เจ้า...” ไม่ทันได้พูดหลิวเหยี่ยนก็สิ้นใจไปเสียก่อน
เมื่อความเงียบปกคลุมสนามรบเซียวป๋อเหวินกวาดตามองร่างของทหารและโจรที่ล้มตายทั่วสนาม ก่อนจะหันกลับมามองท้องฟ้าซึ่งครึ้มไปด้วยกลุ่มเมฆสีเทา สงครามครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว ชาวเมืองถู่หยางและเมืองใกล้เคียงก็จะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเสียที
บทที่ 30 วุ่นอยู่กับการทำศึกแต่ในใจก็คิดถึงเช่นกัน อีกด้านเซียวป๋อเหวินตอนนี้กำลังทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือบริเวณแม่น้ำฉางเป่ย การต่อสู้ครั้งนี้ใช้กองทัพเรือ เป็นการต่อสู้กับชนเผ่าเฮยจั้งที่พยายามจะตีเอาดินแดนเหนือของแคว้นรวมทั้งเมืองเสวี่ยคังด้วย เดิมทีชนเผ่าเฮยจั้งอยู่เหนือขึ้นไปหลายพันลี้ทว่าด้วยภัยความหนาวทำให้อากาศแห้งแล้ง ปลูกพืชผลก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ เลยทำให้พวกเขาต้องอพยพลงใต้มาตายเอาดาบหน้า หวังว่าจะมีที่ดินทำกินให้คนในเผ่าได้มีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ชนเผ่าก็จริงทว่าชาวเฮยยจั้งนั้นรวม ๆ แล้วก็มีไม่ต่ำกว่าแสนคน ที่เป็นทหารได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็น่าจะราว ๆ สามหมื่น พื้นฐานของพวกเขาเป็นคนที่มีร่างกายที่ทรหดอดทนมาก ทั้งยังสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานาน ทำให้ศึกครั้งนี้เซียวป๋อเหวินรับมือยากอยู่เล็กน้อย “ลูกธนู
บทที่ 29 และแล้วก็ต้องจากกัน ขบวนของท่านเจ้าเมืองเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไปแล้วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีและน้อมส่งท่านเจ้าเมืองไปยังเมืองเสวี่ยคัง ขบวนนั้นยาวเหยียดเต็มไปด้วยทหารที่มาจากมืองเสวี่ยคังและทหารบางส่วนที่ติดตามท่านเจ้าเมืองไปด้วย ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ชาวเมืองทั้งดีใจและรู้สึกเศร้าใจในเวลาเดียวกัน “พวกเราจะคิดถึงท่านเจ้าเมือง” “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ลืมพวกเรานะขอรับ ส่วนพวกเราจะไม่มาทางลืมท่านอย่างแน่นอน” “น้อมส่งท่านเจ้าเมือง” “ขอให้ท่านเจ้าเมืองโชคดีขอรับ” เสียงของชาวเมืองยังคงกล่า
บทที่ 28 เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เมื่อได้ยินข่าวว่าเซียวป่อเหวินได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังฟางหนิงฮวาก็ทั้งดีและเศร้าใจ การที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างครั้งนี้เข้าได้เป็นถึงแม่ทัพรับรองว่าอนาคตของเขาจะต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่ แต่เพราะเมืองเสวี่ยคังอยู่ไกล จะไปมาหาสู่กันก็ลำบาก จะพบหน้ากันเช่นทุกวันนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก “หนิงฮวา เจ้าเองก็อยากให้เขาเจริญก้าวหน้ามิใช่หรือ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมกัน” ต้าเป่าเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ที่จริงข้าก็ยินดีกับเขานั่นแหละ แต่ถ้าเขาไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังข้าก็คงจะไม่ได้พบกับเขาอีก” ฟางหนิงฮวาพูดออกมาอย่างเศร้าใจ “ต่อให้ไม่ได้พบกันก็เขียนจดหมา
บทที่ 27 ข้าว่าจะเปิดร้านอาหาร ท่านว่าดีหรือไม่ ฟางหนิงฮวาเอาซาลาเปามาส่งทุกวัน ทุกครั้งทั้งสองก็จะพูดคุยกันและสนิทกันมากขึ้น สำหรับเซียวป๋อเหวินนอกจากหมอหลิวแล้วก็แทบจะไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยยกันเรื่องทั่วไปได้เลย ส่วนมากก็จะพูดแต่เรื่องที่เป็นทางการกับองครักษ์แล้วก็ทหารเท่านั้น แต่กับฟางหนิงฮวาเขากลับรู้สึกว่าทั้งเขาและนางมีอะไรที่คล้าย ๆ กัน ทั้งความคิดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ จึงได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาเองเมื่อได้พูดคุยกับเซียวป๋อเหวินก็เหมือนกับได้พูดคุยกับหยางจื้อเจ๋อ จึงมีความสุขทุกครั้ง “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะมาถามความเห็นจากท่าน” ฟางหนิงฮวาพูดขณะที่เอากล่องใส่ซาลาเปาวางลงบนโต๊ะอาหารของเซียวป๋อเหวิน “อะไรหรือ น่าสนใจหรือไม่&
บทที่ 26 กลับมาพร้อมชัยชนะ ขบวนทัพเดินผ่านเข้าประตูเมืองมาด้วยความสง่าผ่าเผย เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เหล่าราษฎรมายืนเรียงแถวรอต้อนรับท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาเต็มสองข้างทาง พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยวีระบุรุษผู้ปกป้องรักษาบ้านเมืองเอาไว้ รอที่จะกล่าวขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ เซียวป๋อเหวินขี้ม้าสีดำคู่กายเข้ามาในประตูเมืองตามด้วยทหารองรักษ์คนสนิทและเหล่าแม่ทัพนายกองอีกหลายคน เขาโบกมือและยิ้มทักทายให้กับทุกคนพร้อมประกาศชัยชนะในครั้งนี้ “ชาวเมืองถู่หยางทุกคน บัดนี้พวกโจรภูเขาทั้งหลายได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลังจากนี้ต่อไปเมืองถู่หยางของพวกเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อย่าได้เป็นกังวล” “
บทที่ 25 กำจัดโจร ภายในกระโจมบัญชาการกลางค่ายทัพ ธงประจำเมืองถู่หยางปักอยู่เหนือศีรษะ ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างสลัว เหล่าแม่ทัพนายกองกว่าสิบชีวิตนั่งล้อมวงรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ซึ่งปูด้วยแผนที่ผืนใหญ่ที่แสดงแนวเขาและเส้นทางรอบบริเวณซ่อนตัวของพวกโจรภูเขาอย่างชัดเจนท่านเจ้าเมืองเซียวป๋อเหวินผู้มีรูปลักษณ์สง่างามในชุดเกราะสีเข้มประดับลวดลายเมฆายกมือขึ้นเรียกความสงบ "พวกเราต้องหาทางกำจัดพวกโจรโดยไม่ให้เสียเปรียบ นำกองทัพบุกโจมตีตรงๆ ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี"แม่ทัพหวังเจี้ยนผู้ช่ำชองด้านการรบในพื้นที่ป่าเขากล่าวขึ้น "ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้อง ที่ซ่อนของพวกมันมีทั้งถ้ำลึกและหุบเขาคดเคี้ยว หากเราบุกเข้าไป โอกาสเสียเปรียบสูงมาก ทั้งยังมีกับดักซ่อนอยู่ทุกแห่งหน""พวกมันรู้พื้นที่ดีกว่าเรา อีกทั้งสามารถกระจายตัวซ่อนตามซอกหินและป่าได้ง่าย หากเราบุกเข้าไป ผลลัพธ์อาจกลายเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง" รองแม่ทัพหลี่ซงหยูเสริม"ดังน