บทที่ 24
ขายดิบ ขายดี ซาลาเปาที่นี่เลิศที่สุด
เพียงไม่ถึงครึ่งวันซาลาเปารูปแบบต่าง ๆ ก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสามต่างรอชิมกันอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อชิมแล้วต่างก็ต้องยกนิ้วให้กับฝีมือของฟางหนิงฮวา ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการทำซาลาเปารสชาติใหม่ ๆ เป็นครั้งแรกแต่ว่านางก็ทำออกมาได้ดีไม่น้อย ทั้งรูปร่างน่าตาก็น่ากินเอามาก ๆ
“มาเร็ว กำลังร้อน ๆ เลย” ฟางหนิงฮวาวางจานซาลาเปาลงต่อหน้าต้าเป่ากับเสี่ยวเจียง
ในจานมีทั้งซาลาไส้ถั่วดำ ซาลาเปาไส้ถั่งเหลืองผสมดอกไม้กลิ่นหอม และที่สำคัญที่สุดก็คือซาลาเปาไส้ปลาเค็มตามคำเสนอแนะของต้าเป่า
ต้าเป่าหยิบซาลาเปาไส้ปลาเค็มขึ้นมาก่อนเป็นสิ่งแรกเพราะอยากรู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร
“อืม...อร่อยดีเหมือนกันนะ” ต้าเป่าเอ่ยชม ด้วยความอร่อยนั้นทำให้เขากินมันอย่างต่อเนื่องจนหมดภายในเวลาอันรวเร็ว
จากนั้นทุกคนก็พากันชิมซาลาเปาไส้ปลาเค็มตามต้าเป่าบ้าง ปรากฏว่าทุกคนต่างก็ชอบ ส่วนไส้อื่น ๆ ก็รสชาติดีไม่แพ้กัน
“พวกเจ้าคิดว่าข้าทำขายพรุ่งนี้เลยดีไหม” ฟางหนิงฮวาถาม
“ดี เจ้าลองเลย” เสี่ยวเจียงสนับสนุน
ต้าเป่าเหมือนกับจะนึกอะไรออกอย่างหนึ่งเขารีบเสนอความคิดของตัวเองทันที “เจ้าลองเขียนป้ายหน้าร้านดูไหมว่ามีซาลาเปาไส้อะไรขายบ้าง ลูกค้าจะได้รู้ เพราะไม่อยากนั้นลูกค้าก็จะเข้าใจว่าร้านของเจ้ามีเพียงแบบเดียว”
“อืม ความคิดของเจ้าเข้าท่ามา อีกอย่างนะข้าคิดว่าจะทำโปรโมชั่นด้วย” ฟางหนิงฮวาพูด
“อะไรชัน ๆ นะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ต้าเป่าขมวดคิ้วอย่างุนงง
“อ้อ...เป็นการทำข้อเสนอดี ๆ ให้ลูกค้าน่ะ อยากเช่นให้พวกเขาลองชิมกันถ้าหากว่าชอบก็ค่อยซื้อ หรือไม่ก็ซื้อสิบลูกแถมหนึ่งลูก ประมาณนี้” ฟางหนิงฮวารีบอิบายทันที เมื่อสักครู่เผลอพูดออกไปก็กลัวว่าจะทำให้สหายทั้งสองเข้าใจผิด
“อ้อ” ต้าเป่ากับเสี่ยวเจียงพยักหน้า
วันต่อมาฟางหนิงฮวาก็เปิดฉากขายซาลาเปารสชาติใหม่ ปรากฏว่าผลตอบรับนั้นดีเกินคาดโดยเฉพาะกับซาลาเปาไส้ปลาเค็ม บางคนที่ได้ยินเรื่องนี้มาพอสมควรก็อยากจะลองกินดูบ้างว่าซาลาเปาไส้ปลาเค็มตำหรับชาววังนั้นอร่อยสมดังคำร่ำลือหรือไม่
ผ่านไปเกือบเดือนที่เซียวป๋อเหวินไปออกศึก ระหว่างนั้นซาลาเปาของฟางหนิงฮวาก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเมืองถู่หยาง ตอนนี้ไม่ว่างานเลี้ยง งานแต่ง งานมงคลอะไรก็ตามทุกบ้านจะสั่งซาลาเปาจากนางเสมอ จนตอนนี้ร้านสกุลฟางโด่งดังไปทั่ว
“หนิงฮวา พรุ่งนี้ที่บ้านของข้าจะมีงานเลี้ยงรวมญาติของตระกูล ข้าสั่งซาลาเปาหน่อยสิ” ฮูหยินเจียงลูกค้าประจำเดินเข้ามาสั่งของชุดใหญ่
จวนเจียงเป็นบ้านคหบดีที่ร่ำรวยบ้านหนึ่งซึ่งมีการจัดงานเลี้ยงเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงรวมญาติ งานเลี้ยงต้อนรับลูกค้า งานเลี้ยงชุมนุมเหล่าคหบดี งานเลี้ยงสหายของบุตรชาย ทั้งครั้งล้วนมาสั่งซาลาเปากับร้านสกุลฟางทั้งหมด แต่ละครั้งก็สั่งเยอะทีละเป็นร้อย ๆ ลูก
“ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินจะสั่งแบบไหนบ้างเจ้าคะ” ฟางหนิงฮวายืนถือพู่กันกับกระดาษเตรียมพร้อมจด
ฮูหยินสกุลเจียงทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อไล่นับจำนวนญาติที่มารวมตัวในครั้งนี้ นับไปนับมาก็ได้ราว ๆ เกือบร้อยคน ทำเอาฟางหนิงฮวาถึงกับตกใจไม่คิดว่าตระกูลเจียงจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
“ข้าเอาไส้หมูสับกับไส้ปลาเค็มอย่างละห้าสิบลูก แล้วก็พวกไส้ที่เป็นของหวานรวม ๆ กันอีกห้าสิบลูกก็แล้วกัน” ฮูหยินสกุลเจียงบอก
“จะให้ข้าเอาไปส่งหรือว่าจะให้คนมารับดีเจ้าคะ” ฟางหนิงฮวาถาม
“เดี๋ยวข้าให้คนมารับเหมือนเดิมนั่นแหละ ให้เจ้าไปส่งกว่าจะขนเสร็จเจ้าคงต้องเดินหลายรอบ” นางพูดพลางหัวเราะ ฟางหนิงฮวาเองก็หัวเราะตามด้วย
ฟางหนิงฮวาคำนวณเงินเสร็จสรรพจากนั้นก็บอกกับนาง “ทั้งหมดเป็นห้าตำลึงเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าให้หมั่นโถวเพิ่มไปอีกยี่สิบลูก ไม่คิดเงิน”
“หนิงฮวานี่ใจดีตลอด จะไม่ให้ลูกค้าติดได้อย่างไร” ฮูหยินสกุลเจียงพูดยิ้ม ๆ พลางควักเงินออกจากถุงผ้ามอบให้ฟางหนิงฮวาเป็นจำนวนห้าตำลึงพอดิบพอดี
“พรุ่งนี้ตอนเช้ามารับได้เลยนะเจ้าคะ” ฟางหนิงฮวาบอก
จำนวนคำสั่งซื้อที่มากมายถึงเพียงนี้ไม่งานเล็กเลยสำหรับพวกเขา อีกอย่างก็ไม่ได้มีแค่จวนเจียงเท่านั้นที่มาสั่ง ยังมีของบ้านอื่น ๆ ที่สั่งกันทุกวันอีกด้วย ก่อนหน้านี่ที่ฟางหนิงฮวาต้องไปส่งซาลาเปาเพียงแค่สามที่มาบัดนี้มีเป็นสิบกว่าที่แล้ว ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้คือการรับสมัครคนงานมาช่วยทำซาลาเปาเพิ่ม
“ท่านพ่อได้ข่าวจากท่านอาหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด” ฟางหนิงฮวาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเนื่องจากวันนี้มีคำสั่งซื้อเข้ามามากเป็นพิเศษ
“พ่อเพิ่งได้รับจดหมายจากอาของเจ้าว่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ ตอนนี้อาสะใภ้ของเจ้าหายดีแล้ว” ฟางตวนตอบ
ฟางหนิงฮวาพยักหน้า “อืม...ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน พวกเรารับคนเพิ่มอีกแค่หนึ่งคนท่านพ่อกับท่านแม่ว่าเพียงพอหรือไม่ หน้าที่การส่งซาลาเปาในตอนเช้าข้าจะเป็นคนไปส่งเช่นเดิม ส่วนท่านอากับคนงานอีกคนก็ช่วยท่านแม่ทำ ส่วนท่านพ่อก็ทำหน้าที่ขาย ข้าว่าเช่นนี้ลงตัวพอดี”
“แม่ก็เห็นด้วยกับเจ้า อย่างนั้นก็ประกาศรับคน เลยก็แล้วกัน” นิ่งหรงสนับสนุน
ฟางตวนเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ประกาศรับคนได้ไม่นานก็มีคนมาสมัครมากมาย สุดท้ายแล้วก็คัดเลือกได้เด็กสาวคนหนึ่งที่มีความขยันขันแข็งและบุคลิกสดใสร่าเริงเข้ามาทำงาน นางชื่อเหลียวชิงชิงเป็นหญิงสาวที่มาจากหมู่บ้านนอกเมือง เดิมทีนางเป็นลูกมือในโรงย้อมผ้าแต่ว่าที่โรงย้อมผ้ามีงานไม่มากนัก รายได้ไม่ค่อยพอ หนำซ้ำยังมีแววว่าจะปลดคนงานออกอีก ดังนั้นจึงมาสมัครงานที่ร้านสกุลฟางแทน
เมื่อมีคนมาช่วยแล้วฟางหนิงก็ผุดความคิดขึ้นมาว่านอกจากจะขายซาลาเปากับหมั่นโถวสู้ทำเป็นร้านขายติ่มซำไปเลยย่อมดีกว่า ได้ยินคำว่าทำร้านติ่มซำแล้วบิดามารดารวมทั้งชิงชิงก็งุนงงเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าติ่มซำคืออะไร
“ติ่มซำก็คือร้านที่มีอาหารนึ่งหลากหลายอย่างรวมกัน ทั้งซาลาเปา หมั่นโถว ขนมจีบ ฮะเก๋า เกี๊ยว ผักกาดขาวห่อมหมูสับ ตีนไก่ตุ๋นเต้าซี่ และอย่างอื่นอีกมากมาย รายการอาหารบางอย่างพวกท่านอาจจะยังไม่รู้แต่ข้าจะทำออกมาให้ลองชิมดูก่อน” ฟางหนิงฮวาอธิบาย
“อืม เจ้ามั่นใจว่าติ่มซำอะไรนั่นของเจ้ามันจะขายได้หรือ” ฟางตวนยังคงไม่มั่นใจ
“รับรองว่าต้องขายได้แน่นอนเจ้าค่ะ ติ่มซำเป็นอาหารที่กินง่ายทั้งง่ายรสชาติดี กินได้เรื่อย ๆ เหมาะกับการซื้อไปกินที่บ้านหรือจัดงานเป็นอย่างยิ่ง ข้ารับรองเลยว่าจะไม่ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ผิดหวัง” ฟางหนิงฮวาพูดดด้วยความมั่นใจ
หญิงสาวใช้กลยุทธ์เดิมนั่นก็คือทำอาการออกมาให้ลูกค้าทดลองชิมก่อน หากว่าพวกเขาชอบแล้วก็ค่อยซื้อ ผลประกฎว่าชาวเมืองต่างก็ชื่นชอบติ่มซำของนางเป็นอย่างมาก มาต่อแถวซื้อกันตลอดทั้งวัน เนื่องจากเป็นอาหารที่แปลกใหม่และยังมีรสชาติอร่อยกินง่ายอีกด้วย เพียงเวลาไม่กี่วันติ่มซำก็โด่งดังไปทั่วเมืองไม่แพ้ซาลาเปาไส้ปลาเค็มเลย
รายได้ของร้านจากเดิมที่ได้เพียงวันละไม่กี่ตำลึงมาบัดนี้ได้ไม่ต่ำกว่าสิบตำลึงต่อวันทำเอาฟางตวนกับนิ่งหรงดีใจมากกล่าวขอบคุณบุตรสาวไม่หยุดปาก ฟางตวนภูมิใจในบุตรสาวคนนี้มากถึงขนาดขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาให้บุตรสาวขี้โรคของตนหายป่วยไข้และกลายมาเป็นหญิงสาวที่เก่งและฉลาดอย่างในตอนนี้
บทที่ 30 วุ่นอยู่กับการทำศึกแต่ในใจก็คิดถึงเช่นกัน อีกด้านเซียวป๋อเหวินตอนนี้กำลังทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือบริเวณแม่น้ำฉางเป่ย การต่อสู้ครั้งนี้ใช้กองทัพเรือ เป็นการต่อสู้กับชนเผ่าเฮยจั้งที่พยายามจะตีเอาดินแดนเหนือของแคว้นรวมทั้งเมืองเสวี่ยคังด้วย เดิมทีชนเผ่าเฮยจั้งอยู่เหนือขึ้นไปหลายพันลี้ทว่าด้วยภัยความหนาวทำให้อากาศแห้งแล้ง ปลูกพืชผลก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ เลยทำให้พวกเขาต้องอพยพลงใต้มาตายเอาดาบหน้า หวังว่าจะมีที่ดินทำกินให้คนในเผ่าได้มีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ชนเผ่าก็จริงทว่าชาวเฮยยจั้งนั้นรวม ๆ แล้วก็มีไม่ต่ำกว่าแสนคน ที่เป็นทหารได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็น่าจะราว ๆ สามหมื่น พื้นฐานของพวกเขาเป็นคนที่มีร่างกายที่ทรหดอดทนมาก ทั้งยังสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานาน ทำให้ศึกครั้งนี้เซียวป๋อเหวินรับมือยากอยู่เล็กน้อย “ลูกธนู
บทที่ 29 และแล้วก็ต้องจากกัน ขบวนของท่านเจ้าเมืองเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไปแล้วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีและน้อมส่งท่านเจ้าเมืองไปยังเมืองเสวี่ยคัง ขบวนนั้นยาวเหยียดเต็มไปด้วยทหารที่มาจากมืองเสวี่ยคังและทหารบางส่วนที่ติดตามท่านเจ้าเมืองไปด้วย ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ชาวเมืองทั้งดีใจและรู้สึกเศร้าใจในเวลาเดียวกัน “พวกเราจะคิดถึงท่านเจ้าเมือง” “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ลืมพวกเรานะขอรับ ส่วนพวกเราจะไม่มาทางลืมท่านอย่างแน่นอน” “น้อมส่งท่านเจ้าเมือง” “ขอให้ท่านเจ้าเมืองโชคดีขอรับ” เสียงของชาวเมืองยังคงกล่า
บทที่ 28 เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เมื่อได้ยินข่าวว่าเซียวป่อเหวินได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังฟางหนิงฮวาก็ทั้งดีและเศร้าใจ การที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างครั้งนี้เข้าได้เป็นถึงแม่ทัพรับรองว่าอนาคตของเขาจะต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่ แต่เพราะเมืองเสวี่ยคังอยู่ไกล จะไปมาหาสู่กันก็ลำบาก จะพบหน้ากันเช่นทุกวันนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก “หนิงฮวา เจ้าเองก็อยากให้เขาเจริญก้าวหน้ามิใช่หรือ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมกัน” ต้าเป่าเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ที่จริงข้าก็ยินดีกับเขานั่นแหละ แต่ถ้าเขาไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังข้าก็คงจะไม่ได้พบกับเขาอีก” ฟางหนิงฮวาพูดออกมาอย่างเศร้าใจ “ต่อให้ไม่ได้พบกันก็เขียนจดหมา
บทที่ 27 ข้าว่าจะเปิดร้านอาหาร ท่านว่าดีหรือไม่ ฟางหนิงฮวาเอาซาลาเปามาส่งทุกวัน ทุกครั้งทั้งสองก็จะพูดคุยกันและสนิทกันมากขึ้น สำหรับเซียวป๋อเหวินนอกจากหมอหลิวแล้วก็แทบจะไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยยกันเรื่องทั่วไปได้เลย ส่วนมากก็จะพูดแต่เรื่องที่เป็นทางการกับองครักษ์แล้วก็ทหารเท่านั้น แต่กับฟางหนิงฮวาเขากลับรู้สึกว่าทั้งเขาและนางมีอะไรที่คล้าย ๆ กัน ทั้งความคิดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ จึงได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาเองเมื่อได้พูดคุยกับเซียวป๋อเหวินก็เหมือนกับได้พูดคุยกับหยางจื้อเจ๋อ จึงมีความสุขทุกครั้ง “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะมาถามความเห็นจากท่าน” ฟางหนิงฮวาพูดขณะที่เอากล่องใส่ซาลาเปาวางลงบนโต๊ะอาหารของเซียวป๋อเหวิน “อะไรหรือ น่าสนใจหรือไม่&
บทที่ 26 กลับมาพร้อมชัยชนะ ขบวนทัพเดินผ่านเข้าประตูเมืองมาด้วยความสง่าผ่าเผย เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เหล่าราษฎรมายืนเรียงแถวรอต้อนรับท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาเต็มสองข้างทาง พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยวีระบุรุษผู้ปกป้องรักษาบ้านเมืองเอาไว้ รอที่จะกล่าวขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ เซียวป๋อเหวินขี้ม้าสีดำคู่กายเข้ามาในประตูเมืองตามด้วยทหารองรักษ์คนสนิทและเหล่าแม่ทัพนายกองอีกหลายคน เขาโบกมือและยิ้มทักทายให้กับทุกคนพร้อมประกาศชัยชนะในครั้งนี้ “ชาวเมืองถู่หยางทุกคน บัดนี้พวกโจรภูเขาทั้งหลายได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลังจากนี้ต่อไปเมืองถู่หยางของพวกเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อย่าได้เป็นกังวล” “
บทที่ 25 กำจัดโจร ภายในกระโจมบัญชาการกลางค่ายทัพ ธงประจำเมืองถู่หยางปักอยู่เหนือศีรษะ ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างสลัว เหล่าแม่ทัพนายกองกว่าสิบชีวิตนั่งล้อมวงรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ซึ่งปูด้วยแผนที่ผืนใหญ่ที่แสดงแนวเขาและเส้นทางรอบบริเวณซ่อนตัวของพวกโจรภูเขาอย่างชัดเจนท่านเจ้าเมืองเซียวป๋อเหวินผู้มีรูปลักษณ์สง่างามในชุดเกราะสีเข้มประดับลวดลายเมฆายกมือขึ้นเรียกความสงบ "พวกเราต้องหาทางกำจัดพวกโจรโดยไม่ให้เสียเปรียบ นำกองทัพบุกโจมตีตรงๆ ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี"แม่ทัพหวังเจี้ยนผู้ช่ำชองด้านการรบในพื้นที่ป่าเขากล่าวขึ้น "ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้อง ที่ซ่อนของพวกมันมีทั้งถ้ำลึกและหุบเขาคดเคี้ยว หากเราบุกเข้าไป โอกาสเสียเปรียบสูงมาก ทั้งยังมีกับดักซ่อนอยู่ทุกแห่งหน""พวกมันรู้พื้นที่ดีกว่าเรา อีกทั้งสามารถกระจายตัวซ่อนตามซอกหินและป่าได้ง่าย หากเราบุกเข้าไป ผลลัพธ์อาจกลายเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง" รองแม่ทัพหลี่ซงหยูเสริม"ดังน