LOGINตอนที่
7
บะหมี่ชามสุดท้าย
หลินหว่านเอ๋อร์นางก้มตัวคารวะขุนนางลึกลับผู้นี้ด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบพระคุณท่านมากเจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
หลินหว่านเอ๋อร์รีบทำบะหมี่ต่อทันที ชาวบ้านก็ต่างยืนรออย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกัน
“อาเป่า อาเหมยช่วยแม่ด้วยนะลูก”
“ได้ขอรับท่านแม่ เจ้าค่ะท่านแม่” อาเป่าอาเหมยตอบรับคำของมารดาอย่างรู้การรู้งาน
“ให้ข้าช่วยอีกแรง” จงซิ่นเองเมื่อเห็นนางยุ่งๆ ก็อาสาช่วยเหลือนางทันที
คำเสนอของจงซิ่นทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองดูผู้คนและน้ำซุปกระดูกที่กำลังเดือดพล่าน นางก็ตัดสินใจว่าไม่ควรปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา
“ถ้าอย่างนั้น รบกวนท่านช่วยตักน้ำซุปใส่ถ้วยแล้วเอาให้ลูกค้านะเจ้าคะ ข้าจะลวกเส้นและจัดเครื่องใส่ถ้วย ส่วนอาเป่าและอาเหมยช่วยดูแลลูกค้าให้แม่ด้วยนะ”
“ได้เลย ข้าจะรับหน้าที่นั้นเอง” จงซิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง เขายืนเฝ้าเตาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังความร้อนและฟืนไฟอย่างเคร่งเครียด
ภาพการทำงานร่วมกันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้เกิดขึ้นกลางตลาด หลินหว่านเอ๋อร์ที่คล่องแคล่วว่องไวราวกับเชฟกำลังร่ายรำอยู่หน้าหม้อลวกเส้น อาเป่าและอาเหมยก็ช่วยพูดคุยกับลูกค้าเพื่อไม่ให้ลูกค้าเบื่อ จงซิ่นก็ตักน้ำซุปได้เป็นอย่างดี
จงซิ่นรับหน้าที่ตักน้ำซุปด้วยท่าทางที่จริงจังเกินกว่างานที่ทำ มือของเขาถือกระบวยตักน้ำซุปมั่นคงราวกับถือกระบี่
เขาตักน้ำซุปใสสีทองใส่ถ้วยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่มีการกระเด็นหกเลอะเทอะแม้แต่น้อย เขารับถ้วยมาจากหลินหว่านเอ๋อร์เพื่อเติมน้ำซุปอย่างชำนาญเหมือนทำหน้าที่นี้มานาน
“น้ำซุปหอมหวานจริงๆ” ชาวบ้านที่ได้รับบะหมี่จากมือของจงซิ่นกล่าวชมด้วยความประหลาดใจระคนซาบซึ้ง
“นี่เป็นบะหมี่จากทางการ รับไปเถิด” จงซิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจและเย็นชาทุกครั้งที่ส่งบะหมี่ให้ชาวบ้าน ทำให้ทุกคนยอมรับด้วยความเกรงใจและซาบซึ้งในความเมตตาของทางการ (ท่านอ๋องผู้อยู่เบื้องหลัง)
หลินหว่านเอ๋อร์ใช้ทักษะทั้งหมดในการลวกเส้นให้เหนียวนุ่มและสุกพอดี นางเร่งมือทำบะหมี่ตามคำสั่งจนกว่าจะครบห้าสิบชาม โดยมีจงซิ่นคอยช่วย
ในที่สุด บะหมี่ห้าสิบชามก็ถูกแจกจ่ายจนเกือบหมดสิ้น เสียงขอบคุณของชาวบ้านดังเซ็งแซ่
“ตอนนี้เหลือบะหมี่อีกหนึ่งชามก็จะครบห้าสิบชามพอดี” หลินหว่านเอ๋อร์เอ่ยขึ้นมาพลางเก็บของบางส่วนขึ้นรถเข็น บุรุษผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาจากด้านหลังของฝูงชนที่เพิ่งแยกย้ายไป เขาเดินมาหยุดหน้าแผงลอยที่ว่างเปล่า
เขาไม่ได้สวมชุดขุนนางแต่สวมชุดผ้าฝ้ายสีน้าตาลเข้มที่ดูสะอาดสะอ้านและมีราคา มีผ้าคลุมศีรษะที่ปิดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้เห็นเพียงส่วนล่างของใบหน้าที่งดงามและดวงตาที่คมดั่งพญาอินทรี
บุรุษผู้นี้คือมู่ฉางเฟิงท่านอ๋องที่มาสืบคดีทุจริตในเมืองซ่ง และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการซื้อบะหมี่เพื่อช่วยเหลือหลินหว่านเอ๋อร์
“บะหมี่ชามสุดท้ายของเจ้า” มู่ฉางเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกและเยือกเย็น
“ข้าขอรับมันไว้เอง”
หลินหว่านเอ๋อร์มองเขาอย่างงุนงง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล แต่ดวงตานางก็ส่องประกายด้วยความอ่อนล้าปนความภาคภูมิใจ
“ท่านเป็นลูกค้าที่ได้รับชามสุดท้ายเจ้าค่ะ” หลินหว่านเอ๋อร์ถามอย่างสุภาพ นางรู้สึกแปลกใจเพราะเขาไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป
มู่ฉางเฟิงไม่ตอบคำถาม เขาเพียงแค่ยื่นชามกระเบื้องสีขาวสะอาดที่เขาเตรียมมาเองให้กับนาง
“ทำบะหมี่ใส่ชามนี้ให้ข้า”
หลินหว่านเอ๋อร์รับชามมาจากเขาแล้วจัดการบะหมี่ชามสุดท้ายที่เหลืออยู่ในหม้อด้วยความตั้งใจ เส้นบะหมี่ไข่มังกรถูกลวกอย่างสมบูรณ์แบบ จัดเรียงลงในชามที่สะอาด พร้อมราดด้วยน้ำซุปใสสีทองที่เคี่ยวอย่างพิถีพิถัน และวางผักกวางตุ้งกับเนื้อหมูแดงที่เหลือน้อยนิดอย่างสวยงามที่สุด
นางส่งชามบะหมี่ให้กับเขาด้วยสองมือของนางพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสแม้จะเหน็ดเหนื่อยก็ตาม
“ท่านแม่ข้าหิว ข้าหิว ข้าอยากกินบะหมี่ไข่มังกรของท่านแม่เจ้าค่ะ” อาเหมยที่เริ่มเหนื่อยและเริ่มบ่นว่าหิวขึ้นมาแต่บะหมี่ไข่มังกรของมารดาเพิ่งถูกส่งให้กับมู่ฉางเฟิงไป
“ไม่ได้อาเหมย บะหมี่ไข่มังกรหมดแล้ว เดี๋ยวแม่ซื้ออย่างอื่นให้กินนะ แต่ตอนนี้แม่ของเก็บของขึ้นรถเข็นก่อน ลูกรอได้ใช่หรือไม่” หลินหว่านเอ๋อร์พยายามบอกกับอาเหมยอย่างใจเย็น
มู่ฉางเฟิงที่เพิ่งรับชามบะหมี่ไปถึงกับชะงัก สายตาของเขามองไปที่อาเหมยด้วยความสงสาร เขาก้มลงมองไปยังเด็กหญิงตัวเล็กที่เกาะขาแม่ของตนด้วยความอ่อนเพลียและหิวโหย เขาสังเกตเห็นใบหน้าซูบผอมของอาเหมยและความเหน็ดเหนื่อยฉายชัดในดวงตาของเด็กเล็กน้อย
หลินหว่านเอ๋อร์อุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมา “รอเดี๋ยวนะลูก คนดีของแม่ เอาอย่างนี้ไหมลูก ให้พี่อาเป่าพาไปซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาก่อนไหมลูก”
“ไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ไข่มังกร ฮือๆ ๆ ท่านแม่ข้าหิว” อาเหมยที่อ่อนล้าและหิวงอแงไม่เอาอะไรนอกจากบะหมี่ไข่มังกรเท่านั้น
“อย่างอแงได้หรือไม่ อาเหมยไหนเจ้าสัญญากับพี่แล้วว่าจะไม่งอแงเจ้าจำไม่ได้หรืออย่างไร” อาเป่าที่กำลังช่วยมารดาเก็บของเอ่ยขึ้นมาเพื่อบอกกับน้องสาวของเขา
“ข้าหิวเหลือเกินท่านพี่”
เสียงร้องไห้งอแงของอาเหมยทำให้มู่ฉางเฟิงเลือกที่จะยกบะหมี่ชามนี้ให้กับอาเหมยแทนเพราะเขาก็ได้ลิ้มลองไปแล้วชามหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมาที่ร้านของนาง
“หนูน้อยเอาบะหมี่ชามนี้ไปเถอะ ข้ายกให้เจ้า” มู่ฉางเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแฝงความอ่อนโยนอย่างยิ่ง เขาค่อยๆ วางชามกระเบื้องที่มีบะหมี่ไข่มังกรชามสุดท้ายลงตรงหน้าอาเหมยอย่างนุ่มนวล
อาเหมยหยุดร้องไห้ทันที ดวงตาที่เปียกปอนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นางมองบะหมี่ในชามด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมู่ฉางเฟิงอย่างใสซื่อ
หลินหว่านเอ๋อร์ นางรีบก้มตัวคารวะจนแทบติดพื้น
“ขอบพระคุณท่านลูกค้าด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้จะตอบแทนความเมตตาของท่านอย่างไร ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสมารับบะหมี่ที่ร้านของข้าไปทานได้นะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรไว้คราวหน้าข้าจะมาอุดหนุนเจ้าอีก” มู่ฉางเฟิงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหยิบก้อนเงินแท้ ที่สลักอย่างสวยงามก้อนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววาวลงบนโต๊ะข้างถุงเงินสี่สิบพวงของจงซิ่น
“เงินค่าบะหมี่ชามสุดท้ายนี้ เจ้าจงรับไว้” มู่ฉางเฟิงกล่าว “ความตั้งใจของเจ้าคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่าแผงลอยข้างถนน”
มู่ฉางเฟิงไม่รอให้นางกล่าวขอบคุณครั้งที่สอง เขารีบหันหลังเดินจากไปทันที
จงซิ่นเห็นอย่างนั้นก็ก้าวเข้ามาเก็บเงินทั้งหมดลงในถุงผ้าให้กับหลินหว่านเอ๋อร์อย่างเงียบๆ พร้อมกระซิบบอกกับนาง
“แม่นางหลิน จงจำไว้ว่าวันนี้มีผู้ยื่นโอกาสให้เจ้า อย่าให้โอกาสนั้นสูญเปล่า จงซื่อสัตย์ต่อความตั้งใจของเจ้า”
จงซิ่นกล่าวจบก็รีบเดินตามเจ้านายของตนออกไปทันที ทิ้งให้หลินหว่านเอ๋อร์ยืนอยู่กับอาเป่าและอาเหมยที่กำลังซดบะหมี่ชามสุดท้ายอย่างมีความสุข ข้างๆ นางคือถุงเงินก้อนใหญ่ที่หนักอึ้ง
หลินหว่านเอ๋อร์ไม่รอช้าที่จะเก็บแผงลอย นางพาลูกๆ กลับกระท่อมทันทีที่เก็บร้านเสร็จพร้อมกับถุงเงินก้อนโตในมือ นางได้แต่คิดว่าตอนนี้นางกับลูกจะไม่ลำบากอีกต่อไปแล้ว
ตอนที่14เนรมิตเรือนไม้ทำเลทอง (2) หลินหว่านเอ๋อร์สวมชุดเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน นางจูงมืออาเป่าสะพายถุงผ้าขนาดใหญ่ เดินเข้าไปในตลาดด้วยความมั่นใจเพื่อเฟ้นหาวัตถุดิบพิเศษสำหรับเมนูเปิดร้าน ก่อนออกมา นางได้ขอให้จงซิ่น ซึ่งมาดูผลงานของคนงาน ช่วยดูแลอาเหมยเป็นการชั่วคราว “อาเป่า” นางกระซิบ “วันนี้เราต้องหาพริกไทยดำเม็ดเล็กและสมุนไพรใบหยกมาให้ได้นะเพื่อทำน้ำซุปของเรา” “ได้ขอรับท่านแม่ ข้าจะถามทุกร้านที่คิดว่ามีเลยขอรับ” “เยี่ยมมากเลยลูก ช่างเป็นลูกชายที่ช่วยแม่ได้เก่งที่สุดเลยลูก” “ข้าอยากทำอาหารเก่งเหมือนท่านแม่ขอรับ” อาเป่ากล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าต้องทำอาหารเก่งเหมือนแม่แน่ๆ เดี๋ยวแม่สอนให้ลูกทุกอย่างเลย” อาเป่ายิ้มให้กับแม่แล้วก็เดินนำหน้ามารดาเพื่อตามหาเครื่องเทศที่มารดาต้องการ เมื่อเดินไปถึงแผงขายเครื่องเทศที่ใหญ่ที่สุด หลินหว่านเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากสั่งซื้อ ทันใดนั้นเสียงตะโกนกึกก้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “พ่อค้า เครื่องเทศชั้นดีทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าเหมาหมด” นายจ้างจู เจ้าของร้านบะหมี่ชื่อดังในย่านนั้น ปรากฏตัวขึ
ตอนที่14เนรมิตเรือนไม้ทำเลทอง หลินหว่านเอ๋อร์ในเรือนไม้ที่แม้จะดูใหญ่โตแต่ก็ยังว่างเปล่า นางใช้กระดานไม้ที่หามาได้วางบนโต๊ะกลาง แล้วใช้ถ่านวาดผังโครงสร้างภายในร้านด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะลูกรัก” นางกล่าวกับอาเป่าและอาเหมยที่นั่งมองแม่อย่างสงสัย “ร้านของเราจะต้องไม่เหมือนร้านอื่นๆ ในเมืองนี้” นางลากเส้นแบ่งพื้นที่ในครัวอย่างชัดเจน “ตรงนี้จะเป็นส่วนเตรียมวัตถุดิบต้องสะอาดและมีแสงสว่างเพียงพอ ส่วนตรงนี้จะเป็นส่วนทำอาหารซึ่งต้องอยู่ใกล้กับช่องระบายอากาศและเตา” หลินหว่านเอ๋อร์อธิบายการออกแบบเตาใหม่ที่นางวางแผนไว้ “ท่านแม่จะก่อเตาแบบพิเศษ ที่ใช้ฟืนน้อยลงแต่เก็บความร้อนได้ดี ทำน้ำซุปและน้ำแกงของเรามีรสชาติคงที่ตลอดทั้งวัน” นางยังจะสั่งให้ช่างทำชั้นวางเครื่องปรุงให้แยกจากกันอย่างเป็นระเบียบตามประเภท โดยเน้นเรื่องความสะอาดและถูกสุขลักษณะเป็นหลัก อาเป่าในฐานะผู้จัดการการเงินตัวน้อย นั่งถือสมุดบันทึกและพู่กันด้วยท่าทางเคร่งขรึม เมื่อเห็นแม่วาดผังและสั่งการให้ซื้อวัตถุดิบราคาแพง เขาก็รีบท้วงขึ้นทันที “ท่านแม่ขอรับ” อาเป่าชี้ไปที่รายการซื้อไม้ชั้น
ตอนที่13เรือนไม้ทำเลทอง รถม้าของพวกเขาแล่นเข้าสู่ตลาดใหญ่ในเมืองและสุดท้ายก็เลี้ยวเข้าสู่ซอยเล็กๆ ที่มีกลิ่นอับชื้นและดูเก่าแก่ เมื่อถึงจุดหนึ่ง จงซิ่นก็หยุดรถม้า แล้วชี้ไปยังห้องแถวไม้เก่าๆ ที่เอียงกระเท่เร่เล็กน้อย ซึ่งอยู่ติดกับกองลังไม้และกองขยะของร้ายขายเนื้อที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์ถึงกับทำหน้าเหยเกด้วยความผิดหวัง “ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะว่านี่คือ เรือนไม้ทำเลทอง ข้าว่ามันเป็น เรือนไม้ทำเลซ่อนมากกว่านะเจ้าคะ” จงซิ่นมองตามที่นางชี้ แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมานาน “แม่นางหลินเข้าใจผิดแล้วขอรับ” เขาผายมือไปยังเรือนไม้อีกหลังที่อยู่ถัดจากห้องแถวโทรมๆ ไปเพียงหนึ่งคูหา “เรือนไม้ทำเลทองที่แท้จริงอยู่ที่นั่นขอรับ” หลินหว่านเอ๋อร์หันไปมองตามมือของจงซิ่น แล้วต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เรือนไม้หลังนั้นใหญ่กว่าห้องแถวที่นางเห็นในตอนแรกถึงสามเท่า มันเป็นอาคารสองชั้นที่สร้างด้วยไม้ชั้นดี มีหน้าต่างบานใหญ่กรุกระจกใสสะอาด และมีป้ายไม้เนื้อดีแขวนอยู่ด้านหน้า “นี่คือทำเลทองท
ตอนที่12เป็นที่สนใจ คุณชายเว่ยกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ใจหายวาบ “แม่นางสามารถใช้หนี้ได้ในพริบตาเดียว และยังมีฝีมือการทำอาหารได้อร่อยล้ำลึกจนข้าเองก็อยากลิ้มรส...” เว่ยจื่อเหยียนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใช้สายตาที่ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังหมายถึงทั้งอาหารที่ลิ้มรสและหมายถึงคนทำบะหมี่ไข่มังกร คำพูดของเขาทำให้หลินหว่านเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย แต่นางก็เก็บอาการไว้ทันที นางตระหนักได้ว่าตนเองถูกบุรุษสูงศักดิ์ถึงสองคนจับจ้อง นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับจงซิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวง “ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์กดเสียงต่ำ “เจ้านายของท่านต้องการส่วนแบ่งอะไรจากข้ากันแน่” “ต้องการให้อาหารของเจ้าเป็นที่รู้จักอย่างไรเล่า” จงซิ่นตอบนางแล้วก็มองดูลูกๆ ของนางที่กำลังเกาะขาของนางอยู่ อีกคนก็มองหน้าจงซิ่นสลับกับเว่ยจื่อเหยียน “เอาล่ะข้าตกลงที่จะเปิดร้านของข้าที่เรือนไม้ทำเลทองของนายท่านของท่านแต่ข้ามีเงื่อนไข” “เงื่อนไขอะไรขอรับ” จงซิ่นที่กำลังรอคำตอบจากหลินหว่านเอ๋อร์ เว่ยจื่อเหยียนก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าต้องขอตัวก่อนแม่นางหลิน เมื่อไหร่ที่เ
ตอนที่11เงินลงทุนหลินหว่านเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และเดินไปยังที่ซ่อนเงินที่ขุดไว้ใต้พื้นดิน นางนำถุงผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อคลี่ดูเงินที่รวบรวมมาได้ นางก็นับจำนวนอย่างละเอียด“บะหมี่ที่ขายได้เมื่อวาน ค่าแรงที่จงซิ่นให้มันมากมายเหลือเกิน และดวงตาของหลินหว่านเอ๋อร์เบิกกว้างเมื่อเห็นก้อนเงินแท้ที่สลักอย่างสวยงาม วางอยู่ปะปนกับอีแปะ นางจำได้ว่าเงินก้อนนี้เป็นของลูกค้าที่ยกบะหมี่ชามสุดท้ายให้กับอาเหมย “ลูกค้าลึกลับผู้สั่งบะหมี่คนนั้น เขาเป็นใครกันแน่และเหตุใดจึงให้ก้อนใหญ่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เขาต้องการอะไร” ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเชฟสาวทะลุมิติมา แต่นางก็เก็บความสงสัยไว้ก่อนเพราะความจำเป็นในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นสำคัญกว่าความสงสัยในตอนนี้นางตัดสินใจซ่อนเงินก้อนนั้นไว้ในตัวเพื่อใช้เป็นทุนสำรองและเริ่มปลุกลูกๆ“อาเป่า อาเหมย” หลินหว่านเอ๋อร์เรียกลูกทั้งสองของนางที่ตอนนี้กำลังนอนงัวเงียไม่ยอมตื่นอาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเด็กทั้งสองช่วยงานแม่อย่างหนักและเหนื่อยมากๆ นางยื่นแก้มไปแนบกับแก้มของบุตรชายและบุตรสาวเบ
ตอนที่10ราตรีกาลอันตราย (2) นักเลงเสี่ยวซ่านกำลังก้มดูรองเท้าที่เปื้อนขี้หมาอย่างรังเกียจ ขณะที่ไอ้หู่กำลังจะเริ่มปฏิบัติการงัดประตู ฉัวะ!!! เงามืดที่ว่องไวดุจสายฟ้าก็พุ่งลงมา จงซิ่นเคลื่อนไหวราวกับนักล่าผู้สง่างาม คราวนี้เขาใช้เทคนิคที่เน้นความเฉียบขาดเพื่อปิดปากพวกมันทันที ตูม!!! จงซิ่นใช้สันมือที่แข็งแกร่ง กระแทกเข้ามาที่จุดรวมเส้นประสามบริเวณคอของนักเลงไอ้หู่ที่กำลังยื่นมือไปเกาคอตัวเองอย่างแม่นยำ ร่างของมันล้มพับลงไปกองกับพื้นโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จงซิ่นหมุนตัวอย่างรวดเร็ว นักเลงเสี่ยวซ่านกำลังจะร้องโวยวายด้วยความตกใจ “แกเป็นใครวะ” ผัวะ!!! จงซิ่นใช้ฝ่ามือกระแทกที่กระพุ้งแก้มของมันอย่างรุนแรงแต่รวดเร็ว ทำให้เสี่ยวซ่านลิ้นพันกันและไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ จากนั้นจึงใช้เท้าเกี่ยวขาให้ล้มลง โดยจงใจให้เท้าเปื้อนขี้หมาเหยียบใบหน้าของไอ้หู่ที่สลบไปแล้ว ก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกที่ท้ายทอย มันไม่ได้ตั้งตัว ก็แน่นิ่งไปในทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที จงซิ่นจัดการมัดร่างนักเลงทั้งสองไว้กับลำต้นหลิวอย่างร







