บทที่ 13
รวบรวมเงินสำเร็จแล้ว!
ก่อนที่กงเยียนซูจะสั่งให้คนนำเงิน 100 ตำลึงทองเข้ามา เขาได้ถามลู่ซินฟางว่าต้องการรับเงินแบบไหน
หญิงสาวตอบหลังจากไตร่ตรองแล้วว่า “ท่านช่วยแยกเงินเป็นสองส่วนได้หรือไม่ ส่วนแรกเป็นตั๋วเงิน ระบุจำนวน 90 ตำลึงทอง ส่วนที่สองข้าขอเป็นตำลึงทองและตำลึงเงินอย่างละครึ่ง”
วิธีแบ่งเงินของนางช่างชาญฉลาด
หากหอบเงินกลับไปทั้งหมด ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเช่นนางคงไม่พ้นถูกดักปล้น
กงเยียนซูพยักหน้าเข้าใจ
เมื่อแลกเปลี่ยนสัญญากันเสร็จสิ้น ทั้งสองฝ่ายประสานมือเป็นการให้เกียรติเพื่อนร่วมการค้า ก่อนแยกย้าย กงเยียนซูกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “จริงสิ ข้าชื่อเยียนซู แซ่กง หลังจากนี้พวกเราจะต้องทำธุรกิจร่วมกัน ฮูหยินช่วยเรียกข้าด้วยชื่อเถอะ”
ตั้งแต่มองปราดแรก ลู่ซินฟางรู้สึกว่าตัวตนแท้จริงของกงเยียนซูนั้นไม่ธรรมดา การเรียกชื่อผู้ชายคนนี้ตรงๆ ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ แต่ทว่า หากมองมุมกลับกัน นางเองก็มีความลับ หากต่างฝ่ายต่างไม่ขุดคุ้นเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ธุรกิจนี้อย่างไรก็ต้องดำเนินต่อเพราะเงินไม่ทรยศใคร
อีกอย่าง การเรียกชื่อยังไงก็สะดวกกว่าเห็นๆ ในเมื่อเจ้าตัวอนุญาต เช่นนั้นนางจะขอรับสิทธิพิเศษนั้นไว้
หญิงสาวพยักหน้าแล้วตอบกลับ
“เช่นนั้นข้าขอเรียกท่านว่า ‘ท่านเยียนซู’ แล้วกัน ข้ามีนามว่าซินฟาง แซ่ลู่ หากท่านเรียกชื่อข้าก็จะดีใจมาก”
“แซ่ลู่...เป็นแซ่ของสามีหรือ”
นางส่ายหน้า “เป็นแซ่ของท่านแม่ข้าเอง ข้าหย่ากับสามีมานานแล้ว”
ชายหนุ่มมองลู่ซินฟางนิ่งๆ สักครู่ก็เอ่ยว่า “ซินฟาง จากนี้ข้าต้องรบกวนเจ้าเรื่องวัตถุดิบแล้ว”
นางประสานมือให้กับเขาอีกครั้ง “ข้าก็เช่น ท่านเยียนซู”
คล้อยหลังของหญิงสาว กงเยียนซูสั่งให้ผู้ติดตามสืบเรื่องของลู่ซินฟาง พร้อมกับตามคุ้มกันนางจนถึงบ้าน หากคู่ค้าเป็นอะไรขึ้นมา เงิน 100 ตำลึงทองได้สูญเปล่าแน่ๆ
อย่างที่บอกไป สตรีตัวเล็กๆ หอบเงิน 100 ตำลึงทองเดินทั่วเมืองไม่ต่างอะไรกับการปักธงเรียกโจร
หารู้ไม่ เรื่องนี้ลู่ซินฟางคำนวณมาแล้ว
นางเก็บเงิน 100 ตำลึทองที่ได้ไว้ในอกเสื้ออย่างดี แล้วใช้เงินเหรียญจากการขายผิงกั่วเคลือบน้ำตาลซื้อของแทน การที่ให้ชายหนุ่มแยกเงินให้ เพราะอยากรวบรวมรูปแบบเงินทั้งหมดในโลกนี้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
ก่อนกลับหมู่บ้าน นางแวะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับลูกทั้งสอง และเสื้อผ้าของตัวเอง ซื้อมีดสั้น วัตถุดิบทำอาหาร เนื้อหมู ข้าวสาร แป้งทำบะหมี่กับหมั่นโถ รวมถึงของจำเป็นอื่นๆ
ตอนหิ้วของขึ้นรถเทียมวัว ทุกคนบนรถต่างคิดว่านางได้กำไรจากการขายผิงกั่วเคลือบน้ำตาลมาเยอะ
บังเอิญมาก บนรถเทียมวัวันนั้นเจียงลิ่วก็นั่งอยู่ด้วย คาดว่านางคงเข้าเมืองมาซื้อของ
พอฝ่ายนั้นเห็นนางหอบข้าวของเต็มสองมือ ก็ไม่คิดจะเก็บซ่อนสีหน้าริษยา เบะปากและสะบัดหน้าเชิดใส่ลู่ซินฟาง
ลู่ซินฟางแอบส่ายหน้าในใจ ในโลกเดิม คนประเภทเดียวกับเจียงลิ่ว นางเคยเจอมาเยอะ ดังนั้นการแกล้งเมินจึงเป็นวิธีที่ดีสุด
จังหวะเหมาะเหม่ง ฮูหยินรองบ้านจวงที่นั่งฝั่งตรงข้ามทักทายลู่ซินฟาง นางจึงคุยยิ้มแย้มอย่างเบิกบานกับฮูหยินรองบ้านจวง
ฮูหยินรองบ้านจวงอายุ 27 มากกว่าลู่ซินฟางประมาณ 3-4 ปี เป็นคนอัธยาศัยดี
ถึงจะรู้เรื่องที่ลู่ซินฟางถูกสามีหย่า ด้วยข้อกล่าวหาว่าเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ฮูหยินรองบ้านจวงก็ไม่เคยกล่าวซ้ำเติมหรือสอบถามว่าจริงหรือไม่
หมู่บ้านกว่างซูที่ลูซินฟางอาศัยอยู่นี้เป็นหมู่บ้านเล็ก ข่าวลือเลยแพร่กระจายเร็ว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็พื้นฐานของคน บางวันเหล่าแม่บ้านที่ว่างจากงานก็จะมาถามสาเหตุของการหย่า โดยแกล้งทำทีเป็นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ
แต่ฮูหยินรองบ้านจวงนั้น นอกจากมาหาลู่ซินฟางเพื่อแบ่งปันผักให้แล้ว ก็ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของลู่ซินฟาง นับเป็นคนดีหายาก เช่นเดียวกับชิงเหลียน
พอเห็นว่าลู่ซินฟางรู้จักเอาผิงกั่วเปรี้ยวมาทำเป็นขนม ฮูหยินรองบ้านจวงชมเชยนางไม่หยุดปาก ยิ่งทำให้เจียงลิ่วที่นั่งอีกฝั่งหลุดสีหน้าริษยาอยู่หลายครั้ง
พอมาถึงหมู่บ้าน ลู่ซินฟางลงจากรถเทียมวัว เดินผ่านทุ่งหญ้าผืนใหญ่ ไร่นาสีเขียวขจี บ้านเรือนหลายหลังที่ตั้งเรียงรายกัน พอเดินเข้ามาในถนนสายเล็ก ก็จะเห็นสวนผักของบ้านลุงอู่ ทุ่งนาของบ้านเถี่ย ผ่านที่ดินว่างเปล่า สุดทางของถนนก็คือบ้านของนาง
ลู่ซินฟางมิได้รีบร้อน สายตากวาดมองไร่นาทั้งสองฝั่งถนน
เดินจนเพลิน เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงบ้านลู่เสียแล้ว
“แม่กลับมาแล้ว เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์” ลู่ซินฟางตะโกนบอกลูกๆ หน้าบ้าน
สักครู่ หน้าต่างแง้มเปิดจากด้านใน ศีรษะเล็กๆ ของลูกทั้งสองชะโงกออกมาทางหน้าต่าง
“ท่านแม่!”
เป่าเอ๋อร์ตะโกนเรียกด้วยใบหน้าดีอกดีใจ
เฉิงเอ๋อร์วิ่งไปเปิดประตู พอเห็นของเต็มมือท่านแม่ เด็กชายรีบอาสาช่วย
“ข้าจะช่วยหิ้วของไปเก็บ”
“ขอบใจมากนะ เฉิงเอ๋อร์”
เป่าเออร์แก้มป่อง “ข้าก็จะช่วย”
“ขอบใจจ๊ะ” นางยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะให้ทั้งสองช่วยถือของที่เบาที่สุด
หลังจากเก็บของเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ลู่ซินฟางให้ลูกๆ มาลองชุดใหม่
เมื่อเด็กทั้งสองสวมเสื้อผ้าดีๆ ทั้งยังสะอาดสะอ้าน พวกเขายิ่งดูน่ารักมากขึ้น
“ไม่รู้มาก่อนเลย ผิงกั่วเคลือบน้ำตาลของท่านแม่จะขายดีเช่นนี้ ท่านแม่ ถ้าพรุ่งนี้ท่านจะเข้าเมืองไปขายผิงกั่วอีก ให้พวกเราไปช่วยด้วยนะ” เฉิงเอ๋อร์พูดด้วยตาเป็นประกาย
“แน่นอนอยู่แล้ว พ่อค้าตัวน้อยของแม่” ลู่ซินฟางพูดทีเล่นทีจริง
“ข้าก็จะไปด้วย” เป่าเอ๋อร์ชูมือเล็กป้อมพร้อมกระโดดโหยงๆ
“ได้ พวกเราจะช่วยกันขายของ หาเงินให้ได้มากๆ” ลู่ซินฟางยิ้มบางๆ ลูบศีรษะเล็กของลูกทั้งสองด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เด็กๆ หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ