บทที่ 24
ของขวัญของกงเยียนซู
วันนี้ท้องฟ้าสดใส แดดแรงกำลังดี ลู่ซินฟางถือโอกาสพาทุกคนเดินชมทิวทัศน์หมู่บ้านชนบท
ระหว่างเดินบนถนนสายเล็ก มองทุ่งนาสีเขียวสองข้างทาง ลู่ซินฟางสัมผัสได้ถึงสายตาเคืองแค้นพุ่งตรงมา พอเหลือบมองไปก็เห็นว่าเป็นเจียงลิ่ว
เดิมก็ไม่ชอบขี้หน้ากันอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเรื่องของกงเยียนซู ทั้งความโกรธ ความขุ่นเคืองในใจ และความริษยาของเจียงลิ่วก็ยิ่งพุ่งสูงชนยอดฟ้า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรหรือ ทำไมมองนายหญิงด้วยสายตาน่าเกลียดเช่นนั้น” ชุนถาม
ลู่ซินฟางเชื่อว่าทุกคนเองก็สัมผัสถึงสายตาของเจียงลิ่วได้ แต่ที่ไม่บอกเพราะไม่อยากใส่ใจ
“อย่าสนใจเลย ก็แค่คนบ้าน่ะ” ลู่ซินฟางตอบอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งยังบอกให้ทุกคนเดินผ่านเจียงลิ่วโดยไม่ต้องไปสนใจอะไรนางทั้งนั้น
“ได้ยินว่าคนบ้าไม่รู้จักอารมณ์รักโลภโกรธหลง แต่ผู้หญิงคนนั้นกำลังมองนายหญิงด้วยความโกรธแค้น หึ ถ้ากล้ามาสร้างปัญหาให้นายหญิงละก็ ข้าจะจัดการให้เองขอรับ” สยงจวินถาม ทั้งยังเสนอตัวจะช่วยจัดการแทน
เป่าเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของสยงจวิน ได้ยินอย่างนั้นก็ยกมือป้องปาก ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูท่านลุงร่างหมี “ท่านลุงจวิน ผู้หญิงคนนั้นชอบมาหาเรื่องท่านแม่ที่บ้านละ”
“แบบนั้นยิ่งต้องรีบสั่งสอนไม่ใช่หรือ!” สยงจวินโพลงเสียงดัง
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ลู่ซินฟางส่ายหน้าพลางยิ้มเนือยๆ “มีคนจัดการแทนแล้ว เรื่องของหญิงบ้านางนั้นช่างเถอะ ก็แค่…ข้ากับนางมีเรื่องกันนิดหน่อย”
“สายตาแบบนั้น ดูแล้วไม่นิดหน่อยนะขอรับ” หลางไป๋แย้ง
ลู่ซินฟางกรอกตามองบน
ถูกสั่งสอนจนบ้านเจียงต้องมอบโฉลดที่นาให้ทั้งหมด ถ้าให้พูดตรงๆ ไม่นิดหน่อยจริงๆ นั่นแหละ
ขณะเดียวกัน ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของหลางไป๋ต่างพากันหลุดขำพรืด
ลู่ซินฟางไม่อยากใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่องจึงตัดบทว่า ช่างเถอะ
ตอนนั้นเอง สยงอู๋เห็นควายกำลังกินหญ้าในทุ่งนาข้างทาง เด็กหนุ่มร้องถามอย่างตื่นเต้น “นายหญิง เจ้าสี่ขาตัวดำๆ นั่นคืออะไรขอรับ”
หญิงสาวมองแวบหนึ่งก่อนตอบ “นั่นคือควายน่ะ ชาวบ้านเอาไว้ไถนา บางครั้งก็เอาไว้ลากรถที่บรรทุกของหนักๆ”
ต่างมิติไม่มีวัวหรือควาย ที่เจอส่วนใหญ่คือม้าป่า สยงอู๋เลยถามด้วยความตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรแปลกใหม่ๆ
เมื่อเดินผ่านถนนสายเล็กเข้าหมู่บ้านมา ก็จะพบบ้านเรือนที่สร้างขึ้นรูปแบบคล้ายๆ กันตั้งเรียงราย มีเพียงทุ่งนากับสวนกั้นระหว่างครัวเรือน พอเลี้ยวเข้าถนนอีกสาย เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางจะเจอบ้านไม้หลังเล็กพุพังซอมซ่อหลังหนึ่งตั้งอย่างโดดเดี่ยว นั่นคือบ้านเก่าของลู่ซินฟาง แค่เห็นก็หดหู่ใจแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตรงที่ดินว่างเปล่าใกล้ๆ บ้านไม้ที่ใกล้พุพังนั้น คือพื้นที่ทำเกษตรของลู่ซินฟาง ตรงมุมหนึ่งมีโกดังเก็บวัตถุดิบขนาดใหญ่หลังหนึ่งที่เพิ่งสร้างเสร็จ ถัดออกไปจะเห็นกลุ่มคนงานกับเถี่ยฮ่าวซือที่กำลังช่วยกันสร้างบ้าน
สยงจวินกับลูกชายสยงอู๋มองด้วยสายตากระตือรือร้น
ลู่ซินฟางยิ้ม ก่อนจะพาทุกคนเดินเข้าไปทักทายเถี่ยฮ่าวซือ พร้อมกับแนะนำทุกคนให้รู้จัก
ตอนแรก เถี่ยฮ่าวซือประหลาดใจที่เห็นลู่ซินฟางมาพร้อมกับกลุ่มคนเยอะแยะ เนื่องจากนิสัยของนางไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น คนที่คุยด้วยในหมู่บ้านก็มีน้อยมาก ไม่คิดว่าจะมีสหายมากมายเพียงนี้
ยิ่งพอสังเกตดีๆ แล้ว ทุกคนที่มาด้วยเหล่านั้นให้ความเคารพลู่ซินฟางราวกับเป็นเจ้านาย ทั้งยังเรียกนางว่า นายหญิง
เถี่ยฮ่าวซือเกิดความสงสัยจนปิดบังสายตาอยากรู้เอาไว้ไม่มิด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถามเพราะรู้ว่าการทำเช่นนั้นเป็นนิสัยของผู้หญิงและเสียมารยาทต่ออีกฝ่าย
กลับกันแล้ว ลู่ซินฟางอธิบายคร่าวๆ ว่า “พวกเขาเป็นคนรู้จักของท่านพ่อ มาจากเมืองจี๋หนานที่อยู่ทางใต้น่ะ ก่อนหน้านี้ข้าส่งจดหมายถามหาคนช่วยทำงานในไร่ พวกเขาเลยอาสามาช่วย”
“อย่างนั้นหรอกหรือ”
แม้เถี่ยฮ่าวซือไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้สักเท่าไร แต่ชายหนุ่มไม่ใช่คนประเภทสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน พอฟังจบก็ตอบสั้นๆ แค่นั้น
ลู่ซินฟางยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สยงจวินกับลูกชายสนใจงานไม้และงานก่อสร้าง อยากให้เถี่ยฮ่าวซือรับเป็นผู้ช่วย ส่วนค่าแรง นางจะเป็นคนจ่ายเอง
มีคนมาช่วยงานเพิ่ม งานย่อมคืบหน้าอย่างรวดเร็ว อีกอย่าง ดูแล้วสยงจวินกับสยงอู๋หน่วยกร้านดีไม่น้อย ก่อนหน้านี้คงทำงานใช้แรงมาเยอะ น่าจะสอนงานได้ไม่ยาก
ครุ่นคิดชั่วครู่ เถี่ยฮ่าวซือก็พยักหน้ายอมรับข้อเสนอ
“นายหญิง ข้าขอเริ่มงานวันนี้ได้ไหม” สยงจวินถามอย่างกระปรี้กระเปร่า
“เรื่องนั้น…” หญิงสาวทำหน้าลังเล พลางมองเถี่ยฮ่าวซือ
ฝ่ายหลังยิ้มตอบว่า “ข้าไม่มีปัญหา ยิ่งมีคนมาช่วยเพิ่ม งานยิ่งเสร็จเร็ว อีกอย่าง บ้านนี้เป็นของท่าน ท่านตัดสินใจได้เลย”
“เช่นนั้นก็ฝากด้วยนะ ฮ่าวซือ”
“อืม”
ในเมื่อสยงจวินกับลูกชายขอเริ่มงานทันที ลู่ซินฟางจึงรบกวนหลางไป๋ให้ไปบอกแม่หมีเหนียงซิ่น ผู้เป็นภรรยาของสยงจวินว่าสามีกับลูกชายจะอยู่ค้างที่นี่
และด้วยความกระตือรือร้นของพ่อหมีสยงจวินกับลูกชาย บวกกับความขยันของเถี่ยฮ่าวซือ ราวๆ สองสัปดาห์ต่อมา บ้านสวนหลังใหม่ก็พร้อมเข้าอยู่ มิหนำซ้ำ พ่อหมีสยงจวินยังได้เถี่ยฮ่าวซือเป็นเพื่อนใหม่ สยงจวินยังปรึกษาเรื่องแกะสลักงานไม้ ตอนที่ว่างจากงานก่อสร้าง เถี่ยฮ่าวซือยังสอนสยงจวินกับสยงอู๋แกะสลัก
ย้อนกลับมาที่ลู่ซินฟาง หลังจากบ้านหลังแรกสร้างเสร็จ นางจ่ายเงินค่าแรงให้กับเถี่ยฮ่าวซือ ซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างตามที่ตกลงกันไว้อย่างครบถ้วน
ในระหว่างที่ทางหนึ่งสร้างบ้าน ทางฝั่งหลางไป๋กับซินหลินก็เริ่มเติมวัตถุดิบเข้าร้านและโกดัง
นอกจากนี้ ลู่ซินฟางยังซื้อรถม้าเพื่อสะดวกต่อการขนย้ายข้าวของ
จากการร่วมแรงอย่างแข็งขัน และแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน ในที่สุดร้านค้าขายวัตถุดิบของลู่ซินฟางก็ใกล้จะเปิดทำการแล้ว
คฤหาสน์หลังใหญ่ กลางเมืองเล่ออัน
ภายในสวนอันกว้างขวางของคฤหาสน์ กงเยียนซูอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าเรียบๆ ทว่าผ้าที่ใช้ตัดเย็นชุดกลับเป็นของบรรณาการเฉพาะเชื้อพระวงศ์เนื่องจากเป็นผ้าไหมราคาสูงหลิบ
ระหว่างดื่มด่ำชาหอมๆ กับบรรยากาศสุนทรีย์อยู่ในศาลา กงเยียนซูฟังจิ่นเซี่ยรายงานไปด้วย
“...ข่าวว่าร้านค้าซินหลินกำลังจะเปิดทำการในวันพรุ่งนี้ขอรับ คนงานทั้งหมด นางยังเป็นคนหามาเองขอรับ”
“แหม ตอนแรกข้าคิดว่านางจะมาปรึกษาเรื่องคนงานเสียอีก คาดไม่ถึงว่านางจะมีคนช่วยงานแล้ว”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หญิงหม้ายลูกติดอย่างนางจะสร้างร้านใหญ่โตขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว มิหนำซ้ำ นางยังใช้เวลาเพียงไม่นาน แรกเริ่มที่นางเข้ามาขายสูตรขนม กงเยียนซูยังอ่านความคิดของลู่ซินฟางไม่ออก ไม่รู้เลยว่าแท้จริงนางวางแผนจะทำอะไร
แน่นอนว่า ไม่ใช่มาเพื่อหาเงินเพียง 100 ตำลึงทอง
สายตาของลู่ซินฟางมีความมุ่งมั่น ราวกับมีความคิดอันยิ่งใหญ่ หากก็เรียบง่ายจนคาดไม่ถึง ซึ่งตอนนี้เขารู้แล้ว นางเพียงต้องการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับตัวเอง
ชายหนุ่มวางจอกชาลงพลางกล่าว “นางไม่ธรรมดาเลยว่าไหม จิ่นเซี่ย”
องครักษ์หนุ่มก้มศีรษะตอบ “ขอรับ”
“เห็นทีข้าคงต้องนำของขวัญสมน้ำสมเนื้อส่งไปให้นางเสียแล้ว”
พูดจบ กงเยียนซูมองโฉลดที่ดินของบ้านเจียงที่กางบนโต๊ะ
จิ่นเซี่ยมองตามสายตาของเจ้านาย พอเห็นโฉนดที่ดินของบ้านเจียง ในใจอดคิดเป็นห่วงแม่หม้ายสาวคนนั้นไม่ได้
นายท่านของเขา ต้องการหยั่งเชิงลู่ซินฟางด้วยวิธีนั้นสินะ!?
รู้ทั้งรู้ว่าเจียงลิ่วไม่ชอบลู่ซินฟาง หากบ้านเจียงรู้ว่าลู่ซินฟางถือโฉนดที่นาของตน พวกนั้นได้มาตามตอแยลู่ซินฟางเพื่อขอคืนแน่ๆ
นางไม่มีอำนาจอะไรมาปกป้องตัวเอง แล้วจะทำอย่างไรละทีนี้
ขณะที่จิ่นเซี่ยคิดพลางส่ายหน้าเวทนาในใจ ริมฝีปากบางของกงเยียนซูยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาผุดผายความเจ้าเล่ห์ เป็นสีหน้าที่ย้อนแย้งกันสุดๆ
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ