บทที่ 29
ปักธงเรียกโจร
เหล่าแม่บ้านในชนบทนั้น นอกจากทำงานบ้านกับเลี้ยงลูก เมื่อมีเวลาว่างก็จะมานั่งจับกลุ่มคุยกัน
หลังจากถูกกงเยียนซูสั่งสอนไปคราวก่อนจนกลายเป็นคนมีหนี้ท่วมหัว ฝางลี่ ฮูหยินรองของหัวหน้าหมู่บ้านกับเจียงลิ่วก็ไม่กล้านัดเจอกันอีกเลย
ทว่า…ประเด็นร้อนในช่วงนี้กลับเป็นเรื่องโฉนดที่นาของบ้านเจียงที่ตกไปอยู่ในมือลู่ซินฟาง ด้วยนิสัยชอบนินทาของฝางลี่ พอรู้เรื่องเข้าก็คันปากหยุบหยิบ อยากเล่าต่อให้ใครสักคนฟัง ด้วยทนอยู่เฉยไม่ไหว นางแอบมาพบเจียงลิ่วโดยแสร้งทำทีออกมาซักผ้าที่ลำธารแล้วบังเอิญเจอกัน
“เจียงลิ่ว เจ้ารู้เรื่องโฉนดที่นาของบ้านเจ้าหรือยัง” ฝางลี่เปิดประเด็น
ช่วงนี้สีหน้าของเจียงลิ่วไม่ค่อยสดใสนัก เพราะทะเลาะกับสามีแทบทุกวัน นางจึงถามฝางลี่กลับอย่างขอไปที
“โฉนดบ้านข้าทำไม”
พอเห็นอีกฃ่ายสนใจจะคุยด้วย ฝางลี่ทำท่ากระตือรือร้นขึ้นมา แม้แต่ผ้าก็ไม่ซักแล้ว
“โฉนดบ้านเจียงขอเจ้า ตอนนี้ไปอยู่กับนังแพศ…อยู่กับลู่ซินฟางแล้วน่ะสิ”
เจียงลิ่วถอนหายใจเฮือก คิดว่าฝางลี่กำลังปั้นน้ำเป็นตัว
“โฉนดข้าจะไปอยู่กับนังนั่นได้ยังไง พูดแบบไม่มีหลักฐาน ประเดี๋ยวก็ถูกผู้ชายคนนั้นฟ้องเอาอีกหรอก”
ผู้ชายคนนั้นไม่ใครอื่น คือกงเยียนซูนั่นเอง
เกิดเรื่องคราวก่อน กงเยียนซูฟ้องร้องเจียงลิ่วกับฝางลี่จนเกือบต้องตายในคุก โชคดีที่บ้านเจียงมีที่นาเยอะ เจียงลิ่วใช้โฉนดที่นาติดสินบน กงเยียนซูเลยไม่เอาผิดพวกนางถึงตาย
“เจ้าไม่เข็ด แต่ข้าเข็ด เพราะงั้น ข้าไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว” เจียงลิ่วกัดฟันพูด
ฝางลี่ร้อง “หา!” เสียงดังลั่นเหมือนประท้วง “โอ๊ย นี่ข้าพูดจริงนะ ใครๆ ก็เห็นว่าผู้ชายคนนั้นเอาโฉนดบ้านเจ้าไปให้นางเป็นของขวัญวันเปิดร้าน”
มือที่กำลังขยี้ผ้าชะงักกึก หัวคิ้วขมวดพันกันยุ่ง
“พูดอีกครั้งสิ”
“ข้าก็บอกอยู่ วันเปิดร้านใครๆ ต่างก็เห็นว่าเถ้าแก่กงส่งของขวัญพร้อมโฉนดที่นาบ้านเจ้าให้กับลู่ซินฟาง” ฝางลี่ย้ำคำเดิม “ข้าละคิดไม่ผิด จู่ๆ นางก็กลายเป็นคนมั่งคั่งขึ้นมา ที่แท้ก็ได้รับความเอ็นดูจากเถ้าแก่กง ถึงพวกเขาจะแก้ตัวว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ แต่มาอีหรอบนี้ใครจะเชื่อ”
ฝางลี่ไม่เพียงทำปากยื่นปากยาว ยังพูดขยายความให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย
ประโยคนั้นสร้างความเดือดดาลให้กับเจียงลิ่วเป็นอย่างมาก ในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟสุ่ม
เหตุการณ์ในบ้านตอนนี้ จางต้วน สามีของเจียงลิ่วหันมาควบคุมทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเงินทอง เขาก็ไม่ยอมให้นางได้แตะสักแดง มิหนำซ้ำ ท่านพ่อท่านแม่ยังบ่นให้นางทุกวี่ทุกวัน พูดกรอกหูให้นางไปขอโทษลู่ซินฟาง
ทำไมคนอย่างนางต้องไปขอโทษแม่หม้ายสามีทิ้งนั่นด้วย!
แล้วทำไม คนอย่างลู่ซินฟางได้ดิบได้ดี แต่นางตกต่ำลง
ถ้าได้โฉนดคืนมา อำนาจภายในบ้านก็จะกลับมาเป็นของนางเหมือนเดิม ท่านพ่อท่านแม่จะได้ไม่ต้องมาคอยซ้ำเติมอยู่แบบนี้
พอคิดมาถึงตรงนี้ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบเข้ามาในหัวของเจียงลิ่ว
ถ้าไม่มีโฉนด ก็แค่ไปเอาคืนมาเสีย!
“เจียงลิ่ว ยังฟังข้าอยู่หรือไม่”
ฝางลี่ที่นินทาลู่ซินฟางอย่างสนุกปาก พอเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทำหน้าเหม่อลอยจึงตะโกนถาม
“ฟังอยู่ๆ” เจียงลิ่วตอบกลับพลางทำหน้าหงุดหงิด มือก็ขยี้ผ้าไปด้วย
“ว่าก็ว่าเถอะ เถ้าแก่กงทำแบบนี้เหมือนกำลังกวักมือเรียกโจรไปทางลู่ซินฟาง สรุปแล้ว พวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน” ฝางลี่พูดต่อ
จริงอย่างที่ฝางลี่ว่านั่นแหละ ลู่ซินฟางยังไม่ได้จ้างคนคุ้มกัน เห็นว่าอาศัยในอยู่ที่เรือนหลังร้านกับลูกและสาวใช้ ในบ้านมีแต่ผู้หญิงกับเด็ก พวกนางไม่ถูกปล้นจนถึงตอนนี้ นับว่าโชคดีแล้ว
เจียงลิ่วคิดด้วยสีหน้าเยือกเย็น สักครู่ก็หัวเราะออกมาจนฝางลี่ทำหน้าฉงวย
กับคนบางคน ต่อให้สั่งสอนด้วยไม้แข็งก็ใช่ว่าจะรู้ตัว เจียงลิ่วคิดว่าตนนั้นสูงส่งกว่าลู่ซินฟาง พอเห็นฝ่ายนั้นได้ดิบได้ดีกว่าจึงรู้สึกขวางหูขวางตา ครั้นพอเกิดคดีความขึ้นก็ยิ่งโกรธแค้นลู่ซินฟางเป็นอย่างมาก ตอนนี้ลู่ซินฟางไม่เพียงมีที่นามากกว่าบ้านเจียง นางยังพาคนนอกหมู่บ้านมาทำไร่ทำสวนอย่างเอิกเกริก พอทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ เจียงลิ่วจึงโทษว่าเป็นความผิดของลู่ซินฟาง
คราวนี้ละ นางจะเอาคืนผู้หญิงคนนั้น!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ภายในครัวเล็กๆ อบอวลด้วยกลิ่นหอมฉุยของกับข้าว ไก่ผัดใส่เกาลัดเอย รากบัวตุ๋นเอย ทและยังมีหมั่นโถรูปตัวการ์ตูนน่ารักๆ
หลังจากทำกับข้าวเสร็จแล้ว ลู่ซินฟางปั้นขนมไส้เกาลัดต่อ ตั้งใจจะเอาไปเป็นของว่างให้กับทุกคนที่ร้านกับที่ไร่
ชุนยกอาหารขึ้นโต๊ะ เตรียมถ้วยชามและตะเกียบมาวาง
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ก็ตื่นแต่เช้าตรู่ ก่อนหน้านี้ก็ช่วยท่านแม่ปั้นหมั่นโถด้วยเช่นกัน
แต่ส่วนใหญ่แล้ว เป่าเอ๋อร์ตื่นเช้าเพื่อมากินมากกว่า
“นี่ เจ้าเด็กตะกละ กำลังเคี้ยวอะไรอยู่น่ะ อีกเดี๋ยวก็จะกินข้าวเช้าแล้วไม่ใช่หรือ” เฉิงเอ๋อร์บ่นให้น้องสาวเมื่อเห็นแก้มเล็กๆ ของนางเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่หยุด
“อ้าปากหน่อย พี่ชาย” เป่าเอ๋อร์พูดทั้งที่ยังมีของกินเต็มปาก
“อะไ...”
เฉิงเอ๋อร์ถามไม่ทันจบ บางอย่างก็ถูกยัดเข้าปาก
ของในปากทั้งหวานทั้งอร่อย เด็กชายเคี้ยวไปถลึงตาใส่น้องสาวไป
เป่าเอ๋อร์ยิ้มแฉ่งให้พี่ชาย “เกาลัดคั่วอร่อยหรือไม่”
“...” เฉิงเอ๋อร์ไม่ตอบ
“อร่อยรึเปล่า” เป่าเอ๋อร์เอียงศีรษะถามด้วยสีหน้าสดใส
ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ว่า...
“อร่อยสิ ของกินฝีมือท่านแม่ อร่อยทุกอย่างนั่นแหละ” เฉิงเอ๋อร์ตอบแก้มแดง ก่อนจะเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ต่างจากเป่าเอ๋อร์
“แหะๆ” เป่าเอ๋อร์หัวเราะชอบใจด้วยสีหน้าทะเล้น
ลู่ซินฟางส่ายหน้าน้อยๆ ขณะยิ้มมองเจ้าตัวเล็กทั้งสองคน
“เอาละ คุณหนูทั้งสอง มาเตรียมตัวกินข้าวเช้าได้แล้ว” ชุนจูงมือเด็กๆ ไปที่โต๊ะกินข้าว
“พี่ชุนกินไหม” มือเล็กป้อมของเป่าเอ๋อร์ถือเกาลัดคั่ว ยื่นไปจ่อปากชุน
ชุนรับเกาลัดมา แต่ไม่ได้ส่งเข้าปาก
“เอาไว้หลังกินข้าว ข้าจะกินเกาลัดคั่วต่อนะ”
“อืม” ศีรษะเล็กๆ ของเป่าเอ๋อร์ขยับขึ้นลง
“ไปนั่งประจำที่กันได้แล้ว”
พอเด็กๆ นั่งประจำที่ ด้านลู่ซินฟางปั้นขนมเสร็จพอดี หญิงสาวยกซึ้งขนมขึ้นเตาแล้วปิดฝา ล้างไม้ล้างมือก่อนจะมานั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมกับทุกคน
ระหว่างรอขนมนึ่งเสร็จ ทั้งสี่กินข้าวเช้าอิ่มพอดี
ชีวิตในแต่วัน แม้จะวุ่นวายบ้าง แต่ก็มีความสุขเมื่อมีทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ