บทที่ 31
ผู้บุกรุก
กลางดึกอันเงียบสงัดในคืนหนึ่ง ดวงจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้า
แม้ว่าในช่วงหัวค่ำ เมืองเล่ออันจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ แต่เมื่อถึงกลางดึก บ้านเรือนแต่ละหลังล้วนดับไฟกันหมด
สวบ สวบ…
เสียงฝีเท้าเบากริบดังขึ้นในสวนหลังเรือน
ถึงจะหลับสนิทไปแล้ว แต่เสียงที่เล็ดรอดเข้ามานั้น ทำเอาหูของชุนกระดิกเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเนื่องจากสัมผัสได้ถึงเจตนาร้าย
ท่ามกลางห้องที่มืดสลัว ชุนลืมตาโพล่ง รีบหันไปมองเตียงของเด็กน้อยทั้งสอง
ดีจริง พวกเขายังหลับสนิท…ไม่สิ ตอนนี้ต้องปลุกให้ตื่นต่างหากเล่า!
ชุนลุกขึ้นจากเตียงอย่างปุบปับ ปลุกเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ให้ตื่น
“คุณหนู ตื่นเจ้าค่ะ”
“งือ พี่ชุน…” เป่าเอ๋อร์ขยี้ตาอย่างงัวเงีย
“มีอารายเหรอ” เฉิงเอ๋อร์ลุกขึ้นมานั่ง แต่หัวสัปหงกปรกๆ ด้วยความที่ง่วงมากเลยทำให้พูดไม่ค่อยชัด
ชุนไม่อยากรบกวนช่วงเวลาที่เจ้าหนูทั้งสองกำลังหลับฝันหวานเลยจริงๆ แต่ต้องปลุกให้พวกเขาตาสว่าง
“ทั้งสองคนเงียบๆ ไว้นะ”
ง่วงมากแค่ไหน แต่เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ชุนพูด พวกเขาพยักหน้าเป็นการตอบรับเบาๆ
ชุนพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ “ตอนนี้มีคนบุกรุกเข้ามาในบ้าน เฉิงเอ๋อร์พาน้องไปหลบในตู้เสื้อผ้า ข้าจะไปช่วยนายหญิง”
ดวงตาหรี่ปรือของเด็กชายเบิกกว้างทันที เฉิงเอ๋อร์พยักหน้า แล้วจูงมือน้องสาวไปทางตู้เสื้อผ้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเด็กทั้งสองปีนเข้าตู้เสื้อผ้าไปแล้ว ชุนที่เดินตามหลังมาปิดประตูตู้เบาๆ พร้อมกับย้ำว่า “ต่อให้ข้างนอกเสียงดัง แต่ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าข้าหรือนายหญิงจะเรียกนะ”
“อืมๆ”
เมื่อซ่อนตัวเด็กๆ เรียบร้อย ชุนย่องมาหาลู่ซินฟางที่ห้องของนางต่อ ในตอนนี้ คนข้างนอกกำลังเร้นกายเข้ามาเกือบถึงในตัวเรือนแล้ว
ลู่ซินฟางยังหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอก
แต่นั่นไม่ใช่กับชุน นางเป็นเผ่าหมาป่า หู ตาและจมูกย่อมดีกว่ามนุษย์
“นายหญิง”
ชุนเรียกลู่ซินฟางเสียงเบาที่สุด
“ชุน? มีอะไร”
“มีคนบุกรุก”
ได้ยินแบบนี้สมองของลู่ซินฟางตื่นตัวทันที สิ่งแรกที่นางกังวลคือความปลอดภัยของลูกๆ
“เด็กๆ ล่ะ ชุน”
“ข้าให้แอบในตู้เสื้อผ้าไปก่อน”
ในเวลาปกติ หากพูดถึงเรื่องความสะดวก เรือนเล็กหลังนี้อยู่หลังร้าน ระหว่างทำงานในร้าน ลู่ซินฟางสามารถกลับมาดูแลลูกๆ ได้ เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับระหว่างตัวเมืองกับหมู่บ้าน แต่หากว่าด้วยเรื่องสุดวิสัยเหมือนอย่างตอนนี้ เรือนนี้เล็กเกินไป ไม่มีทางลับให้หนีหรือที่ให้ซ่อนตัว
“คิดแล้วเชียวว่าต้องมีวันนี้” ลู่ซินฟางเริ่มพึมพำกับตัวเอง “พวกนั้นคงเห็นว่าข้าเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียว ในบ้านมีแค่เด็กกับผู้หญิง ข้าควรหาบ้านดีๆ สักหลัง หาคนคุ้มกัน และ...หากคืนนี้ข้าข้ามไปที่มิติ ไม่ได้อยู่กับลูก แล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าไม่อยากนึกถึงสิ่งที่ตามมาเลยจริงๆ”
“นายหญิง ท่านตั้งสติก่อน ท่านเคยฝึกวิชาป้องกันตัวกับท่านหลินมาแล้ว ที่สำคัญ ท่านไม่ได้ตัวคนเดียว ท่านยังมีข้า มีหลางไป๋ สยงจวินและคนอื่นๆ แค่ท่านบอกมาคำเดียว ทุกคนพร้อมจะอยู่เคียงข้างท่านนะ!” ชุนเตือนสติ
ประโยคนั้นทำเอาหัวใจของลู่ซินฟางร้อนวาบ ก่อนหน้านี้กังวลและตื่นตระหนกเกินเหตุ สมองของนางจึงสับสน แต่พอได้ยินคำพูดของชุน นางถึงรู้ว่าไม่ได้ตัวคนเดียว
มิตรภาพของลู่ซินฟางกับสหายต่างมิติไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้น การใช้คำว่า ‘ตัวคนเดียว’ ออกจะเสียมารยาทกับพวกเขา
อีกอย่างหนึ่ง ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ให้พวกเด็กๆ หลบในตู้เสื้อผ้ายังดีกว่าไม่มีอะไรกำบัง
ลู่ซินฟางสูดหายใจลึก “ข้าสติแตกไปหน่อย ขอบใจมากนะชุน เจ้าตัดสินใจได้ดีมาก”
ว่าจบ ลู่ซินฟางก้าวไปหยิบธนูที่แขวนบนผนัง
อาวุธหนึ่งเดียวที่ลู่ซินฟางถนัดก็คือธนู ยามนี้เป็นเวลากลางดึก ข้างนอกมืดสนิทเช่นนี้ ไม่รู้ว่าใช้ธนูสู้กับคนร้ายจะเป็นประโยชน์หรือจุดอ่อนกันแน่ แถมไม่รู้ว่าจะยิงเข้าเป้าหรือไม่
พอคิดถึงสภาพแววดล้อมที่ไม่อำนวยต่ออาวุธ ความคิดของลู่ซินฟางก็ดิ่งวูบอีกแล้ว
ด้วยความที่เป็นเผ่าหมาป่า ทั้งยังเป็นสัตว์อสูร ชุนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหดหู่ที่แผ่ออกมาจากตัวของเจ้านาย นางจึงยื่นมือไปแตะแขนของลู่ซินฟาง “ข้าบอกตำแหน่งให้ท่านได้”
ลู่ซินฟางกลับมามีสติอีกครั้ง แววตาที่ไม่มั่นคงในตอนแรก กลับกลายเป็นความมุ่งมั่น
เห็นเจ้านายมีท่าทีฮึกเหิม ชุนยกมีดสั้นขึ้น ตั้งท่าเตรียมจะโจมตีคนข้างนอก
ทั้งสองย่องไปทางประตูแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆ จากนั้นลู่ซินฟางยื่นมือออกไปแง้มประตูเปิดออกอย่างช้าๆ
กลิ่นอายของคนบุกรุกชัดเจนมาก คาดว่าน่าจะเข้ามาใกล้เรือนทุกทีแล้ว
“ผู้บุกรุกมีทั้งหมดสี่คน หลังต้นไม้ฝั่งขวากำลังยืนดูลาดเลาหนึ่งคน อยู่ในลานหลังบ้านสองคน ใกล้เข้ามาแล้ว บนหลังคากำแพงอีกหนึ่ง แต่ข้าสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้าย” ชุนรัวเสียงพูด
ภายใต้แสงจันทร์ รอบด้านมืดสลัว ลู่ซินฟางคุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่ง ยืดหลังตรงอย่างมั่นคง จากนั้นง้างธนูออก แววตาของนางไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
จิ่นเซี่ยซ่อนตัวอยู่บนหลังคาของกำแพง โดยมีต้นไม้สูงที่เติบโตข้างกำแพงกำบังกาย
ความที่โตมาในสำนักของผู้ฝึกวรยุทธ์ สายตาจึงเฉียบคมกว่าคนทั่วไป ทันทีที่เห็นท่าทางง้างธนูของลู่ซินฟาง จิ่นเซี่ยถึงกับตะลึงงัน
นั่นเป็นการตอบสนองของหญิงหม้ายผู้อ่อนแอแน่หรือ?
ทั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายครั้งแรก แต่นางกลับไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมา ไหนจะท่าทางเล็งธนูนั้นอีก ไม่ใช่ท่าทางของคนที่เพิ่งหัดใช้ธนูครั้งแรกเลย
ขณะกำลังคิดอย่างสงสัย ทันใดนั้น เสียงธนูดังแหวกอากาศ
ฟิ้ว...
เมื่อสติกลับมา จิ่นเซี่ยตระหนักได้ถึงเป้าหมายของตน
ใช่แล้ว เขาควรปกป้องบ้านนี้ ไม่ใช่มัวเหม่อ
เพิ่งคิดเช่นนั้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของโจรก็ดังขึ้น
“อ๊าก!!”
จอมยุทธ์หนุ่มเบิกตามองลู่ซินฟาง ก่อนสายตาจะเลื่อนไปทางผู้บุกรุก
โจรหนึ่งในสองที่กำลังย่องเงียบเข้ามาถึงลานบ้านถูกยิงเข้าที่น่องขาพอดิบพอดี โจรอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ รีบพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้น
คนที่กำลังดูลาดเลาวิ่งออกมาจากหลังต้นไม้ ช่วยกันพยุงคนถูกยิงแล้วพากันออกจากบ้าน
“ไหนว่ามีแค่เด็กกับผู้หญิง” คนถูกยิงกัดฟันถามอย่างเดือดดาล
“ไม่รู้โว้ย เรื่องนั้นช่างก่อน ตอนนี้รีบหนี...”
พวกมันพูดได้เพียงเท่านั้น
สาวใช้ถือมีดสั้นพุ่งออกจากตัวเรือนด้วยความเร็ว ชนิดที่จิ่นเซี่ยที่มีวรยุทธ์ชั้นสูงยังเกือบมองตามไม่ทัน
แต่ถึงนางจะมีมีดสั้นในมือ กลับไม่ได้ใช้มีดสั้นนั้นโจมตีใส่โจร เท้าที่มีความว่องไวของนางทั้งเตะทั้งถีบ สองมือกางกงเล็บตะกรุยใส่หน้า จนพวกมันถึงกับลงไปหมอบ
ลู่ซินฟางวิ่งออกมาตามหลัง นางง้างธนู และเล็งไปที่หัวโจรคนหนึ่ง พูดเสียงเย็นยะเยือก
“อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากตาย”
สถานการณ์พลิกผัน ฝ่ายบุกรุกทั้งสามตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
จิ่นเซี่ยตะลึงรอบที่สอง
แต่...
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะคนที่ดึงโจรพวกนี้เข้าบ้านของนางก็คือเจ้านายของเขาเอง!
พรึ่บ!
จอมยุทธ์หนุ่มกระโดดลงมาจากหลังคากำแพง
ทันใดนั้น ทั้งธนูทั้งมีดสั้นเล็งเป้ามาทางจิ่นเซี่ย
จอมยุทธ์หนุ่มยกสองมือขึ้น ให้เห็นว่าตนไม่ได้มาร้าย
“เถ้าแก่เนี้ยลู่ ข้าคือองครักษ์ของนายท่านกง ข้าไม่ได้มาร้าย”
ว่ากันตามสถานการณ์ เมื่อเห็นคนเข้ามาช่วย คนส่วนใหญ่จะแสดงสีหน้าโล่งใจ แต่ลู่ซินฟางกลับมองจิ่นเซี่ยด้วยความผิดหวัง
จอมยุทธ์หนุ่มตระหนักทันที
เจ้านายของตน ลองใจคนผิดเสียแล้ว!
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ