บทที่ 37
จอมยุทธ์ที่ซื่อตรง จิ่นเซี่ย
‘คนปากยื่นปากยาว’ คนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นางคือฝางลี่ ภรรยารองของหัวหน้าหมู่บ้าน
หลางไป๋ใช้ความสามารถสืบจนรู้ความ คนที่นำเรื่องโฉนดไปแพร่งพราย แถมยังยุแยงให้เจียงลิ่วหาเรื่องลู่ซินฟางก็คือผู้หญิงที่ชื่อฝางลี่คนนี้
เจียงลิ่วได้รับโทษทัณฑ์ของนางอย่างสาสม แต่คนยุแยงอย่างฝางลี่ยังลอยนวลอยู่ในหมู่บ้าน
จากเรื่องในครั้งนี้ทำให้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์ บ้านเจียงตกอับ สิ้นเนื้อประดาตัว ต้องกลายมาเป็นคนงานในสวนของลู่ซินฟาง ส่วนเจียงลิ่วเป็นหม้าย ถูกสามีหย่า แต่แทนที่ฝางลี่จะรีบวิ่งไปปลอบใจสหาย กลับทำท่าทีรังเกียจและมองเจียงลิ่วด้วยสายตาเหมือนกำลังสมน้ำหน้า
พอฟังหลางไป๋เล่าจนจบ ลู่ซินฟางก็ยิ่งคันไม้คันมือ
ในเมื่อฝางลี่ชอบสอดปากยุแหย่คนนั้นทีคนนี้ที เช่นนั้นก็จัดการกับปากของนางนี่แหละ ทำให้พูดเรื่องคนอื่นไม่ได้อีกเลยยิ่งดี
หลังจากหลางไป๋ผละออกไป ลู่ซินฟางครุ่นคิดถึงแผนจัดการกับฝางลี่ที่แยบยลที่สุด ระหว่างนั้น จู่ๆ ชายแขนเสื้อของลู่ซินฟางก็ถูกดึง
นางก้มมองต้นตอ เห็นว่าเป็นเจ้าตัวน้อยเป่าเอ๋อร์ที่กอดห่อผ้า แก้มป่องเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้า
ลู่ซินฟางยิ้มอ่อนโยน แล้วย่อเข่าลง ถามเจ้าตัวเล็กว่า “เป่าเอ๋อร์ เป็นอะไรไปหรือลูก”
“คือ...คือว่า...เจ้าผักกาดน้อยกับเจ้าขาว แล้วก็เจ้าตัวเล็กพวกนั้น...จะย้ายมาอยู่ที่นี่กับพวกเราหรือไม่”
เป่าเอ๋อร์หมายถึงผักกาดขาวกับหัวไชเท้าที่เอาลงดินปลูกไว้ในแปลงข้างเรือนเล็กหลังร้าน ส่วนเจ้าตัวเล็กที่ว่าก็คือผักบุ้งและกวางตุ้ง ผักพวกนั้นเป่าเอ๋อร์กับชุนช่วยกันดูแล ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน พืชผักในสวนเล็กๆ ก็เติบโตเป็นต้นกล้าแข็งแรง เด็กน้อยคงคิดว่าย้ายบ้านครั้งนี้จะไม่ได้ดูแลผักพวกนั้น ถึงได้มาถามลู่ซินฟาง
หญิงสาวลูบแก้มกลมๆ นุ่มนิ่มของเป่าเอ๋อร์ “แม่ไม่ได้จะทอดทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นเสียหน่อย เรือนหลังนั้น พวกเจ้าเข้าออกได้ตลอดนั่นละนะ ถึงเวลาเจ้าก็ให้พี่สาวชุนพาไปรดน้ำ ดูแลเหล่าสหายได้อย่างเต็มที่ไม่ใช่หรือ อีกอย่าง ดูจากระยะเวลา ผักกาดน้อยของเจ้าเติบโตจนเก็บเกี่ยวได้แล้วนี่น่า เจ้าอยากเก็บเกี่ยวด้วยตัวเองหรือไม่”
“เก็บเกี่ยวหรือ” ดวงตาเศร้าๆ ของเป่าเอ๋อร์เป็นประกายขึ้นมาทันที
“เมื่อผักที่ปลูกเติบโตได้ที่ก็ต้องเก็บเกี่ยว ลูกสาวแม่ เจ้าทะนุถนอมปลูกผักพวกนั้นมาก แล้วเจ้า...จะกินผักพวกนั้นได้จริงๆ หรือ”
“ข้าจะเก็บเกี่ยว แล้วก็จะกินด้วย!”
ได้ฟังคำมุ่งมั่นของเจ้าตัวน้อย รอยยิ้มของลู่ซินฟางถึงกับแข็งทื่อ
ถึงจะเป็นหลักการธรรมชาติ มนุษย์ปลูกพืชไว้กิน แต่ลองนึกภาพว่าเด็กน้อยคนหนึ่งอุตส่าห์ตั้งชื่อให้ผักของนางทุกต้น แล้วยังประคับประหงมดูแลกับมือจนพวกมันเติบโต สุดท้ายผักพวกนั้นก็ลงไปอยู่ในกระเพาะของคนปลูก ออกจะน่าหดหู่นิดหน่อยไม่ใช่หรือ
แม้จะรู้สึกสงสารสหายผักของเป่าเอ๋อร์ แต่ในขณะเดียวกัน ลู่ซินฟางก็นับถือใจมุ่งมั่นในความชอบกินของเด็กน้อยด้วย
นางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกสาวด้วยความเอ็นดู
เจ้าตัวน้อยยิ้มแฉ่ง แก้มกลมขาวนุ่มนิ่มเหมือนซาลาเปาไม่มีผิด
ในตอนนั้น ชุนวิ่งเข้ามารายงานลู่ซินฟาง “นายหญิง เจ้าคนน่าสงสัยมาเจ้าค่ะ!”
ลู่ซินฟางขมวดคิ้วทันที “ใคร?”
“คนติดตามของกงเยียนซู”
คราวนี้จะอะไรอีก!?
ลู่ซินฟางลุกขึ้นยืน ส่งเป่าเอ๋อร์ให้ชุนดูแลต่อ ก่อนก้าวช้าๆ ไปข้างหน้า
จิ่นเซี่ยก้มศีรษะให้กับลู่ซินฟางทันทีที่เห็น ท่าทางเช่นนั้นไม่ได้แฝงเจตนาร้าย หญิงสาวจึงผ่อนคลายความระแวงลง
“ท่านจอมยุทธ์มาถึงที่นี่ มีธุระอะไรหรือ”
“ท่านเรียกข้าว่าจิ่นเซี่ยก็ได้ขอรับ” ชายหนุ่มบอกด้วยท่าทีมีมารยาท “เห็นว่าพวกท่านกำลังย้ายบ้าน ข้าจึงมาช่วยอีกแรง”
คำตอบของจิ่นเซี่ยทำเอาดวงตาคู่สวยของลู่ซินฟางหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นแบบนั้น จิ่นเซี่ยรีบโบกมือแล้วแก้ตัว ก่อนที่ลู่ซินฟางจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ “ข้าไม่ได้แอบสืบเรื่องของเถ้าแก่เนี้ยลู่ แค่เดาว่าท่านน่าจะย้ายบ้านในวันสองวันนี้ เมื่อครู่ก็เลยไปที่ร้านซินหลิน เห็นร้านปิดพอดี ทั้งคนของท่านก็กำลังย้ายข้าวของกันอยู่ เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละขอรับ”
พูดพร้อมกับมองไปยังลานกว้างของคฤหาสน์ สายตาสอดส่องราวกับกำลังหาอะไร
ลู่ซินฟางมองตามสายตาของจิ่นเซี่ย ชายหนุ่มหยุดสายตาที่ร่างของชุนกับเป่าเอ๋อร์
“อย่างที่เจ้าเห็น ที่นี่มีคนเยอะแล้ว ข้าขอรับแค่น้ำใจก็พอ”
“ขอรับ”
แม้ได้รับคำตอบอย่างหนักแน่น แต่จิ่นเซี่ยไม่ยอมออกจากคฤหาสน์ สายตาของชายหนุ่มยังคงมองชุน ลู่ซินฟางอดใจอยากรู้ไม่ได้จึงถาม
“มีอะไรกับคนของข้าหรือ”
“สาวใช้ของท่านคนนั้น...”
จิ่นเซี่ยยังพูดไม่ทันจบ ลู่ซินฟางแทรกว่า “นางเป็นคนในครอบครัว เรียกว่าพี่เลี้ยงเด็กจะถูกต้องกว่า”
“อ๋อ ข้าใช้คำพูดผิดเอง เถ้าแก่เนี้ยลู่อย่าได้ถือสา”
ชุนไม่ใช่คนรักสวยรักงาม เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นแบบเรียบๆ สีหม่นๆ ในสายตาของคนอื่น ชุนดูเหมือนสาวใช้จริงๆ นั่นแหละ ถูกเข้าใจผิดก็ไม่แปลก เห็นทีคงต้องหาเวลาจับชุนแต่งตัวเสียใหม่
“แล้ว...มีธุระอะไรกับชุนหรือ”
“ข้ามีบางอย่างอยากถามนาง”
ได้ยินเช่นนั้น ลู่ซินฟางมองจิ่นเซี่ยด้วยความระแวงอีกหน ดูอย่างไรก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือคืนนั้นชุนได้เผยร่างจริงออกมา!
ทันใดนั้นจิ่นเซี่ยตระหนักได้ว่าคำตอบของตนฟังดูกำกวมเกินไป เขาผละสายตาจากชุน เปลี่ยนมาพูดกับลู่ซินฟางว่า “จริงๆ แล้วข้าอยากถามนางว่าเรียนวรยุทธ์มาจากสำนักใดขอรับ”
ลู่ซินฟางจ้องมองชายหนุ่ม แววตาของจิ่นเซี่ยส่องประกายวิบวับ ดูแล้วไม่ได้โกหก นางชั่งใจครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะไปเรียกนางมาให้”
“ขอบคุณขอรับ นายหญิง!”
หือ?
แค่บอกว่าจะตามชุนมาให้ เขาเปลี่ยนมาเรียกนางว่า ‘นายหญิง’ เลยเหรอ
เจ้าหนุ่มคนนี้ นอกจากเป็นจอมยุทธ์ที่ซื่อตรง ยังหัวไวอีกด้วยแหะ
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ