บทที่ 38
เลี้ยงไก่ (ครึ่งแรก)
“ข้ามีเวลาให้เจ้าแค่หนึ่งคำถาม มีอะไรจะถามก็รีบๆ หน่อย ข้าไม่ว่าง”
ชุนรัวเสียงพูดเหมือนไม่อยากเสียเวลากับมนุษย์มากนัก
ตรงกันข้ามกับจิ่นเซี่ย ชายหนุ่มเบิกตามองชุนด้วยความตื่นเต้น ซ้ำยังเอาแต่ยืนอึ้ง และจ้องมองนางเช่นนั้น
เท่าที่จับสัมผัสด้วยกลิ่นอาย ชายที่ชื่อจิ่นเซี่ยคนนี้ไม่ได้มาที่นี่ด้วยเจตนาที่มุ่งร้าย แต่พวกมนุษย์มีนิสัยใจคอสุดจะหยั่งถึง ไว้ใจไม่ได้สักคน หากไม่ใช่เพราะนายหญิงบอกว่าคนผู้นี้ต้องการคุยด้วย นางก็ไม่อยากจะเสียเวลาด้วยเลยจริงๆ
“เร็วสิ รีบถามมา” ชุนเอ่ยเร่งจิ่นเซี่ยให้รีบๆ พูด
“เอ่อ...” ชายหนุ่มส่งเสียงลังเลก่อนจะถามออกมา “ข้าอยากรู้ว่าวรยุทธ์ของเจ้าร่ำเรียนมาจากสำนักใด”
เป็นคำถามชวนเข้าใจยาก ชุนมุ่นหัวคิ้วพร้อมกับทวนว่า “สำนักคืออะไร”
“สำนักก็คือสถานที่ที่เจ้าฝึกวรยุทธ์หรือวิชาการต่อสู้ ในคืนที่มีโจรบุกรุกเข้าร้านซินหลินของพวกเจ้า ข้าเห็นกับตาว่าฝีเท้ากับหมัดของเจ้าว่องไวมาก ข้าก็เลยสงสัย ว่าเจ้าเรียนวิชาหมัดมวยพวกนั้นมาจากที่ใด”
“พวกเราเกิดมาก็ว่องไวอยู่แล้ว” ชุนตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
จิ่นเซี่ยหลุบตามองพื้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด สักครู่ก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจแจ่มแจ้ง “อย่างนี้เอง เป็นความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือดหรอกหรือ”
“ก็คงใช่”
เป็นปกติของหมาป่าที่จะมีฝีเท้าว่องไว จะเข้าใจอย่างนั้นก็ย่อมได้
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับคำตอบ”
ชุนเอียงศีรษะ “แค่นี้เองหรือ”
“ข้าชื่นชอบวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เลยสนใจเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษ ฝีมือของเจ้าไม่เหมือนกับสำนักใดที่ข้ารู้จักจึงได้มาสอบถามเผื่อจะได้เรียนรู้เพิ่มเติม อ้อ...พวกเจ้ากำลังยุ่งกันอยู่ ให้ข้าช่วยย้ายของดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็นหรอก”
คำตอบของชุนไม่ได้ประชดหรือแฝงความรังเกียจ แต่จิ่นเซี่ยไม่จำเป็นต้องช่วยจริงๆ เพราะในที่นี้มีคนช่วยเยอะแล้ว
จิ่นเซี่ยเองก็ไม่ใช่คนคิดหยุมหยิม หลังจากพิจารณาแล้วจึงบอกว่า “เช่นนั้นเอาไว้ขอข้ามาคุยเรื่องวรยุทธ์กับเจ้าอีกได้หรือไม่”
“ข้าก็บอกอยู่นี่ไงว่านั่นไม่ใช่วรยุทธ์ เป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้านายหญิงอนุญาตให้เจ้ามาที่นี่ได้ ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอก”
“ขอบใจเจ้ามาก”
คุยกันเพียงครู่เดียว จิ่นเซี่ยก็ขอตัวลากลับ
ชุนเป็นหมาป่าสาวที่มีนิสัยซื่อตรง หน้าตาถือว่าน่ารัก อายุเหมาะสมจะออกเรือนได้แล้ว ในโลกต่างมิติก็มีหมาป่าหนุ่มมาติดพัน แต่ชุนไม่สนใจเรื่องรักใคร่ นางจึงยังโสดมาจนถึงตอนนี้
ในระหว่างที่ลู่ซินฟางยืนมองชุนกับจิ่นเซี่ยคุยกันนั้น หลางไป๋จูงมือเฉิงเอ๋อร์เดินผ่านมาพอดี
ตอนแรกหลางไป๋จะปรึกษาเกี่ยวกับห้องเรียนของเด็กๆ แต่พอเห็นชุนพูดคุยกับหนุ่มชาวมนุษย์ เขาจึงเอ่ยกับลู่ซินฟางด้วยรู้ทัน
“ข้าได้กลิ่นตุๆ มาจากผู้ชายคนนั้น”
กลิ่นตุๆ ที่ว่าก็คือกลิ่นความรัก!
ลู่ซินฟางยิ้มน้อยๆ แล้วหันมาบอก “อืม ข้าก็คิดเหมือนกับกับเจ้า แต่ก็นะ เป็นเรื่องปกติของวัยหนุ่มสาว พวกเราได้แค่มองดูอยู่ห่างๆ นั่นละ”
หลางไป๋ตอบว่า ขอรับ จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่อะไรหรอกขอรับ ข้าก็แค่รู้สึกสงสารผู้ชายคนนั้น ชุนไม่สนใจเรื่องความรักเสียด้วย เขาจะตัดใจก่อนที่จะทำให้ชุนใจอ่อนหรือเปล่า”
“ใครจะรู้ บางทีอาจมีสักคนทำให้ชุนสนใจก็เป็นได้”
“นั่นสิขอรับ”
“เอาเถอะ ใครจะรักใครปล่อยให้เป็นเรื่องวาสนาของแต่ละคนแล้วกัน พวกเรามาทำหน้าที่ของตัวเองจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายกันดีกว่า” ลู่ซินฟางบอก
หลางไป๋พยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วเข้าประเด็นสำคัญ “นายหญิงขอรับ เรื่องห้องเรียนหนังสือ เอาเป็นเรือนไหนดีขอรับ”
“ควรเป็นเรือนที่แสงสว่างส่องถึง บรรยากาศรอบๆ ต้องรื่นรมย์สบายตาทำให้รู้สึกอยากเรียน เรือนต้องอยู่ไม่ไกลมาก รองรับได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เจ้าเลือกเรือนที่เหมาะสมได้เลย”
“ขอรับ”
ไม่เพียงเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ที่ได้รับการเรียนการสอน ลู่ซินฟางอยากให้สัตว์อสูรเหล่านี้ได้เรียนหนังสือด้วย แต่แน่นอนว่า พวกเขาต้องเต็มใจนะ
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ