บทที่ 47
ให้อภัย (ครึ่งหลัง)
“หรือคิดจะมารังแกคน?” สยงอู๋แสยะยิ้ม กำหมัดด้วยท่าทีข่มขู่
“อึ๋ย…” เจ้าคนแอบมองตัวน้อยขนลุกซู่ รีบส่ายหน้ารัวๆ ร้องอย่างไม่เป็นธรรม “ใครกันแน่ที่รังแกคน!”
สยงอู๋ย่นหัวคิ้ว อ้าปากเตรียมเตรียมถามต่อ
แต่แล้ว เจ้าคนแอบมองกลับลุกขึ้นพื้นด้วยความเร็วรี่ หมุนตัวได้ก็วิ่งหนีไปโดยทันที
ลู่ซินฟางส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ
ฟังแค่เสียงก็รู้ว่าเด็กคนนั้นคือตงตง แม้ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านั่นถึงมาแอบมอง แต่ลู่ซินฟางก็ไม่ได้ใจถึงขั้นจะลุกขึ้นถาม หรือแสร้งทำทีเป็นเอ็นดูเด็กที่เคยรังแกลูกๆ ของนาง
ระหว่างที่เหนียงซิ่นกับลูกชายคนเล็กสยงเหยาช่วยกันเก็บถ้วยชามเข้าครัวไปล้าง สยงอู๋ก็เดินกลับมา เล่าให้ลู่ซินฟางฟังว่า เจ้าเด็กที่ชื่อตงตงคนนั้น แม้ไม่ได้มารังแกคน แต่ก็ชอบมาแอบดูพวกเขาทุกวี่ทุกวัน พอถามว่ามาทำไม เด็กนั่นก็วิ่งหนีไปเสียก่อน
“ไม่ได้ขโมยของใช่หรือไม่” ลู่ซินฟางถามเมื่อฟังจบ
สยงอู๋ส่ายหน้าแล้วตอบ “ไม่ได้ขโมยอะไรขอรับ แต่บุกรุกพื้นที่คนอื่น แล้วยังมาแอบดูได้ทุกวี่ทุกวัน น่ารำคาญ แถมยังเป็นการรบกวนด้วยขอรับ”
ลู่ซินฟางเท้าคาง พยักหน้าเห็นด้วย
“มันก็น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละนะ”
“ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์กระตุกเสื้อของมารดา
“อยากจะพูดอะไรหรือ เฉิงเอ๋อร์?”
“ตงตงเปลี่ยนไป”
นางเลิกคิ้ว เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เฉิงเอ๋อร์จะสื่อ
“หมายความว่ายังไง”
“ผอมลง แล้วก็ไม่มีเพื่อน”
อ๋อ แบบนี้เอง
เฉิงเอ๋อร์คงอยากจะบอกว่าตงตงคนที่ทำตัวเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กๆ ในหมู่บ้าน ปกติจะมีลูกสมุนตามก้นต้อยๆ แต่ตอนี้กลับไปไหนมาไหนคนเดียว แถมร่างกายยังซูบผอมจนเด็กเล็กอย่างเฉิงเอ๋อร์ยังสังเกตเห็น เช่นนั้นก็คงไม่ปกติ
จะว่าไป ตอนนี้จางต้วนเลี้ยงลูกคนเดียว พวกเด็กจะอดมื้อกินมื้อหรือเปล่านะ?
ลู่ซินฟางคิดอย่างสงสัย ถึงอย่างนั้น ก็มีความขัดแย้งอยู่บ้าง
จางต้วนรักลูกๆ ของเขามาก ไม่มีทางปล่อยให้อดมื้อกินมือ้หรอกกระมัง เช่นนั้นแล้ว สาเหตุเกิดจากอะไรกันล่ะ
ในขณะที่ลู่ซินฟางคิดหาสาเหตุ นางก็เห็นว่าเฉิงเอ๋อร์เอาแต่จ้องมองแม่คนนี้มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คงมีบางอย่างอยากจะพูดอีกสินะ
“เฉิงเอ๋อร์ เจ้าอยากแม่ทำอะไรหรือ”
“ท่านแม่ไปดูตงตงได้หรือไม่”
“มีน้ำใจจริงๆ ลูกแม่” ลู่ซินฟางเอ่ยชมลูกชาย หากเพียงครู่ ก็เปลี่ยนมาปั้นหน้าขึงขังแล้วถาม “แต่ว่านะ ตงตงเคยรังแกพวกเจ้าสองพี่น้อง ทำไมถึงอยากให้แม่ไปดูตงตงด้วย”
“ท่านน้าไป๋สอนว่าจะเป็นคนดีต้องมีเมตตาและมากด้วยน้ำใจ” เฉิงเอ๋อร์ตอบ
“ต้องให้อภัยด้วย!” เป่าเอ๋อร์พูดเสริม
“แม่ขอถามกลับบ้าง พวกเจ้าให้อภัยสิ่งที่ตงตงทำไว้จริงหรือ ไม่โกรธที่เขาเคยพูดจาดูถูกพวกเจ้า และยังพาแม่ของเขามารังแกแม่?” ลู่ซินฟางถามลูกๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
เด็กทั้งสองหันมองหน้ากัน เหมือนจะไม่เข้าใจคำถาม ลู่ซินฟางจึงเปลี่ยนคำพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น “พวกเจ้าลืมสิ่งที่ตงตงทำกับพวกเจ้าแล้วจริงหรือ”
“ไม่ลืม”
“ถ้าอย่างนั้น ยังจะให้อภัยเขาอยู่หรือไม่”
เด็กๆ ก้มหน้าเงียบ ผ่านไปสักครู่ พวกเขาก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พยักหน้า
ลู่ซินฟางทอดถอนใจยาวๆ ก่อนจะบอก “การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็ต้องมีขอบเขต แม่ไม่ได้สอนให้พวกเจ้าผูกใจเจ็บ กลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น อนาคตข้างหน้า พวกเจ้าอาจเจอเรื่องที่ตัดสินยากยิ่งกว่านี้ ลองชั่งใจ คิดทบทวนดีๆ อีกครั้ง ถ้าพวกเจ้ายังยืนยันว่าจะให้อภัยตงตง แม่จะยอมไปดูเด็กคนนั้นสักครั้ง”
ถึงเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่เด็กทั้งสองไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน
พวกเขาเงียบคิดกันอีกรอบ แต่คำตอบก็เหมือนเดิม
“ตอนนี้พวกเรามีชีวิตดีกว่าเมื่อก่อนแล้ว มีพี่อู๋ พี่ซินหลิน พี่เหยา พี่อวิ๋นและคนอื่นๆ เยอะแยะเลย ตงตงไม่มีทางมารังแกพวกเราได้อีกแล้ว เพราะงั้นข้าถึงไม่กลัวตงตงแล้วขอรับ” เฉิงเอ๋อร์บอกอชจากใจจริง
“ได้อยู่กับท่านแม่ ได้กินของอร่อย เห็นท่านแม่มีความสุข พวกเราก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” เป่าเอ๋อร์ยิ้มอย่างไร้เดียงสา
คำตอบนั้นทั้งเรียบง่ายและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
อีกอย่างหนึ่ง เด็กๆ ไม่ควรมารับเคราะห์ที่พ่อแม่ก่อไว้
มีคำกล่าวว่าเด็กเหมือนผ้าขาว ถูกผู้ใหญ่ย้อมให้เป็นแบบไหน โตมาก็กลายเป็นสีนั้น ตงตงถูกเจียงลิ่วเลี้ยงจนเสียคน อายุ 8 ขวบก็เกเรขนาดนี้ ด้วยเหตุนั้น จางต้วนจึงหย่าขาดกับเจียงลิ่วแล้วตัดสินใจเลี้ยงลูกเอง
อย่างไรก็ตาม จางต้วนก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้เจียงลิ่วหรือคนบ้านเจียงเข้าใกล้เด็กๆ พวกเขายังไปมาหาสู่กันอยู่ เพียงแต่การอบรมเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของจางต้วนเท่านั้น
“เข้าใจแล้ว แม่จะไปบ้านจาง พวกเจ้าอยากไปกับแม่หรือไม่”
เด็กน้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน “อยากไป!”
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ