บทที่ 48
มอบโอกาส (ครึ่งแรก)
“ซาลาเปาไส้เนื้อตามที่สั่งเจ้าค่ะ” เหนียงซิ่นยื่นกล่องใส่อาหาร ข้างในมีซาลาเปาไส้เนื้อหลายลูกให้กับลู่ซินฟาง “คุณชายกับคุณหนูมีจิตงดงามเหมือนกับนายหญิงเลยนะเจ้าคะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก งั้น…ข้าไปก่อนนะ”
ลู่ซินฟางรับกล่องซาลาเปามาจากเหนียงซิ่น ก่อนจะพาลูกทั้งสองมาที่บ้านของจางต้วน
เหนียงซิ่นมองตามหลังทั้งสาม
ถึงนายหญิงจะปฏิเสธคำชมเหล่านั้นเสมอ แต่หากไม่ใช่ความใจดีของนายหญิง พวกสัตว์อสูรก็ไม่มีที่ที่เป็นของตัวเองเหมือนทุกวันนี้
ย้อนกลับมาเรื่องของจางต้วน หลังจากชายหนุ่มแต่งงานแล้วแยกบ้าน เขาก็ได้ที่ดินมา 8 หมู่ (2 ไร่กว่า) เอาไว้ทำกิน กับเงินอีกจำนวนหนึ่ง
ที่ดินบ้านจางมีน้อยและเทียบกับบ้านเจียงไม่ติด เวลานั้นคนในหมู่บ้านเรียกจางต้วนว่า ‘เขยตกถังข้าวสาร’ แต่เขาก็พิสูจน์ตัวเองด้วยความขยัน ปลูกข้าว ทำเกษตรเลี้ยงดูลูกและภรรยา สินเดิมของเจียงลิ่วที่ได้มาตอนแต่งงาน จางต้วนไม่เคยแตะต้องสักแดงเดียว นับเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง
ลู่ซินฟางย้อนคิดเรื่องของจางต้วนด้วยความทรงจำของลู่ซินฟางคนเก่า พอคิดมาถึงตรงนี้ นางกับลูกๆ ก็เดินมาถึงบ้านของจางต้วนพอดี
เพราะเป็นเวลาสายมากแล้วกระมัง งานในสวนที่ต้องทำตั้งแต่เช้าคงทำเสร็จแล้ว จางต้วนถึงนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้กับเม่ยเม่ย
ลู่ซินฟางเดินตรงเข้าไปหา
ในขณะเดียว จางต้วนเห็นลู่ซินฟางกับลูกๆ เดินมาทางนี้พอดี เขาจึงยืนขึ้น แล้วเดินออกมาจากร่มไม้สามสี่ก้าวก่อนทักทาย
“ซินฟางนี่นา มีธุระหรือ”
เม่ยเม่ยยืนขึ้น รีบวิ่งมาหลบหลังพ่อของนาง
หากจำไม่ผิดเม่ยเม่ยอายุ 6 ขวบ มองเผินๆ มีส่วนคล้ายเจียงลิ่วอยู่บ้าง หน้าตาน่ารัก แถมยังเรียบร้อย ถอดแบบมาจากพ่อมากกว่าแม่สินะ
“วันนี้มาดูสวนหรือ เอ่อ หรือข้าควรเรียกเจ้าว่าเถ้าแก่เนี้ยลู่ดีล่ะ?” จางต้วนถาม แต่แล้วก็ลังเลกับคำเรียก
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องคิดมากหรอก เรียกข้าเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“เช่นนั้นก็ได้”
ด้วยความเป็นหนุ่มชนบท จางต้วนจึงชินกับการพูดอย่างเป็นกันเองมากกว่า
“ข้าเอาซาลาเปาไส้เนื้อมาฝากตงตงกับเม่ยเม่ย” พูดถึงตรงนี้ ลู่ซินฟางโค้งเอวลงพูดกับเด็กหญิงที่แอบหลังบิดา “เม่ยเม่ยกินข้าวเที่ยงหรือยัง สนใจซาลาเปาของน้าไหมจ๊ะ”
เม่ยเม่ยยังคงแอบหลังจางต้วน ดวงตากลมโตของเด็กหญิงชำเหลืองมองลู่ซินฟางอย่างระแวง
เป่าเอ๋อร์เอียงศีรษะ แล้วพูด “ซาลาเปาอร่อยมากเลยนะ ไม่อยากกินหรือ”
เม่ยเม่ยอ้าปากทำท่าจะพูด แต่แล้วก็หุบปากลงฉับ
“ไส้เนื้อด้วย” เป่าเอ๋อร์ยั่วเม่ยเม่ยด้วยของอร่อย มีใครบ้างไม่ชอบกินเนื้อ!
เด็กหญิงกลืนน้ำลายดังดึก
เห็นแบบนั้น ลู่ซินฟางก็ยิ้มน้อยๆ
จางต้วนลูบศีรษะลูกสาวแล้วบอกว่า “น้องๆ อุตส่าห์มาหา ลูกก็ออกไปกินของอร่อยกับน้องๆ เถอะนะ”
เม่ยเม่ยมองท่านพ่ออย่างลังเล ผ่านไปสักพักถึงยอมพยักหน้า “อืม”
หลังจากเด็กทั้งสามกลับไปนั่งลงที่ใต้ร่มไม้ จางต้วนก็หันมาพูดยิ้มๆ กับลู่ซินฟาง
“ลูกของเจ้าสดใสร่าเริงกันจริงๆ เลย”
“ซุกซนตามประสาเด็กนั่นแหละ ว่าไปแล้ว พวกเจ้าพ่อลูกเป็นยังไงกันบ้างหรือ”
ลู่ซินฟางทำทีเป็นถามสารสุขทุกข์ดิบ ไม่ได้เข้าประเด็นเรื่องของตงตงทันที นางคิดว่าหากโพลงออกไปเลยจะไม่เป็นการไว้หน้ากันเกินไป อย่างไรจางต้วนก็อายุมากกว่านางหลายปีด้วย
“เรื่อยๆ นั่นแหละ ถึงจะเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนเพราะต้องดูแลลูกคนเดียว แต่แบบนี้ก็สบายใจดี”
ลองว่าฝ่ายชายพูดเช่นนี้ ตอนเจียงลิ่วอยู่คงสร้างเรื่องกวนใจให้จางต้วนไม่น้อย ลู่ซินฟางคิดพลางถอนหายใจในอก
“ใช่แล้ว ถึงจะเหนื่อยหน่อย แต่พอเห็นลูกๆ ยิ้มอย่างมีความสุข คนเป็นพ่อแม่ก็มีความสุขตามไปด้วย”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จางต้วนตอบพลางหันมองลูกสาว สักครู่ก็ทำสีหน้าซึม “แต่ระยะหลังมานี้ เจ้าตัวแสบตงตงไม่พูดกับข้าสักคำ บางครั้งก็อาละวาด โวยวายว่าข้าทำกับข้าวไม่อร่อยบ้างละ ไม่ใส่ใจเขาบ้างละ ข้ากลุ้มใจกับเจ้าดื้อคนนั้นเสียจริง”
เท่าที่รู้ ตงตงติดแม่มาก เม่ยเม่ยนั้นติดพ่อ นิสัยแสบสันและเอาแต่ใจของตงตงจึงได้เจียงลิ่วมาเต็มๆ
“ไม่แปลกหรอก เพราะว่าตงตงรักแม่ของเขามากยังไงล่ะ ยิ่งรักมากก็ยิ่งเรียกร้องความสนใจมากเท่านั้น”
“แต่ข้าไม่ได้ห้ามให้เขาไปเยี่ยมเจียงลิ่วเสียหน่อย ทำไมต้องอาละวาดใส่ข้าด้วย”
“ก็คงอยากให้พวกเจ้ากลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม”
“ข้า…ย้อนกลับไปหานางไม่ได้” จางต้วนพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ก็คงยังรักเจียงลิ่วอยู่ แน่ละ พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันเกินสิบปี ถึงไม่รักก็ต้องผูกพันกันบ้าง
แต่ชีวิตคู่ ไม่ใช่แค่รักกันแล้วจะอยู่กันรอด ระหว่างจางต้วนกับเจียงลิ่วเป็นอย่างไรนั้น ลู่ซินฟางไม่เข้าใจและไม่อยากทำความเข้าใจด้วย อีกอย่าง นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อผูกด้ายแดงให้ใคร ประเด็นคือตงตงชอบไปป้วนเปี้ยนที่สวนของนาง สร้างความรำคาญให้กับคนอื่น ถึงตอนนี้จะรู้แล้วว่าทำไมเจ้าเด็กเกเรนั่นถึงผอมโซ ไม่ใช่เพราะพ่อของเขาเลี้ยงลูกไม่ดี แต่เจ้าตัวไม่ยอมกินข้าว เอาแต่เรียกร้องความสนใจ น่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ด
นางคิดพลางมองเด็กทั้งสามที่นั่งใต้ร่มไม้
เด็กๆ สนิทกันเร็ว แป๊บเดียวก็ลืมพวกผู้ใหญ่ เม่ยเม่ยขี้อาย แต่เวลานี้กำลังประคองซาลาเปาด้วยสองมือ กัดกินคำเล็กๆ อย่างเรียบร้อย ไม่เหมือนเป่าเอ๋อร์ที่กินคำใหญ่…
เดี๋ยวนะ เจ้าลูกคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กินมาตั้งเยอะแล้วยังจะกินลงอีกหรือ!
เฉิงเอ๋อร์นั่งมองท้องไร่ท้องนา ไม่ได้กินซาลาเปากับเป่าเอ๋อร์และเม่ยเม่ย
“สุดท้ายแล้ว เรื่องของความรู้สึกก็ต้องใช้เวลาเยียวยานั่นแหละ” ลู่ซินฟางหันกลับมาพูด ก่อนเปลี่ยนมาถาม “ข้าไม่เห็นตงตงเลย ใกล้เที่ยงแล้ว ไม่กลับมากินข้าวที่บ้านหรือ”
พอพูดถึงลูกเกเรคนนั้น จางต้วนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เวลานี้คงไปบ้านเจียง แล้วก็วิ่งไปวิ่งมาแถวๆ นี้แหละ” พอพูดถึงตรงนี้ จางต้วนก็ทำเสียงเหมือนนึกออก “อ้อ”
“หือ?”
“เขาชอบไปป้วนเปี้ยนที่สวนของเจ้า ข้าต้องขอโทษด้วย”
ว่าจบก็ก้มศีรษะให้ลู่ซินฟาง
หญิงสาวตกใจ ตาเบิกโต
“อย่าทำเช่นนี้ เจ้าเงยหน้าขึ้นก่อนเถอะ!”
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ