บทที่ 46
ให้อภัย (ครึ่งแรก)
หลังจากพวกเด็กๆ ทำงานเสร็จแล้ว ซินหลินกับสยงอู๋ก็พาพวกเขาไปล้างมือ ก่อนจะเดินมาที่ลานหน้าบ้าน
ข้างบ้านคือทุ่งดอกไม้สีขาว ยามสายลมพัดมาทีหนึ่ง พุ่มดอกสีขาวเล็กๆ ส่ายพลิ้วตามกระแสลม ให้รู้สึกถึงความสวยงามสบายตา
เมื่อเดือนก่อน สยงจวินกับซินหลินนำดอกคาโมมายล์มาจากต่างมิติ เดิมตั้งใจจะปลูกแค่แปลงเล็กๆ เพื่อประดับข้างบ้านให้สดชื่นมีชีวิตชีวา คาดไม่ถึงว่าจะแตกกิ่งก้านสาขาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นทุ่งสีขาวอย่างที่เห็น แต่แบบนี้ก็สวยดี
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์วิ่งผ่านทุ่งคาโมมายล์สีขาวพร้อมกับหัวเราะชอบใจ เมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าลู่ซินฟาง ศีรษะเล็กแหงนเงยมองมารดาด้วยตาใสแจ๋ว ปากน้อยฉีกยิ้มกว้าง ราวกับรอรับคำชม
เห็นแบบนั้นลู่ซินฟางรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาเหมือนเทวดากับนางฟ้าตัวน้อยๆ ไม่มีผิด
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เด็กหญิงตัวน้อยร้องเรียกมารดาเสียงใส
“มีอะไรหรือจ๊ะ เป่าเอ๋อร์”
“ข้าช่วยพี่ซินหลินเก็บมะเขือเทศด้วย ได้มาตั้งเยอะแยะเลย” แขนเล็กป้อมของเป่าเอ๋อร์วาดเป็นวงกลม
“เป่าเอ๋อร์ของแม่เก่งมาก”
“แต่ก็แอบกินไปตั้งเยอะเหมือนกัน” ซินหลินพูดขัดจังหวะ
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะแหะๆ ด้วยความเขิน
ลู่ซินฟางส่ายหน้ายิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะหันไปถามลูกชาย
“แล้วเฉิงเอ๋อร์ล่ะ ทำอะไรบ้าง”
“ข้าช่วยพี่อู๋เอาต้นกล้าลงดิน” เฉิงเอ๋อร์ยืดอกตอบ
“มิน่าเล่า เนื้อตัวถึงได้มอมแมมเชียว” ลู่ซินฟางพูดพลางยิ้ม
“ข้าล้างมือสะอาดแล้วนะ ท่านแม่”
“จ๊ะๆ พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก แม่ภูมิใจในตัวพวกเจ้านะ” ลู่ซินฟางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกแฝด
เด็กทั้งสองแก้มแดงเรื่อด้วยความเขินเมื่อได้รับคำชมจากมารดา
“ของว่างมาแล้วเจ้าค่ะ” เหนียงซิ่นยกซาลาเปาออกมาวางบนโต๊ะ
“โอ้ ซาลาเปาไส้เนื้อ!” สยงจวินเดินกลับมาพอดี ด้วยเพราะเป็นคนที่มีพลังกายเหลือล้น เวลาพูดจึงค่อนข้างเสียงดังและทรงพลัง
เหนียงซิ่นถลึงตาใส่สามีพลางเอ็ดว่า “เสียงดังไปแล้ว เดี๋ยวเด็กๆ ก็ตกใจกันพอดี”
“โทษที ข้าลืมตัว” สยงจวินหัวเราะพร้อมกับเกาหัวแกรกๆ
อยู่ร่วมบ้านมาตั้งนาน รู้ว่าลุงจวินเสียงดังแต่ใจดี เด็กๆ เองก็คุ้นชินกันแล้ว เลยไม่ได้ตกใจอะไร พอเห็นลุงจวินถูกป้าซิ่นดุเหมือนเด็ก เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ก็หัวเราะคิก
พอเห็นเด็กๆ ยิ้มแย้มสดใส สยงจวินยักคิ้วให้พวกเขาอย่างขี้เล่น แล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
เหนียงซิ่นส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“เอาละ มานั่งกันก่อน เดี๋ยวข้าจะไปยกชามาเพิ่ม”
“โอ้!”
เมื่อทุกคนนั่งลงรอบโต๊ะ พวกเขาก็หยิบซาลาเปาไส้เนื้อผสมผักคนละชิ้นละชิ้นมาวางบนจาน
เป่าเอ๋อร์เป็นคนชอบกิน เวลาได้กินของอร่อย ปากเล็กๆ จะยิ้มอย่างมีความสุข แก้มกลมยุ้ยทั้งสองข้างก็ขึ้นสีแดงเรื่อ น่ารักน่าชังอย่างมาก ไม่ว่าใครที่เห็นสีหน้าตอนกินของนาง ล้วนทำให้รู้สึกเจริญอาหารไปด้วย
เด็กหญิงหยิบซาลาเปาทีเดียวสองลูก กัดกินคำโต เนื้อหมูกับน้ำมันในไส้ซาลาเปาทำเอาปากเล็กๆ ของเด็กน้อยมันแผล็บ ซินหลินที่นั่งข้างๆ ต้องคอยเช็ดปากให้
“เห็นเจ้ากินอย่างอร่อย ข้าก็พลอยเจริญอาหารไปด้วยเลย” ซินหลินพูดพลางมองพุงตัวเอง
“ฮิๆ ซาลาเปาของป้าซิ่นอร่อยมากๆ เลยนี่น่า” เป่าเอ๋อร์ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“ได้ยินแบบนี้ป้าก็ดีใจ มาๆ กินอีกเยอะๆ นะ” เหนียงซิ่นหยิบซาลาเปาเติมใส่จานให้เป่าเอ๋อร์อีกหนึ่งลูก
“ข้าก็ขอเพิ่ม” สยงอู๋ยื่นจานไปให้ท่านแม่ของเขา
“เจ้าโตแล้ว หยิบเองสิ” เหนียงซิ่นเอ็ดเบาๆ ใส่ลูกชายคนโต
สยงอู๋ยักไหล่ยิ้ม
ทุกคนรอบโต๊ะเห็นแบบนั้นต่างก็หัวเราะครื้นเครง แล้วกินซาลาเปากันต่อด้วยความเอร็ดอร่อย ปิดท้ายต่อด้วยของหวานอย่างแตงโมเนื้อแดงฉ่ำหวานชื่นใจ
“อร่อยจังเลย!” เป่าเอ๋อร์พูดพร้อมกับตีพุงป่องๆ ของตัวเอง สีหน้ามีความสุขอย่างยิ่ง
“มีอะไรบ้างที่เจ้าไม่อร่อย” เฉิงเอ๋อร์แย้ง
ไม่เพียงเท่านั้น พอเฉิงเอ๋อร์พูดจบ ทุกคนรอบโต๊ะต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“อือๆ”
ตั้งแต่ไปเจอเป่าเอ๋อร์ นางกินอะไรก็ดูอร่อยไปเสียหมด แถมไม่เคยเลือกกินเลยสักครั้ง
ในขณะที่พวกพี่ชายคิดไปทางเดียวกัน เป่าเอ๋อร์นั่งเตะขายิ้มอย่างไร้เดียงสา ประคองถ้วยชาด้วยสองมือ ยกขึ้นซดเสียงดังซู้ด
สวบ สวบ...
ตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังมาจากหลังพุ่มไม้ข้างบ้าน
“ใครน่ะ!” สยงจวินลุกพรวดจากเก้าอี้ ตะเบ็งเสียงถาม
คนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ตกใจกับเสียงดังๆ ที่ไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด มิหนำซ้ำ เงาร่างนั้นยังสูงใหญ่เหมือนหมี น่ากลัว!
แต่ว่า…
หนี ต้องหนี!
คนแอบมองหมุนตัวหันหลัง วิ่งหนีออกไปในทันที แต่ด้วยความร้อนรน ประกอบกับตกใจสุดขีด ขาที่ก้าวไปข้างหน้าพันกันเลยทำให้เจ้าตัวล้มหน้าคะมำ
“เหวอ...โอ้ย!”
เป็นเสียงร้องของเด็กผู้ชาย
ลู่ซินฟางหรี่ตา ด้วยรู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นอยู่บ้าง
สยงอู๋ถอนหายใจอย่างเอือมระอาก่อนลุกเดินไปดู เจ้าคนแอบมองตัวน้อยผู้นี้ชอบมาป้วนเปี้ยนที่สวนนี้เป็นประจำ ไม่เบื่อหน่ายบ้างหรืออย่างไร แต่ทางนี้ ถ้าบอกว่าไม่รำคาญก็คงโกหก
“เป็นเจ้าอีกแล้ว?” สยงอู๋ส่ายหน้า ดวงตาคมเข้มถลึงมองคนบนพื้น
“อะไรเล่า เป็นข้าแล้วจะทำไม” เจ้าคนน่าสงสัยตะโกนด้วยท่าทีอวดเก่ง หากแต่ใบหน้าแดงก่ำเนื่องจากถูกจับได้
“ชอบแอบดูพวกเราได้ตลอดเลย ต้องการอะไรก็ว่ามาสิ” สยงอู๋บอกและถามในประโยคเดียวกัน
“...”
เด็กชายไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้างุด
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ