บทที่ 80
เหอถิงเคลื่อนไหว (ครึ่งหลัง)
เวลาไม่นาน แม่ลูกตระกูลเหอก็เดินมาหยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ พวกเขาแหงนหน้ามองประตูไม้ที่ทั้งหนาและหนักด้วยสีหน้าตะลึง
“คฤหาสน์หลังนี้ คงเป็นของตาแก่กงคนนั้น” เหอถิงพึมพำด้วยน้ำเสียงดูแคลน “คาดไม่ถึง ว่าคนอย่างนางจะหาคนเลี้ยงดูที่ร่ำรวยเช่นนี้ได้”
ลู่ซินฟางในสายตาของเหอถิงคือผู้หญิงหัวอ่อน รักและเชื่อฟังเหอถิงมาก ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไร นางล้วนทำตามและไม่เคยบ่น
สำคัญกว่านั้นคือ ตอนรู้จักกับลู่ซินฟางแรกๆ ยังเป็นผู้หญิงยากจน อยู่ตัวคนเดียว
แต่ดูตอนนี้สิ ออกจากบ้านเหอไม่ถึงปี นางกลับได้คนเลี้ยงดูใหม่ อยู่บ้านหลังใหญ่โต และยังเป็น ‘นายหญิง’ ของร้านค้าขนาดใหญ่
พอคิดว่าลู่ซินฟางได้ดิบได้ดีขนาดนี้ หากบอกว่าไม่โกรธก็คงโกหก
ความรู้สึกของเหอถิงยามนี้เหมือนถูกหักหลังก็ไม่ปาน
“ท่านแม่”
เหอถิงพยักเพยิดคางไปทางประตูใหญ่ จากนั้น นางเหอก็ก้าวเข้าไปเคาะประตูไม้รัวๆ
ก๊อกๆๆ ก๊อกๆ
สักครู่ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน คนที่ปรากฏตัวไม่ใช่พ่อบ้านหรือบ่าวรับใช้ หากเป็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสีดำรัดกุมเหมือนกับองครักษ์
“พวกเจ้าเป็นใคร” องครักษ์หนุ่มถามเสียงเย็นชา
เหอถิงพยายามฉีกยิ้มก่อนจะบอก “ข้าเป็นคนรู้จักของลู่ซินฟาง มาที่นี่เพื่อพบนาง”
สายตาคมเข้มขององครักษ์หนุ่มกวาดมองแขกผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้า
พอเห็นแบบนี้ เหอถิงกับนางเหอก็โมโหขึ้นมา
จะมากจะน้อย ตอนนี้เหอถิงก็เป็นขุนนางของเมืองชิ่ง ต่อให้คนแซ่กงร่ำรวยขนาดไหน แต่ฝ่ายนั้นก็เป็นแค่พ่อค้า
“ช่างไร้มารยาท เป็นแค่หมาเฝ้าบ้าน ไม่รู้หรือว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นใคร” นางเหอสบถเสียงแหลม
กระนั้น องครักษ์หนุ่มกลับตอบหน้านิ่งๆ ว่า “รู้ขอรับ เพราะรู้ ถึงห้ามพวกท่านเข้าไป”
“เช่นนั้นก็ตามลู่ซินฟางออกมาเสียสิ”
“…”
องครักษ์หนุ่มไม่เสียเวลาตอบกลับ หมุนตัวเดินเข้าคฤหาสน์แล้วปิดประตูปัง!
“นี่ เดี๋ยว” นางเหอพุ่งเข้าไปเกาะประตูแล้วเคาะรัวๆ อีกครั้ง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้ พวกเราเป็นญาติของลู่ซินฟาง เจ้าสุนัขเฝ้าประตูไร้มารยาท เปิดเดี๋ยวนี้!”
หน้าประตู หญิงกลางคนร่างท้วมโหวกเหวกโวยวาย ส่วนหลังประตูไม้บานใหญ่ จิ่นเซี่ยกับชุนกำลังหาลือกันเรื่องเหอถิงพอดีจึงได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
“จิ๊” ชุนเดาะลิ้นไม่พอใจ
จิ่นเซี่ยส่ายหน้าให้กับความน่ารำคาญของแม่ลูกตระกูลเหอ
“หัวหน้าจิ่น จะเอายังไงกับคนพวกนั้นดีขอรับ” องครักษ์หนุ่มที่ถูกนางเหอเรียกสุนัขเฝ้าประตูเอ่ยถามจิ่นเซี่ย
“เจ้าแค่ไปรายงานนายท่านก็พอ ทางนี้ข้าจะรับมือเอง” จิ่นเซี่ยบอก พร้อมตบบ่าลูกน้องของตนเบาๆ
“ขอรับ” องครักษ์หนุ่มโค้งศีรษะตอบ ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากคฤหาสน์โดยใช้ประตูหลัง
ด้านนอกเสียงของนางเหอตะโกนดังผสานพร้อมกับเสียงเคาะประตูไม่หยุด
“เฉิงเอ๋อร์ ย่ากับพ่อของเจ้ามาหาเจ้าแล้ว เฉิงเอ๋อร์!”
จิ่นเซี่ยเหลือบมองประตูพลางส่ายหน้าอีกครั้ง ตอนที่หันมาทางชุน ตั้งใจจะถามว่าจะออกไปดูคนพวกนั้นหรือไม่ กลับเห็นนางเดินไปถึงลานกว้างของคฤหาสน์เสียแล้ว
ชายหนุ่มรีบก้าวยาวๆ ตามไปจนถึงข้างกายหญิงสาว
“ไม่ออกไปดูพวกเขาหรือ” จิ่นเซี่ยถาม
ชุนเบะปาก ก่อนจะตอบกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“เสียเวลาเปล่า ปล่อยให้ตะโกนไปแบบนั้นแหละ นางไม่มีปัญญาตะโกนไปทั้งวันหรอก อีกอย่าง พวกเด็กๆ ที่อยู่ในคฤหาสน์ไม่มีทางได้ยินด้วยซ้ำ โง่จริงๆ”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับความเฉยเมยของหญิงสาว
หลังจากนั้น องครักษ์อีกคนก็วิ่งเข้ามารายงานพร้อมกับสอบถาม
“หัวหน้าจิ่น ทำอย่างไรดีขอรับ ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มเข้ามามุงดูกันใหญ่แล้ว”
จิ่นเซี่ยหันมองชุน นางยังคงแสดงสีหน้าเหมือนว่าไม่ได้สนใจ ดังนั้นเขาจึงหันไปสั่งลูกน้อง
“ปล่อยให้ตะโกนไป พวกเจ้าแค่กันอย่าให้คนพวกนั้นเข้ามาได้ก็พอ”
“ขอรับ”
หลังจากรับคำสั่ง องครักษ์คนดังกล่าวก็วิ่งกลับไปยืนประจำที่ ก่อนจะหยิบถุงใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ ในถุงมีสำลีที่ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ชายหนุ่มยื่นสำลีให้กับสหายที่เฝ้าประตูด้วยกัน
ทั้งสองอุดหูด้วยก้อนสำลี จากนั้นก็ทำหน้าที่เฝ้าประตูต่อไป
ย้อนกลับมาที่ด้านนอก นางเหอเกาะประตูตะโกนดังลั่น เรียกเฉิงเอ๋อร์กับลู่ซินฟางให้ออกมา ทั้งยังด่าองครักษ์เฝ้าประตูด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ไม่นานนัก หน้าประตูคฤหาสน์บ้านลู่ก็เต็มไปด้วยฝูงชน สายตาของทุกคนที่มองแม่ลูกตระกูลเหอต่างเต็มไปด้วยความอยากรู้
เมื่อมีคนกลุ่มใหญ่เข้ามารายล้อม เหอถิงหูแดงด้วยความอาย แต่หลังจากสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง เขาก็ก้าวออกมายืนต่อหน้าฝูงชน เอ่ยปากขึ้น
“พี่น้องทุกท่านคงสงสัยว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงมายืนตะโกนหน้าบ้านคนอื่น ข้าเป็นสามีของผู้หญิงที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้…ลู่ซินฟางหนีออกจากบ้านเพื่อมาหาผู้ชายคนอื่น!”
ทุกคนที่กำลังรายล้อม พอได้ยินประโยคหลัง ต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็น
เหอถิงพูดต่อ โดยยังแสร้งแสดงสีหน้าโศกเศร้า “เมื่อหลายเดือนก่อน ข้าเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบจอหงวน แต่เมื่อข้าได้รับตำแหน่งและกลับมาถึงบ้าน พบว่าลู่ซินฟางได้พาลูกหนีออกจากบ้านไปแล้ว”
“พูดเป็นเล่น ลู่ซินฟางคนนั้นเนี่ยนะ”
“นางไม่ได้ถูกขับไล่จากบ้านสามีหรอกหรือ”
“กว่าจะสร้างตัวขึ้นมาได้ เห็นว่าลำบากเกือบตายเลยนี่นา”
ผู้คนที่รายล้อมอยู่นั้น บางคนเชื่อคำพูดของเหอถิงสนิทใจ เพราะไม่เคยเห็นสภาพของลู่ซินฟางเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ถึงอย่างนั้น มีบางคนที่จำลู่ซินฟางตอนที่กลับมาเมืองเล่ออันช่วงแรกๆ ได้ คนกลุ่มหลังจึงวิจารณ์ออกมาด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้ง
สภาพตอนที่ลู่ซินฟางกลับมาเมืองเล่ออัน เป็นสภาพของคนที่ลำบากอย่างสาหัส
ตามหลักความจริง ผู้หญิงที่ออกเรือนไปแล้ว หากมีชีวิตที่สุขสบาย ทำไมต้องหอบลูกเต้ากลับมาบ้านเกิดด้วยสภาพโกโรโกโสแบบนั้น ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่ตั้งใจหนีมาแม้แต่น้อย
เหอถิงเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนกลุ่มนั้น จึงถอดป้ายขุนนางที่แขวนบนเอวออกมาชูให้ทุกคนดู
“หากพวกท่านสงสัยคำพูดของข้าโปรดดูให้ชัดๆ นี่คือป้ายประจำตำแหน่งของข้า”
ทุกคนที่เห็นป้ายขุนนางต่างเบิกตาแตกตื่น ส่วนคนที่วิจารณ์เมื่อครู่รีบปิดปากสนิท
โดยปกติ ชาวบ้านก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของขุนนางอยู่แล้ว ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าคำพูดของชายคนนี้เป็นคำโกหก หากก็ไม่มีใครอยากออกหน้าโต้แย้ง
เหอถิงยิ้มในใจกับผลรับที่เห็น พลางคิดว่า ปฏิกิริยาของชาวบ้านพวกนี้ถึงจะเรียกว่าปกติ ตรงข้ามกับคนของลู่ซินฟางที่เห็นป้ายขุนนางแล้วกลับทำเฉยเมย แบบนั้นไม่ปกติอย่างยิ่ง
พอคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เหอถิงอดโมโหไม่ได้ แต่กระนั้น เขาต้องกลืนความโกรธลงท้อง แสดงบทโศรกเรียกร้องความสนใจ
“ทุกท่าน ถึงข้าจะมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการ แต่ข้าก็เป็นผู้ชายที่มีหัวใจ ในเมื่อภรรยาพาลูกหนีออกจากบ้าน ข้าที่อยากรู้เหตุผลจึงดั้นด้นเดินทางจากเมืองชิ่งมาถึงที่นี่ แต่ความจริงที่ข้ารับรู้เกี่ยวกับนาง ทำให้หัวใจของข้าแทบแหลกสลายยิ่งนัก พวกท่านทราบหรือไม่ว่าคืออะไร”
ทุกคนที่ยืนล้อมทำหน้าอยากรู้ หากก็มีหลายคนที่เดาได้แล้ว
เหอถิงทำหน้าทุกข์ระทมแล้วเอ่ยขึ้น “นางหนีมาเพื่อหาหาสามีใหม่ที่ร่ำรวย คฤหาสน์หลังนี้เป็นของคนแซ่กง ชายคนใหม่ที่กำลังเลี้ยงดูนาง ข้ารู้ดีว่าบ้านข้าไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร มอบความฟุ่มเฟือยให้นางไม่ได้ นางก็เลยหนีข้ามา”
“อาถิง ช่างมันเถอะ”
นางเหอเข้ามากอดลูกชาย แสร้งทำทีเป็นเช็ดน้ำตา
“ข้าเองก็คิดถึงหลาน เลยตามลูกชายมาถึงเมืองเล่ออัน แต่ดูสิ พวกเขากลับไล่พวกเราเหมือนหมูเหมือนหมา ซ้ำยังใช้ใบหย่าปลอมๆ มาข่มขู่!”
“ใบหย่าปลอมหรือ หมายความว่าอย่างไร” ชายคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนตะโกนถาม
นางเหอทำหน้าลำบากใจ ก่อนบอกว่า “นางใช้เส้นสายของคนแซ่กงเขียนใบหย่าปลอมขึ้นมา แล้วอ้างว่าข้าเป็นคนขับไล่นางกับลูกออกจากบ้านน่ะสิ”
“ผู้หญิงแบบนี้แย่จริงๆ”
เหอถิงกับมารดาเห็นว่าชาวบ้านกำลังเอนเอียงหันมาเข้าข้างพวกตน จึงใช้โอกาสนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ท่านแม่…ข้าจะพาลูกๆ กลับมาให้ได้”
เหอถิงกอดปลอบมารดา ท่าทางระทมทุกข์ กระนั้น สายตากลับลอบสาดส่องมองผู้คน
แม้จะมีสามสี่คนที่ยืนมองพวกเขาด้วยสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่คนที่มามุงส่วนใหญ่กลับแสดงความเห็นอกเห็นใจ
หากมีการร้องเรียนกันขึ้นมา เหอถิงเสียเปรียบเรื่องใบหย่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การเล่นละครตบตาและคำพูดเมื่อครู่ ได้กลับดำเป็นขาว เปลี่ยนสถานการณ์ราวกับพลิกฝ่ามือ
ต่อให้ใบหย่าที่ลู่ซินฟางถือเป็นลายมือของเหอถิงจริงๆ แต่ตอนนี้เขาได้ฝังความคิดเรื่องที่ลู่ซินฟางร่วมมือกับชู้รักทำใบหย่าปลอมลงในหัวของทุกคนแล้ว
หากนางยังยืนกรานจะใช้ใบหย่านั้นมาเป็นหลักฐาน ยังไงก็ต้องถูกกังขาอยู่ดี
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ข่าวลือเรื่องของเหอถิงกับลู่ซินฟาง รวมถึงชู้รักแซ่กงก็แพร่สะพัดทั่วเมืองเล่ออัน
บทที่ 86ผู้หญิงกับงูพิษ (ครึ่งหลัง) “ถะ แถวนี้มีหมาป่าด้วยหรือ!” นางเหอถามลูกชายพร้อมขยับร่างอวบอ้วนเบียดเข้าไปนั่งข้างในสุดของห้องโดยสาร “ของพรรค์นั้นจะมีได้อย่างไร นี่ ท่านแม่ สิ่งที่พวกเราต้องกลัวตอนนี้คือตระกูลจี๋ไม่ใช่หรือ!” เหอถิงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด พร้อมตวาดใส่มารดา “แม่ฟังผิดไปเอง นั่นไม่ใช่เสียงของหมาป่า เจ้าอย่าอารมณ์เสียงนักเลยนะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอาได้” แม้จะมั่นใจว่านั่นเป็นเสียงของหมาป่า กระนั้น นางเหอกลับยอมเอ่อออตามเพื่อเอาใจลูกชาย “แต่ถ้าไม่รีบกลับไปอธิบายให้คนตระกูลจี๋เข้าใจ ตำแหน่งของข้าก็จบสิ้นเหมือนกัน” คนขับรถม้ารับจ้างที่อยู่ด้านนอก ได้ยินทุกคำพูดของคนว่าจ้าง อดจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอาไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ทั้งเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว สักวันกรรมจะต้องตามสนอง! บรู๋วววว เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำ หนนี้ยังยังดังใกล้เข้ามาทุกที คนขับรถม้ารับจ้างร้องสะดุ้งตัวโหยงด้วยความกลัว แต่ด้วยความรับผิดชอบของผู้ถูกจ้าง เขาพยายามควบคุมสติ บังคั
บทที่ 85ผู้หญิงกับงูพิษ (ครึ่งแรก) แม้ว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในร้านจะกลับมาสงบดั่งเดิม แต่หัวใจของลู่ซินฟางยังคงเต้นโครมครามไม่หยุด ใบหน้าและในลำคอร้อนผ่าวเหมือนคนมีไข้ ลู่ซินฟางรินชาดื่มเข้าไปหลายจอก หากกลับไม่สามารถดับความร้อนได้ ท้ายที่สุด ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมรับ ว่าอาการว้าวุ่นใจเป็นเพราะคำพูดของกงเยียนซู ในตอนนั้น กงเยียนซูแค่พูดออกไปตามสถานการณ์ นางจะคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้เด็ดขาด เมื่อสรุปเช่นนั้น ลู่ซินฟางก็สูดหายใจเข้าเต็มปลอดเพื่อพยายามสงบใจ จากนั้นตั้งสมาธิกับงานตรงหน้า สักครู่หนึ่ง ประตูห้องก็มีเสียงเคาะเบาๆ ก่อนหลางไป๋จะเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง “ข้ามาบอกนายหญิงว่าจะออกเดินทางเลยขอรับ ตอนนี้ซินหลินพาหมิงฮวาออกมาจากมิติแล้ว” ลู่ซินฟางพยักหน้าแล้วตอบ “อืม ระวังตัวด้วยนะ แล้วก็ ห้ามฝืนตัวเองเกินไปนัก” “ขอรับ นายหญิง” “ถึงเจ้ากับซินหลินจะศึกษาเส้นทางมาก่อนแล้ว หรือต่อให้กงเยียนซูเตรียมการล่วงหน้าไว้ให้ แต่ห้ามประมาทเด็ดขาดเลยนะ” ลู่ซินฟางย้ำด้วยความกังวลอีกค
บทที่ 84เหอถิงถึงคราวซวย เหอถิงถึงคราวจบสิ้นแล้ว! แม้จะใช้เวลาเตรียมการถึงสี่วัน แต่ผลลัพท์ที่ได้ถือว่าไม่เลว…กงเยียนซูคิดพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น ในขณะที่มองความลนลานบนใบหน้าสองแม่ลูกตระกูลเหอ ทางด้านของเหอถิง ได้แต่มองกงเยียนซูกับลู่ซินฟางสลับไปมาด้วยความสงสัย ตามหลักความจริง ตระกูลจี๋ที่อยู่เมืองชิ่งไม่ควรรู้การเคลื่อนไหวของเหอถิงในเมืองเล่ออันรวดเร็วถึงเพียงนี้ นอกเสียจากจะมีใครบางคนส่งม้าเร็วแจ้งข่าวไปบอก และคนคนนั้นต้องมีฐานะที่น่าเชื่อถือ ทันใดนั้น เหอถิงก็เบิกตาโพลง มองไปที่กงเยียนซูด้วยสังหรณ์ร้ายแปลกๆ “คุณชายเป็นใครกันแน่!” กงเยียนซูคลี่ยิ้มมุมปาก แต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตาม “ก่อนมาที่เมืองเล่ออัน จี๋หลิน ภรรยาของเจ้าไม่ได้บอกเอาไว้หรอกหรือ ว่าคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยมากที่สุดคือเจ้าของโรงเตี๊ยมตระกูลกง” คำพูดเหล่านั้นทำเอาเหอถิงได้แต่ยืนแข็งทื่อ ไม่เพียงรู้จักตระกูลจี๋ ชายคนนี้ยังรู้ว่าจี๋หลินที่เป็นภรรยาของเขา อย่างไรก็ตาม คล้ายว่าจี๋หลินจะเคยเตือนให้ระวังคนส
บทที่ 83กงเยียนซูประกาศต่อหน้าทุกคน (ครึ่งหลัง) “ของปลอม?” กงเยียนซูถามซ้ำ “ใช่แล้ว มันคือของปลอม” เหอถิงยังคงแถอย่างหน้าด้านๆ “ที่แท้ก็เช่นนี้” กงเยียนซูตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ทางด้านลู่ซินฟาง ไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ เช่นกัน หากทว่า ยิ่งทั้งสองนิ่งเงียบเท่าไร บรรยากาศรอบตัวยิ่งกดดันอย่างน่าประหลาดมากขึ้นเป็นเท่าตัว เหอถิงสังหรณ์ใจกับท่าทีแปลกๆ ของทั้งสองคน แต่แล้ว ในฉับพลันนั้นเอง กงเยียนซูก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ “ฮะๆ” เหอถิงขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล “คุณชาย มีอะไรให้ขำหรือ?” กงเยียนซูกลั้นขำ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ชายแก่แซ่กงหรือ เป็นเรื่องตลกที่ข้าเพิ่งเคยได้ยินเลย” “ถึงข้าไม่เคยเห็นหน้า แต่ชายคนนั้นมีตัวตนจริงแท้แน่นอน” “คนในเมืองเล่ออันพูดเช่นนั้นหรือ พวกเขาบอกว่าคนแซ่กงเป็นชายแก่ๆ หรือ” กงเยียนซูทำทีเป็นถามเหอถิง “เรื่องนี้…” เหอถิงลังเล เพรา
บทที่ 82กงเยียนซูประกาศต่อหน้าทุกคน (ครึ่งแรก) เข้าสู่วันที่สาม ที่เหอถิงกับมารดาแสดงบทรันทดอยู่หน้าคฤหาสน์ของลู่ซินฟาง แต่การแสดงที่ซ้ำซาก บวกกับคำพูดเดิมๆ ทำให้ชาวบ้านหมดความสนใจพวกเขาในที่สุด เมื่อแผนเรียกร้องความสนใจไม่ได้ผล แม่ลูกตระกูลเหอจึงเปลี่ยนมาแอบดู ‘ชู้รัก’ ของลู่ซินฟางที่หน้าโรงเตี๊ยมตระกูลกงแทน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงตัวกงเยียนซูกลับยากยิ่งกว่า จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าตาแก่แซ่กงคนนั้นสักครั้ง นอกจากจะทำได้แค่ขุดคุ้ยข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ แม่ลูกตระกูลเหอกลับเข้าไม่ถึงตัวเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นลู่ซินฟาง เฉิงเอ๋อร์ หรือเถ้าแก่กง ในที่สุด พวกเขาก็คิดว่าแผนเรียกร้องความสนใจเริ่มไม่มีประโยชน์แล้ว ทางด้านลู่ซินฟางนั้น ยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติทุกวัน ทั้งที่คิดว่าเหอถิงจะลงมือหนัก อย่างการจ้างคนมาชิงตัวเฉิงเอ๋อร์หรือบุกร้าน กลับกันแล้ว พวกเขาเลือกวิธีโง่ๆ ด้วยการสร้างข่าวลือปลอม อาศัยคำติฉินนินทาของฝูงชน กดดันให้ลู่ซินฟางอับอายจนต้องยอมพาเฉิงเอ๋อร์ออกมา หารู้ไม่ วิธีพวกนั้นไม่ได้
บทที่ 81บุรุษอันตรายทั้งสอง บ่ายคล้อย แสงแดดยังสาดส่อง ณ โรงเตี๊ยมตระกูลกง ชายหนุ่มสองคนกำลังหาลือธุระสำคัญอยู่ในเรือนรับรอง ในเวลานั้น เสียงเคาะประตูดังจากด้านนอกสองสามครั้ง จากนั้นจิ่นเซี่ยก็เปิดประตูเข้ามา “นายท่าน…” จิ่นเซี่ยพูดเพียงเท่านั้นแล้วปิดปากลง สายตาเหลือบมองหลางไป๋ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกงเยียนซูอย่างลังเล “ต่างฝ่ายต่างลงเรือลำเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง เจ้าพูดมาเถอะ จิ่นเซี่ย” กงเยียนซูบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตายังกวาดมองรายการสินค้าบนกระดาษที่อยู่ในมือ ทางด้านองครักษ์หนุ่ม หลังจากได้รับอนุญาต เขาก็รายงานเรื่องข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดทั่วเมืองเล่ออัน คร่าวๆ แล้วเป็นเรื่องของลู่ซินฟางที่ร่วมมือกับกงเยียนซูปลอมแปลงใบหย่า แล้วพาลูกหนีออกจากบ้านเหอ บัดนี้ เหอถิงผู้เป็นสามีได้เดินทางมาจากเมืองชิ่งเพื่อพาภรรยากับลูกกลับ แต่ถูกลู่ซินฟางกีดกันไม่ให้เจอลูก พอฟังจบ กงเยียนซูกับหลางไป๋ก็แหงนหน้าหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ฮะๆๆ ฮะๆ” จิ่นเซี่ยมองคนทั้งสองด้วยความงุน