บทที่ 86
ผู้หญิงกับงูพิษ (ครึ่งหลัง)
“ถะ แถวนี้มีหมาป่าด้วยหรือ!”
นางเหอถามลูกชายพร้อมขยับร่างอวบอ้วนเบียดเข้าไปนั่งข้างในสุดของห้องโดยสาร
“ของพรรค์นั้นจะมีได้อย่างไร นี่ ท่านแม่ สิ่งที่พวกเราต้องกลัวตอนนี้คือตระกูลจี๋ไม่ใช่หรือ!” เหอถิงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด พร้อมตวาดใส่มารดา
“แม่ฟังผิดไปเอง นั่นไม่ใช่เสียงของหมาป่า เจ้าอย่าอารมณ์เสียงนักเลยนะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอาได้”
แม้จะมั่นใจว่านั่นเป็นเสียงของหมาป่า กระนั้น นางเหอกลับยอมเอ่อออตามเพื่อเอาใจลูกชาย
“แต่ถ้าไม่รีบกลับไปอธิบายให้คนตระกูลจี๋เข้าใจ ตำแหน่งของข้าก็จบสิ้นเหมือนกัน”
คนขับรถม้ารับจ้างที่อยู่ด้านนอก ได้ยินทุกคำพูดของคนว่าจ้าง อดจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอาไม่ได้
ผู้ชายคนนี้ทั้งเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว สักวันกรรมจะต้องตามสนอง!
บรู๋วววว
เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำ หนนี้ยังยังดังใกล้เข้ามาทุกที คนขับรถม้ารับจ้างร้องสะดุ้งตัวโหยงด้วยความกลัว แต่ด้วยความรับผิดชอบของผู้ถูกจ้าง เขาพยายามควบคุมสติ บังคับม้าให้วิ่งผ่านหมอกควันและความมืดไปเรื่อยๆ
เหอถิงเลิกผ้าม่านหลังรถด้วยความอยากรู้
ในป่าที่รกทึบ เหอถิงเห็นเงารางๆ รูปร่างเหมือนกับหมาป่ากำลังวิ่งไปผ่านรถม้าไป แต่หมาป่าที่เห็น กลับมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า
“เฮ้ย!!”
ด้วยความตกใจเหอถิงร้องเสียงหลงพร้อมกับรีบปิดม่านข้างรถ
“อะไรหรือ เมื่อกี้เจ้าเห็นอะไร” นางเหอถามเสียงสั่นเครือ
เหอถิงหวาดกลัวจนพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้ารัว หัวใจเต้นแรงเพราะความหวาดกลัว
เสียงร้องของเหอถิงเมื่อครู่ทำเอาคนขับรถม้ารับจ้างอกสั่นขวัญผวาไปด้วย แต่เขาก็พยายามควบคุมสติอย่างเต็มที่ โชคดีมากที่ม้าของเขาไม่ตื่นตระหนกจนเกินการควบคุม อีกอย่าง หมู่บ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลนัก มุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว
เมื่อเห็นคบไฟหน้าหมู่บ้าน คนขับรถม้ารับจ้างถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก รีบบังคับรถม้าให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ทันทีที่เห็นว่าทั้งรถม้าทั้งคนปลอดภัย เขาก็แทบจะร่ำไห้ออกมาในตอนนั้นเลย
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีโรงเตี๊ยมแค่หนึ่งแห่งสำหรับนักเดินทาง
พอจอดรถม้าเรียบร้อย คนขับรถม้ารับจ้างเดินอ้อมมาที่ท้ายรถม้าซึ่งเป็นห้องโดยสาร เขารีบคืนเงินมัดจำทั้งหมดให้กับผู้ว่าจ้าง
“อะไร?” เหอถิงขมวดคิ้วถาม
“ข้าไม่ไปต่อแล้วขอรับ ท่านขุนนาง ท่านเร่งเดินทางเช่นนี้ ม้าของข้าแทบไม่ได้พัก ข้ากลัวว่ามันจะตายระหว่างเดินทาง ทางที่ดีท่านหารถม้าคันอื่นจากหมู่นี้เถอะ”
“เจ้าคิดจะโกงเงินค่ามัดจำหรือ”
“เงินทั้งหมดข้าคืนครบจำนวน แต่ท่านจะคิดแบบนั้นก็ได้ ยังไงข้าก็ไม่ไปต่อแล้ว” คนขับรถม้ารับจ้างยืนกรานเหมือนเดิม
“เอ้อ อยากทำอะไรก็เชิญ!”
เหอถิงโวยวายจบก็รับถุงเงินคืนมา หิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินไปที่หน้าโรงเตี๊ยมโดยมีนางเหอเดินตามมาติดๆ
“เฮ้อ ทำไมคืนนี้หมอกลงเยอะนักนะ” เสียงบ่นของหญิงสาวดังขึ้นที่หน้าโรงเตี๊ยม
เห็นแวบแรก เหอถิงก็ตะลึงกับความงดงามของหญิงสาว ถึงขั้นหยุดชะงัก
หญิงสาวเหลือบมองมาทางเหอถิงกับมารดาพอดี เมื่อเห็นห่อสัมภาระ นางจึงเอ่ยถามและบอกด้วยความหวังดี
“พวกท่านมาหาที่พักโรงเตี๊ยมหรือ เตือนไว้ก่อนเลยว่าห้องเต็ม”
“แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าห้องเต็ม”
“ข้าเพิ่งคุยกับเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ เขาบอกว่าคืนนี้ห้องพักเต็มหมดแล้ว แต่ข้าโชคดีหน่อย ได้ห้องพักห้องสุดท้ายมา”
“แบบนี้ก็แย่เลย คืนนี้ท่านแม่ของข้าจะพักที่ไหน นางยิ่งสุขภาพไม่ค่อยดีอยู่ด้วย” เหอถิงแสร้งพึมพำด้วยสีหน้ากังวล
คนขับรถม้ารับจ้างที่จูงม้าเดินผ่านเบะปากให้ความเสแสร้งของชายหนุ่มทีหนึ่ง
ด้านของหญิงสาว เบนสายตามองไปทางหญิงสูงวัยที่อยู่ข้างหลังของเหอถิง ก่อนจะถามว่า “ท่านแม่ท่านสุขภาพไม่ดีหรือ”
เหอถิงพยักหน้าเบาๆ
หญิงสาวลังเลและครุ่นคิด สักครู่ นางก็เสนอขึ้นว่า “ถ้าพวกท่านไม่รังเกียจ จะพักกับข้าก็ได้นะ ถึงจะเป็นห้องพักที่เล็ก และอยู่ด้านหลังของโรงเตี๊ยมก็เถอะ”
“ขอบคุณแม่นาง ข้ากับท่านแม่ไม่รังเกียจห้องเล็กๆ หรอก แต่ว่า ให้พวกเราพักด้วยจะดีจริงหรือ”
ถึงเหอถิงจะถามแบบนั้น แต่ในใจกลับลิงโลด การได้พักห้องเดียวกับสาวงาม ถือเป็นจุดเริ่มต้นการสานสัมพันธ์ขั้นถัดไป
“ข้าไม่ถือ” หญิงสาวตอบด้วยความใจกว้าง
เหอถิงแกล้งลังเลสักครู่ ก่อนจะตอบมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอรบกวนแม่นางแล้ว”
หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็เดินถือห่อสัมภาระมายังห้องพักเล็กๆ ที่อยู่หลังโรงเตี๊ยม
หญิงสาวบอกให้นางเหอใช้เตียง ส่วนนางจะใช้ผ้าปูพื้นนอนเอง
นางเหอนั้นประเมินคุณค่าของคนจากรูปลักษณ์ภายนอก แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะหน้าตาสะสวย และใจดี แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเป็นผ้าฝ้ายเรียบๆ ซ้ำไม่มีสาวใช้ติดตามมาด้วย แน่ชัดว่านางคงเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา
เมื่อประเมินหญิงสาวเสร็จ นางเหอตอบกลับด้วยการพยักหน้าทีหนึ่ง ก่อนล้มตัวนอนบนเตียงด้วยความหยิ่งผยอง
“ท่านแม่ของข้าเหนื่อยจากการเดินทางน่ะ แม่นางอย่าได้ถือสาเลยนะ” เหอถิงแก้ต่างให้กับท่าทางดูแคลนของมารดา
“ไม่เป็นไร” หญิงสาวโบกมืออย่างไม่ถือสา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกไปล้างหน้าล้างตัวสักหน่อย ข้ารักสะอาดน่ะ นอนทั้งที่ฝุ่นเต็มตัวแบบนี้ไม่ได้ ท่านก็เลือกที่นอนตามสะดวกแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้อง
ทันทีที่ประตูปิดลง เหอถิงมองเห็นของแวววาวบนพื้น พลันเห็นว่าเป็นต่างหู เขาก้มเก็บขึ้นมา ก่อนจะเปิดประตูตามหลังนางออกไป
คล้อยหลังแม่ลูกตระกูลเหอ ริมฝีปากคู่สวยของหญิงสาวฉีกยิ้มเย็นยะเยือก เรียวลิ้นที่เป็นสองแฉกแลบออกมาจากปากเล็กน้อย
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ