เข้าสู่ระบบท้องฟ้ายามเย็นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากสีทองสู่แสงส้มแดง ก่อนจะกลืนเข้าสู่ม่วงคล้ำ แสงสุดท้ายของวันทอดยาวเคลือบเส้นทางที่สองร่างกำลังก้าวเดินเคียงกันอย่างสงบเงียบ ตลอดทั้งวัน พวกเขาเดินชมความงดงามของเมืองหลวง ตั้งแต่ตลาดคึกคักไปจนถึงตรอกเงียบสงัด ทุกที่ที่ผ่านล้วนเต็มไปด้วยผู้คน แต่ซูจิ่งหลงกลับรู้สึกเสมือนว่าโลกนี้เหลือเพียงเขากับนางเมื่อเดินมาถึงหัวมุมถนน หลานเยว่หยุดก้าว หันมาสบตาเขาตรง ๆ ดวงตาคู่นั้นนิ่งเรียบ หากแฝงด้วยแรงกดดันเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นเฉยเอื้อนเอ่ยราวกับคำสั่ง มากกว่าการชักชวน“เย็นนี้…เจ้าจะต้องอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนหลานจิ่วอวิ๋น”
คำพูดนั้นไม่เปิดทางให้ปฏิเสธ แต่สำหรับซูจิ่งหลง กลับเป็นประโยคที่งดงามที่สุดที่เขาเคยได้ยิน เขาตอบรับสั้น ๆ เสียงทุ้มลึกพร่าเล็กน้อยด้วยความตื้นตัน “อืม”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้ารอยยิ้มที่แทบไม่เคยปรากฏให้ใครได้เห็นในโลกมืดที่เต็มไปด้วยเลือดและความโหดร้าย ยิ่งเมื่อได้ยินคำชวนตรงไปตรงมาจากนาง หัวใจของเขาก็พลันอบอุ่นจนแทบล้นออกมา ตลอดเส้นทางกลับ สีหน้าของเขาสว่างไสวผิดจากปกติ ยิ้มไม่หุบราวกับชายหนุ่มที่เพิ่งสมหวังในความรัก ลูกน้องที่เดินตามอยู่ด้านหลังพากันเหลือบมองเงียบ ๆ บางคนถึงกับกะพริบตาไม่เชื่อสิ่งที่เห็น บางคนแทบหลุดปากถาม แต่ก็กลืนกลับเข้าไปเพราะเกรงอำนาจของเจ้านาย
“นี่…เกิดอะไรขึ้นกับนายท่านกันแน่?” เสียงกระซิบดังแผ่ว ๆ ในกลุ่มผู้ติดตามพวกเขาคุ้นชินกับเจ้านายผู้เย็นชา ดุดัน และเต็มไปด้วยบารมีที่ทำให้แม้แต่สายตาก็ไม่กล้าสบ แต่ในวันนี้ภาพที่เห็นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ชายผู้เคยถูกเล่าลือว่าโหดเหี้ยมไร้หัวใจ บัดนี้กลับเดินเคียงข้างสตรีผู้หนึ่งด้วยสีหน้าเบิกบานยิ่งกว่าทุกครั้งในชีวิต
แม้รอบกายจะยังคงรายล้อมด้วยเงามืดและอำนาจ แต่สำหรับซูจิ่งหลง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่า โอกาสที่จะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับหญิงที่เขารัก และเด็กน้อยที่เขาอยากปกป้องด้วยชีวิต
เมื่อเดินทางกลับถึงจวน หลานเยว่ตรงเข้าสู่ห้องครัวในทันที สาวใช้คนสนิทรีบรุดตามมาช่วยอย่างคล่องแคล่ว สำหรับหญิงสาวที่เติบโตมากับคมดาบและการฆ่าฟัน การเข้าครัวไม่ใช่สิ่งที่ถนัด แต่เรื่องการใช้มีดนั้นนางเชี่ยวชาญถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้
เพียงไม่นาน เสียง ฉับ! ฉับ! ฉับ! ก็ดังก้องไปทั่วครัว คมมีดสะท้อนแสงไฟวาววับทุกการเฉือนของนางเต็มไปด้วยความแม่นยำและพลิ้วไหว เนื้อหมูและไก่ถูกโยนลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนถูกตัดแต่งเรียงรายเป็นชิ้นเท่า ๆ กันราวกับศิลปะการแกะสลัก เด็กน้อย หลานจิ่วอวิ๋น ยืนดูด้วยสายตาเปล่งประกาย ตบมือดังกราวพร้อมเสียงหัวเราะร่า“ท่านแม่เก่งที่สุด!”
แต่ในสายตาของ ซูจิ่งหลง ภาพตรงหน้าชวนให้เหงื่อเย็นซึมเต็มแผ่นหลัง เพราะท่วงท่าที่นางใช้ในการหั่นเนื้อผักนั้น ช่างเหมือนท่วงท่าของมือสังหารบนสนามรบไม่มีผิดเพี้ยน แม้เขาจะฝืนยิ้มออกมา แต่หัวใจก็เต้นแรงราวกับกำลังถูกคมมีดของนางเล็งตรงมาที่ตนเอง“หลานเยว่…เจ้าเก่งมากจริง ๆ” เขาเอ่ยชมเสียงแผ่ว ก่อนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
หลานเยว่ฟังถ้อยคำชมนั้นโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ นางเพียงวางมีดลง เช็ดเหงื่อเล็กน้อย ก่อนหันไปส่งถาดวัตถุดิบที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วให้สาวใช้ “ที่เหลือ ฝากเจ้าด้วย”
เหตุผลที่นางไม่ทำครัวจนเสร็จสิ้น มิใช่เพราะไม่ใส่ใจ แต่เพราะรู้ชัดเจนว่าตนเองถนัดอะไร นางชำนาญการใช้มีด ไม่ใช่การปรุงอาหาร การปรุงรสนั้นต้องอาศัยประสบการณ์และฝีมือ สาวใช้ที่คลุกคลีอยู่กับครัวเรือนมาเนิ่นนานย่อมทำได้ดีกว่านางเป็นร้อยเท่าสาวใช้ก้มหน้ารับถาดด้วยความเคารพ
“เจ้าค่ะ นายหญิง โปรดวางใจข้าจะทำอย่างสุดฝีมือ” หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นหอมอบอวลของอาหารก็ค่อย ๆ ลอยฟุ้งออกมาจากครัว ความหอมที่ผสมผสานกันระหว่าง การใช้มีดอันเฉียบคมของหลานเยว่ กับ ฝีมือการปรุงรสของสาวใช้ ทำให้อาหารตรงหน้าน่ารับประทานยิ่งกว่าปกติ เนื้อหมูและเนื้อไก่ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป เนื้อนุ่มละลายในปากราวกับผ่านการปรุงอย่างบรรจง ทั้งที่แท้จริงคือความแม่นยำของคมมีดที่ไม่ทำลายเส้นใยเนื้อเลยแม้แต่น้อย ส่วนผักก็ยังคงความสดกรอบ สีสันสดใส เหมือนพึ่งเก็บมาจากสวนสด ๆ ไม่มีร่องรอยช้ำให้เสียรสเสียตา
ทันทีที่ ซูจิ่งหลง ตักคำแรกเข้าปาก ดวงตาคมที่เคยเย็นชาเสมอพลันฉายประกายพึงพอใจ เขาวางตะเกียบลงครู่หนึ่ง ก่อนหันไปเอ่ยชื่นชมอย่างจริงใจ ไม่ใช่คำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นความรู้สึกจากส่วนลึกในหัวใจ“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก… เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก ผักก็ยังคงความสดกรอบ สีสันก็ชวนเจริญอาหาร หากข้าได้มากินอาหารที่เรือนเจ้าทุกวัน น้ำหนักตัวของข้าคงขึ้นเป็นแน่แท้”
หลานเยว่ สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย ราวกับคำชื่นชมที่ได้ยินไม่ได้ทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวแม้แต่น้อย นางวางตะเกียบลง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เจ้าเอ่ยชมข้าเกินไปแล้ว… ที่เจ้ากินได้อย่างเจริญอาหารนั้น หาใช่เพราะข้า หากแต่เป็นฝีมือของแม่ครัวที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก”
คำพูดนั้นไม่ได้แต่งเติมความอ่อนหวาน แต่ก็ไม่ใช่การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง สายตาคมของนางหันกลับมาจ้องตรงไปยังชายผู้มากบารมีในโลกมืดโดยไม่หลบเลี่ยง ความนิ่งเรียบเช่นนี้ กลับแทรกความจริงใจที่ยากจะหาคำใดมาบรรยาย นางเว้นช่วงไปเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นคล้ายลังเล ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ชายหนุ่มผู้โหดเหี้ยมถึงกับชะงักนิ่ง“หากเจ้าอยากมา…ก็มาข้าไม่ได้ห้าม”
เสียงเรียบนั้นไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ทว่าสำหรับซูจิ่งหลง มันดังก้องในอกประหนึ่งคำเชิญจากสรวงสวรรค์
“ข้าต้องมา… ข้าต้องมาหาเจ้าและลูกอย่างแน่นอน”
ชั่วขณะนั้น เวลาเหมือนหยุดหมุน โลกภายนอกไร้ซึ่งความสำคัญ เหลือเพียงสายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ระหว่างบุรุษผู้โหดเหี้ยมแห่งโลกมืดกับสตรีผู้เย็นชาและบุตรชายของนางหัวใจของซูจิ่งหลงสั่นสะท้านราวกับถูกปลุกให้มีชีวิตใหม่ ความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อนถาโถมเข้ามาจนแทบกลืนกินสติ ราวกับว่ามีบ้าน ที่รอคอยให้เขากลับมา ไม่ใช่เพียงจวน ไม่ใช่เพียงที่พัก แต่เป็นสถานที่ที่มีคนเฝ้ารอด้วยใจจริงเขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อาหารตรงหน้าหอมกรุ่นยิ่งนัก แต่สำหรับเขา รสชาติกลับเกินกว่าสิ่งที่ลิ้นจะสัมผัส ทุกคำที่ตักเข้าปากไม่ใช่เพียงเนื้อหรือผัก หากแต่คือรสชาติแห่งความทรงจำ ความหมายของชีวิตที่เขาตามหามาตลอดทั้งชีวิตในโลกอันมืดมิดในสายตาของซูจิ่งหลง มื้อนี้คือมื้ออาหารที่ล้ำค่าที่สุดเพราะบนโต๊ะเดียวกันนี้ มีสตรีที่แม้จะเย็นชา แต่ยอมเปิดประตูให้เขาก้าวเข้ามา และมีเด็กน้อยที่มองเขาด้วยแววตาไร้เดียงสา คำพูดที่เปล่งออกมาจึงไม่ใช่แค่คำมั่น หากแต่เป็น คำสัตย์สาบานเงียบ ๆ ที่เขาจะรักษาด้วยทั้งเลือด เนื้อ และลมหายใจทั้งหมดของตนเอง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







